หน้าแรก >> ข่าวทั้งหมด >> อ่านบทความ/ข่าว

iPhone 6 (ไอโฟน 6) รวมโปรลดราคา iPhone 6 จาก 3 ค่าย dtac, AIS, TrueMove H อัปเดตล่าสุด [17-ต.ค.60] ถูกที่สุด เริ่มต้นที่ 3,500 บาท

แม้จะเปิดตัวมาแล้วกว่า 2 ปีก็ตาม แต่ iPhone 6 (ไอโฟน 6) ยังคงเป็นรุ่นที่ได้รับความนิยม ส่วนหนึ่งเป็นเพราะราคาที่ถูกลง และรองรับการอัปเดตเป็น iOS 11 ด้วยนั่นเอง อีกทั้งในตอนนี้ iPhone 6 ได้ปรับขนาดความจุเป็น 32 GB แล้ว ทำให้น่าสนใจมากขึ้นไปอีก โดยในวันนี้ ทีมงาน techmoblog ได้รวบรวม ราคาและโปรโมชั่น iPhone 6 จากทั้ง 3 ค่าย ซึ่งได้แก่ dtac, AIS และ TrueMove H ไว้เป็นทางเลือกสำหรับผู้ที่กำลังจะตัดสินใจซื้อ iPhone 6 อยู่ในตอนนี้

 

iPhone 6 จาก dtac เริ่มต้นที่ 7,400 บาท

  • ราคา 8,900 บาท เมื่อซื้อพร้อมสมัครแพ็กเกจเริ่มต้น 599 บาท
  • ชำระค่าบริการล่วงหน้า 2,000 บาท (รับคืนเป็นส่วนลดค่าแพ็กเกจ 200 บาท นาน 10 เดือน)
  • ลูกค้าย้ายค่ายเบอร์เดิม รับส่วนลดเพิ่มอีก 1,500 บาท เหลือเพียง 7,400 บาท
  • ระยะสัญญา 12 เดือน
  • สำหรับลูกค้าเติมเงินและรายเดือน รับสิทธิ์ซื้อ iPhone 6 32 GB (เครื่องเปล่า) ในราคา 11,900 บาท ไม่ต้องสมัครแพ็กเกจ ไม่ติดสัญญา

รายละเอียดเพิ่มเติม : www.dtac.co.th

 

iPhone 6 จาก AIS เริ่มต้นที่ 4,500 บาท

สำหรับ iPhone 6 จาก AIS ขนาดความจุ 32 GB จะแบ่งออกเป็น 3 ราคาด้วยกัน ได้แก่

  • ราคา 4,500 บาท เมื่อซื้อพร้อมสมัครแพ็กเกจเริ่มต้น AIS Hot Deal Non-Stop 1,099 และชำระค่าบริการล่วงหน้า 4,500 บาท (รับคืนเป็นส่วนลดค่าแพ็กเกจ 450 บาท นาน 10 เดือน)
  • ราคา 6,500 บาท เมื่อซื้อพร้อมสมัครแพ็กเกจเริ่มต้น AIS Hot Deal Non-Stop 899 และชำระค่าบริการล่วงหน้า 4,000 บาท (รับคืนเป็นส่วนลดค่าแพ็กเกจ 400 บาท นาน 10 เดือน)
  • ราคา 9,000 บาท เมื่อซื้อพร้อมสมัครแพ็กเกจเริ่มต้น AIS Hot Deal Non-Stop 599 และชำระค่าบริการล่วงหน้า 2,000 บาท (รับคืนเป็นส่วนลดค่าแพ็กเกจ 200 บาท นาน 10 เดือน)
  • ระยะสัญญา 12 เดือน

รายละเอียดเพิ่มเติม : www.ais.co.th

 

iPhone 6 จาก TrueMove H ถูกที่สุดเหลือ 3,500 บาท สำหรับลูกค้าย้ายค่ายเบอร์เดิม

  • สำหรับแพ็กเกจราคา 1,099 บาท เหลือ 3,500 บาท (ย้ายค่ายเบอร์เดิม) และชำระค่าบริการล่วงหน้า 5,000 บาท (รับคืนเป็นส่วนลดค่าแพ็กเกจ 500 บาท นาน 10 เดือน)
  • สำหรับแพ็กเกจราคา 899 บาท เหลือ 5,500 บาท (ย้ายค่ายเบอร์เดิม) และชำระค่าบริการล่วงหน้า 4,000 บาท (รับคืนเป็นส่วนลดค่าแพ็กเกจ 400 บาท นาน 10 เดือน)
  • สำหรับแพ็กเกจราคา 599 บาท เหลือ 7,900 บาท (ย้ายค่ายเบอร์เดิม) และชำระค่าบริการล่วงหน้า 2,000 บาท (รับคืนเป็นส่วนลดค่าแพ็กเกจ 200 บาท นาน 10 เดือน)
  • ระยะสัญญา 12 เดือน

รายละเอียดเพิ่มเติม : www.truemoveh.co.th

 

iPhone 6 และ iPhone 6 Plus เครื่องเปล่า สหรัฐฯ​ มาแล้ว!

ล่าสุด Apple Store สหรัฐฯ​ ได้วางจำหน่าย iPhone 6 และ iPhone 6 Plus เครื่องเปล่า แบบไม่ติดสัญญา อย่างเป็นทางการแล้ว โดยราคาเริ่มต้นอยู่ที่ $649 หรือราวๆ 21,500 บาท สำหรับ iPhone 6 ความจุ 16 GB และ $749 หรือราวๆ 25,000 บาท สำหรับ iPhone 6 Plus ความจุ 16 GB (ยังไม่รวมภาษี) โดยใช้เวลาจัดส่งราวๆ 3-5 วันทำการ

สำหรับใครที่มองหา iPhone 6 และ iPhone 6 Plus เครื่องหิ้ว อเมริกา และมีแผนจะไปเที่ยวที่นั่นอยู่แล้ว ถือว่า เป็นอีกทางเลือกหนึ่งครับ - 9to5mac.com

คลิปวีดีโอเปิดตัว iPhone 6 ซับไทย

หลังจากที่ทาง แอปเปิล ได้ปรับหน้าเว็บให้เป็นภาษาไทย พร้อมกับข้อมูลผลิตภัณฑ์ที่ทำให้คนไทย ได้เข้าใจมากขึ้นกว่าเดิมนั้น ล่าสุด คลิปวีดีโอแนะนำ iPhone 6 (ไอโฟน 6) มาพร้อมซับภาษาไทยแล้ว โดยช่วยทำให้เข้าใจรายละเอียดได้มากขึ้น งานนี้ ใครที่รอชม คลิป iPhone 6 ซับไทย น่าจะถูกใจกันอย่างแน่นอนครับ

รีวิว iPhone 6 (ไอโฟน 6)

มาอยู่ในมือทีมงาน techmoblog เป็นที่เรียบร้อยแล้ว สำหรับ สมาร์ทโฟน ที่ได้ชื่อว่า เป็นรุ่นที่หลายๆ คนตั้งตารอคอยมากที่สุดรุ่นหนึ่ง อย่าง iPhone 6 (ไอโฟน 6) นั่นเอง ซึ่งในวันนี้ ทีมงานจะมา รีวิว iPhone 6 ให้ได้ชมกัน โดย iPhone 6 นั้น ได้มีการเปิดตัวอย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ 9 กันยายน 2557 และได้ฤกษ์วางจำหน่ายในไทย เมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 2557 ที่ผ่านมานั่นเอง โดยเคาะราคาเริ่มต้นที่ 24,900 บาท สำหรับความจุ 16 GB (ราคาเครื่องเปล่า Apple Store) ซึ่งตอนนี้ สามารถจับจองเป็นเจ้าของกันได้แล้ว ทั้งเครื่องศูนย์ไทย จากบรรดาโอเปอร์เรเตอร์ 3 ค่ายในไทย ที่มีโปรโมชันและแพ็กเกจในราคาสุดคุ้มมาให้เลือก หรือจะเลือกซื้อเครื่องเปล่าจาก Apple Online Store ก็สามารถสั่งซื้อได้แล้วเช่นกัน ส่วนราคา iPhone 6 เครื่องหิ้ว (เครื่องนอก) มาบุญครอง มีราคาถูกกว่า เครื่องศูนย์ เล็กน้อยครับ ถือว่า เป็นอีกทางเลือกสำหรับผู้ที่มองหา iPhone 6 อยู่ในตอนนี้

สเปก iPhone 6

  • จอแสดงผลกว้าง 4.7 นิ้ว แบบ Retina HD IPS LCD (LED-Backlit) Capacitive Touchscreen 16.7 ล้านสี ความละเอียด 1334 x 750 พิกเซล (326 ppi)
  • ชิปเซ็ต Apple A8 Processor พร้อมเทคโนโลยีการประมวลผลแบบ 64-bit และหน่วยประมวลผล M8 motion coprocessor สำหรับการใช้งานเกี่ยวกับสุขภาพ และการออกกำลังกาย
  • หน่วยความจำภายในตัวเครื่อง ขนาด 16 GB, 64 GB และ 128 GB ไม่รองรับ microSD Card
  • กล้องด้านหน้า ความละเอียด 1.2 ล้านพิกเซล (ขนาดภาพถ่าย 1280 x 960 พิกเซล) และรูรับแสงกว้างสูงสุด F/2.2
  • กล้องด้านหลัง ความละเอียด 8 ล้านพิกเซล พร้อม True Tone Flash, รูรับแสงกว้างสูงสุด F/2.2
  • รันระบบปฏิบัติการ iOS 8
  • เซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือ (Touch ID) บนปุ่ม Home บางเฉียบเพียง 170 ไมครอน พร้อมความละเอียดระดับ 500 ppi
  • รองรับเทคโนโลยี NFC

>> สเปก iPhone 6 อย่างละเอียด คลิกที่นี่

รีวิว iPhone 6 : สัมผัสแรกในด้านดีไซน์ และการออกแบบ

สำหรับดีไซน์ของ iPhone 6 (ไอโฟน 6) นั้น ต้องบอกเลยว่า แตกต่างจาก iPhone 5S อย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะในเรื่องของความบาง ที่บางลงกว่าเดิมมากจริงๆ โดย iPhone 6 นั้น ขนาดหน้าจออยู่ที่ 4.7 นิ้ว ความละเอียด 1334 x 750 พิกเซล ซึ่งใหญ่กว่า iPhone 5S ที่มีขนาดหน้าจอที่ 4 นิ้ว นอกจากนี้ ขอบตัวเครื่องยังโค้งมนกว่าเดิมอีกด้วย

อย่างไรก็ดี ความเห็นส่วนตัวหลังจากที่ได้ลองสัมผัส iPhone 6 เทียบกับ iPhone 5 ที่เคยใช้มา จริงๆ แล้ว ไม่ค่อยแตกต่างจากเดิมมากเท่าที่ควรครับ แม้ว่า ขนาดหน้าจอ iPhone 6 จะใหญ่ขึ้นกว่าเดิมก็จริง แต่เมื่อใช้งานไปได้สักพัก จะรู้สึกว่า คล้ายๆ ของเดิม ไม่ได้รู้สึกว่า หน้าจอใหญ่ขึ้นกว่าเดิมมากแต่อย่างใด ฉะนั้น ถ้าผู้ที่เคยใช้ iPhone 5 หรือ iPhone 5S มาก่อน แล้วจะเปลี่ยนไปใช้ iPhone 6 แนะนำเป็น iPhone 6 Plus จะดีกว่า เพราะความรู้สึกที่ได้สัมผัสทั้ง 2 รุ่นนี้ ต่างกันโดยสิ้นเชิงครับ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น จะดีกว่าเดิมแค่ไหน ขึ้นอยู่กับความชอบส่วนตัวเป็นหลักด้วยครับ

ด้านบนของหน้าจอแสดงผล ประกอบด้วย ลำโพงสำหรับสนทนา, เซ็นเซอร์ และกล้องด้านหน้า ความละเอียด 1.2 ล้านพิกเซล รูรับแสงกว้างสูงสุด F/2.2 ส่วนด้านล่างของหน้าจอแสดงผล เป็นปุ่ม Home ที่มี เซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือ (Touch ID) ในตัว บางเฉียบเพียง 170 ไมครอน พร้อมความละเอียดระดับ 500 ppi

ด้านขวาของตัวเครื่อง ประกอบด้วย ปุ่มเปิด-ปิด หรือล็อคหน้าจอแสดงผล ที่ย้ายจากด้านบน มาอยู่ด้านข้าง และถาดใส่ซิมการ์ดแบบ nanoSIM สามารถเปิดได้ด้วยเข็ม Pin ที่ให้มาในกล่อง ส่วนด้านซ้ายของตัวเครื่อง เป็นปุ่มล็อคการหมุนของหน้าจอ หรือ ปิดเสียง (แล้วแต่จะตั้งค่า) และปุ่มปรับระดับเสียง

ด้านบนของตัวเครื่อง ไม่มีปุ่มควบคุมการทำงาน ส่วนด้านล่างของตัวเครื่อง ประกอบด้วย ช่องหูฟังขนาด 3.5 มิลลิเมตร, ไมโครโฟน, พอร์ต Lightning Connector และลำโพงเสียง

มาดูด้านหลังของตัวเครื่องกันบ้างครับ จะเห็นได้ว่า ตัวเครื่องด้านหลัง เป็นอลูมิเนียมทั้งหมด ไม่มีขอบพลาสติกที่ด้านบนและด้านล่างอีกต่อไป แต่มีแถบสีเทาเข้ามาแทน ซึ่งส่วนนี้ น่าจะเป็นส่วนของเสาสัญญาณนั่นเอง

กล้องด้านหลัง ความละเอียด 8 ล้านพิกเซล พร้อม True Tone Flash และรูรับแสงกว้างสูงสุด F/2.2 ซึ่งจะเห็นได้ว่า ตัวกล้องยื่นออกมาจากตัวเครื่องอย่างเห็นได้ชัด หลายๆ ท่านเกรงว่า ใช้ไปนานๆ จะเกิดรอยขีดข่วนที่ตัวเลนส์ แต่ปัญหานี้ แก้ไขได้ด้วยการใส่เคสครับ แต่ควรจะเลือกเคสที่มีความหนาสักเล็กน้อย เพื่อให้มีความนูนกว่า เลนส์กล้องที่ยื่นออกมานั่นเอง

ส่วนอุปกรณ์ที่มีให้ภายในกล่อง ได้แก่ สาย Lightning Cable, Adapter สำหรับชาร์จแบตเตอรี่แบบ 2 ขา และหูฟัง EarPods ส่วนเข็มสำหรับดันถาดซิมการ์ด (SIM Ejector) จะถูกเก็บอยู่ในซองใส่คู่มือการใช้งาน

เปรียบเทียบขนาดระหว่าง iPhone 6 และ iPhone 6 Plus ครับ จะเห็นได้ว่า ต่างกันมากเลยทีเดียว โดย iPhone 6 Plus นั้น มีขนาดหน้าจออยู่ที่ 5.5 นิ้ว ในขณะที่ iPhone 6 ขนาดหน้าจออยู่ที่ 4.7 นิ้วครับ อย่างไรก็ดี ถึงแม้ iPhone 6 Plus มาพร้อมฟังก์ชันการใช้งานที่ดีกว่า แต่ก็ต้องแลกมาด้วยราคาที่สูงกว่าด้วยเช่นกัน

รีวิว iPhone 6 : อินเทอร์เฟส และการใช้งานเบื้องต้น

สำหรับ iPhone 6 (ไอโฟน 6) นั้น รันระบบปฏิบัติการ iOS 8 ตั้งแต่แกะกล่อง โดยการปลดล็อคหน้าจอนั้น สามารถทำได้ 2 รูปแบบด้วยกัน นั่นก็คือ การสแกนลายนิ้วมือ และการใส่รหัส Passcode นั่นเอง ถ้าหากผู้ใช้สแกนลายนิ้วมือไม่ผ่าน 3 ครั้ง สามารถใส่รหัส Passcode เพื่อปลดล็อคหน้าจอได้

สำหรับแอปพลิเคชันที่เพิ่มเข้ามาบน iOS 8 ก็คือ Health นั่นเองครับ โดยแอปพลิเคชัน Health นี้ เป็นแอปฯ ที่รวบรวมข้อมูลด้านสุขภาพทั้งหมด และรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับการออกกำลังกาย ไว้ในที่เดียว ซึ่งถือว่า มีประโยชน์อย่างมากสำหรับผู้ที่รักสุขภาพครับ นอกจากนี้ ยังสามารถใช้งานควบคู่กับอุปกรณ์เสริม อย่างเช่น Smart Watch ได้อีกด้วย

Notification Center แถบแจ้งเตือนข้อมูลสำคัญ ซึ่งนอกจากจะแสดงสภาพอากาศในแต่ละวัน และสถานการณ์หุ้นแล้ว ยังสามารถแจ้งเตือนแอปพลิเคชันต่างๆ อย่างเช่น Facebook, LINE หรือ Instagram รวมไปถึงข้อความบน Messages อีกด้วย

Control Center แถบเมนูลัดควบคุมการทำงานต่างๆ เช่น เปิด-ปิด Airplane Mode, เปิด-ปิด Wi-Fi, Bluetooth, ล็อคการหมุนของหน้าจอ, ปรับความสว่างของหน้าจอ, ควบคุมการเล่นเพลง, เปิด-ปิดเสียง นอกจากนี้ ด้านล่างยังเป็นเมนูลัดเข้าแอปฯ ทั้งหมด 4 แอปฯ ด้วยกัน ได้แก่ ไฟฉาย, นาฬิกา, เครื่องคิดเลข และกล้องถ่ายรูป

การแตะเบาๆ ที่หน้าจอ และลากดึงจากบนลงล่าง จะเป็นการเข้าสู่เมนูการค้นหาครับ สามารถค้นหา แอปพลิเคชัน, รายชื่อผู้ติดต่อ, ข้อความ รวมไปถึงข้อมูลจากหน้าเว็บไซต์ได้

ส่วนการแตะที่ปุ่ม Home 2 ครั้ง จะเข้าสู่เมนู Multitasking สามารถเปลี่ยนไปใช้งานแอปฯ อื่นๆ ได้ หรือลบแอปฯ ที่ไม่ต้องการทิ้ง นอกจากนี้ ด้านบนยังเป็นการแสดงรายชื่อผู้ติดต่อ ที่เพิ่งติดต่อล่าสุดอีกด้วย

เนื่องจากขนาดหน้าจอใหญ่ขึ้น ทำให้การใช้งานด้วยมือเดียว ไม่สะดวกสบายเหมือนที่เคย ทำให้แอปเปิล ได้เปิดตัวฟีเจอร์ที่เรียกว่า Reachability ครับ โดยฟีเจอร์นี้ถือว่า เป็นตัวแปรสำคัญที่ทำให้ iPhone 6 และ iPhone 6 Plus สามารถใช้งานมือเดียวได้อย่างสบายๆ แม้ว่าหน้าจอจะมีขนาดใหญ่ขึ้นก็ตาม วิธีการใช้งานฟีเจอร์ Reachability ก็คือ ให้กดปุ่ม Home 2 ครั้ง หน้าจอทั้งหมดจะถูกย่อลงมาเหลือครึ่งเดียวครับ ทำให้สามารถใช้งานได้ด้วยมือเดียวนั่นเอง ซึ่งฟีเจอร์นี้ รองรับทั้งบนหน้า Homescreen รวมไปถึงแอปพลิเคชันต่างๆ อย่างเช่น อีเมล และ Safari อีกด้วย

รีวิว iPhone 6 : ทดสอบกล้องด้านหลัง ความละเอียด 8 ล้านพิกเซล

แม้ว่า กล้องด้านหลังบน iPhone 6 จะมาพร้อมความละเอียด 8 ล้านพิกเซลเท่ากับ iPhone 5S แต่ได้มีการปรับปรุงเซ็นเซอร์ใหม่หมด ที่เรียกได้ว่า ให้คุณภาพของภาพถ่ายดีกว่า iPhone 5S มากทีเดียว

ส่วนเมนูการใช้งานนั้น นอกจากจะสามารถเปิด-ปิดไฟแฟลช, ถ่ายภาพแบบ HDR ได้แล้ว ยังสามารถตั้งเวลาการถ่ายภาพ, ถ่ายภาพ Panorama และถ่ายคลิปวีดีโอแบบ Slo-Mo ความเร็วที่ 240 fps ได้อีกด้วย มาชมตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องความละเอียด 8 ล้านพิกเซล บน iPhone 6 กันครับ

รีวิว iPhone 6 : บทสรุปการใช้งาน

สำหรับรีวิว iPhone 6 (ไอโฟน 6) ที่ผ่านไปข้างต้นนั้น เป็นเพียงการทดสอบการใช้งานในเบื้องต้นเท่านั้น แต่จากการที่ทีมงาน techmoblog ได้ลองทดสอบใช้งาน iPhone 6 มาพอสมควร คงต้องบอกเลยว่า iPhone 6 รุ่นนี้ ถือว่า เป็นรุ่นที่มีการพัฒนาจาก iPhone 5S (ไอโฟน 5S) มากทีเดียวครับ โดยเฉพาะในเรื่องของการออกแบบ ที่ทำได้อย่างน่าประทับใจ ทั้งตัวเครื่องที่บางลง และหน้าจอที่มีขนาดใหญ่ขึ้นกว่าเดิม ซึ่งคงจะถูกอกถูกใจ สาวกไอโฟน อย่างแน่นอน ส่วนคุณสมบัติที่หลายๆ คนคาดหวังเอาไว้ก่อนเปิดตัว เช่น ความละเอียดของกล้องดิจิตอลที่น่าจะมากกว่า 8 ล้านพิกเซล ก็คงต้องผิดหวังกันไป อย่างไรก็ดี ภาพถ่ายที่ได้ ถือว่า สามารถทำได้อย่างน่าประทับใจอีกเช่นกัน

หลายๆ คนที่กังวลในเรื่องของ ตัวเครื่องงอ ดังเช่นรีวิวจากต่างประเทศ คงตัดความกังวลในจุดนี้ออกไปได้เลยครับ เพราะถ้าหากใช้งานในลักษณะปกติ ไม่มีทางเป็นไปได้อยู่แล้วที่ตัวเครื่องจะงอได้ง่ายขนาดนั้น เว้นเสียแต่ว่า ตั้งใจหรือจงใจที่จะงอเครื่องเอง เพราะจากการทดสอบใช้งานมา ก็ยังคงให้ความรู้สึกว่า iPhone 6 ยังคงมีดีไซน์การออกแบบที่แข็งแรงเหมือนเช่นเคย

สำหรับราคาของ iPhone 6 ในไทย เริ่มต้นที่ 24,900 บาท (ราคา Apple Store) แต่ถ้าหากซื้อเครื่องพร้อมแพ็กเกจ จากบรรดาโอเปอร์เรเตอร์ในไทย ก็จะได้ราคาที่ถูกกว่าเล็กน้อย ซึ่งในเร็วๆ นี้ ทีมงาน techmoblog จะมีบทความ รีวิว iPhone 6 Plus ด้วย ติดตามกันได้ครับ
 

สรุปสเปก และฟีเจอร์เด่น iPhone 6 และ iPhone 6 Plus

เปิดตัวอย่างเป็นทางการแล้ว สำหรับ iPhone 6 (ไอโฟน 6) ซึ่งในปีนี้ เปิดตัวทั้งหมด 2 รุ่นด้วยกัน ได้แก่ iPhone 6 หน้าจอ 4.7 นิ้ว และ iPhone 6 Plus หน้าจอ 5.5 นิ้ว โดยในเรื่องของดีไซน์นั้น ไม่ต่างจากภาพหลุดแม้แต่น้อยครับ ไม่ว่าจะเป็น ตัวเครื่องบางลง, ปุ่มปรับระดับเสียงดีไซน์ใหม่, ปุ่ม Power ย้ายมาอยู่ด้านข้าง ส่วนกล้องด้านหลัง มีลักษณะนูนเล็กน้อย นอกจากนี้ ในงาน ยังเปิดตัว Apple Watch หรือ iWatch ที่เรารู้จักกันดีอีกด้วย เรียกได้ว่า 2 ชั่วโมงของงานเปิดตัวในวันนี้ คุ้มค่าและเต็มอิ่มกันอย่างแน่นอน

โดยในปีนี้ iPhone 6 พัฒนาจากรุ่นก่อนหน้าอย่าง iPhone 5S ถึง 8 หัวข้อใหญ่ๆ ด้วยกัน หลักๆ ก็เป็นเรื่องของ ดีไซน์, ชิป Apple A8, กล้องด้านหลัง, Wi-Fi, รองรับการถ่ายวีดีโอแบบ Full HD, รัน iOS 8 และรองรับ NFC มาดูกันที่แต่ละหัวข้อครับว่า iPhone 6 (ไอโฟน 6) และ iPhone 6 Plus จะน่าสนใจกันอย่างไรบ้าง

ไม่ใช่แค่หน้าจอใหญ่ แต่ยังบางกว่าเดิม

iPhone 6 มาพร้อมหน้าจอขนาด 4.7 นิ้ว แบบ Retina HD Display ความละเอียด 1334 x 750 พิกเซล (348 ppi) แม้ว่าหน้าจอจะมีขนาดใหญ่ขึ้น แต่สามารถใช้งานได้อย่างสะดวก เนื่องจากตัวเครื่องบางลงนั่นเอง โดย iPhone 6 บางเพียง 6.9 มิลลิเมตรเท่านั้น ส่วน iPhone 6 Plus มาพร้อมหน้าจอขนาด 5.5 นิ้ว แบบ Retina HD Display ความละเอียด 1920 x 1080 พิกเซล หรือ Full HD บาง 7.1 มิลลิเมตรครับ

มาดูกันที่ดีไซน์รอบๆ ตัวเครื่องกันบ้าง iPhone 6 และ iPhone 6 Plus ผลิตจาก Anodized Aluminum, Stainless Steel และกระจก ที่ช่วยทำให้ตัวเครื่องหรูหรา แข็งแรง ทนทาน ซึ่งฝาด้านหลัง ผลิตให้เป็นชิ้นเดียวกัน (Unibody) ส่วนกล้องด้านหลัง มีลักษณะนูนเล็กน้อย และขอบตัวเครื่อง โค้งมนกว่าเดิม

แรงขึ้นด้วยชิป Apple A8 แบบ 64-bit

iPhone 6 และ iPhone 6 Plus มาพร้อมกับชิป Apple A8 แบบ 64-bit ซึ่งประมวลผลได้เร็วขึ้น (CPU) 25% ส่วนหน่วยประมวลผลภาพ (GPU) แรงขึ้น 50% นอกจากนี้ ยังมีชิป Apple M8 coprocessor คำนวณด้านการเคลื่อนไหวผ่านทางเซ็นเซอร์ต่างๆ ทั้ง Accelerometer, Compass, Gyroscope และ Barometer (วัดความกดอากาศ)

กล้องด้านหลัง ความละเอียด 8 MP เท่าเดิม แต่ปรับปรุงเซ็นเซอร์ใหม่

คาดหวังให้ iPhone 6 และ iPhone 6 Plus มาพร้อมกล้องความละเอียด 13 ล้านพิกเซลใช่หรือไม่? งานนี้ต้องบอกเลยว่า ผิดหวังไปตามๆ กันครับ เพราะ iPhone 6 และ iPhone 6 Plus มาพร้อมกล้องด้านหลัง ความละเอียด 8 ล้านพิกเซล เท่า iPhone 5S แต่ได้ปรับปรุงเซ้นเซอร์ใหม่ ให้ถ่ายรูปได้สวยงามขึ้นกว่าเดิม ส่วนรูรับแสง กว้างสูงสุดที่ F/2.2

สำหรับฟีเจอร์ใหม่ของกล้อง iSight ความละเอียด 8 ล้านพิกเซล บน iPhone 6 และ iPhone 6 Plus ได้แก่

Focus Pixels : ทำงานโดยอาศัยโปรเซสเซอร์รับสัญญาณภาพชนิดใหม่ที่ออกแบบโดย Apple เซ็นเซอร์ที่มีข้อมูลภาพที่ถ่ายละเอียดขึ้นจะส่งผลให้ระบบออโต้โฟกัสทำงานได้ดีและเร็วขึ้น

Face Detection : ระบบตรวจจับใบหน้า สามารถจดจำใบหน้าได้รวดเร็วและแม่นยำยิ่งขึ้น แม้แต่ใบหน้าที่อยู่ไกลออกไปหรือในกลุ่มคนเยอะๆ พร้อมทั้งยังปรับปรุงระบบตรวจจับการกะพริบตาและรอยยิ้ม รวมถึงการเลือกใบหน้าในโหมดถ่ายภาพรัวต่อเนื่อง เพื่อให้สามารถจับภาพที่ดีที่สุดได้โดยอัตโนมัติอีกด้วย

Exposure Control : การควบคุมค่าแสง ปรับภาพถ่ายหรือวิดีโอให้สว่างขึ้นหรือมืดลงในหน้าต่างตัวอย่างภาพได้ถึง 4 ระดับ f-stop ด้วยการเลื่อนนิ้วง่ายๆ

Auto Stabilization : ระบบป้องกันภาพสั่นไหวอัตโนมัติ หมดปัญหาภาพเบลอที่เกิดจากการเคลื่อนไหวหรือมือสั่น เพราะระบบป้องกันภาพสั่นไหวอัตโนมัติจะถ่ายภาพที่ มีการเปิดรับแสงในระยะเวลาสั้นๆ จำนวน 4 ภาพติดกัน จากนั้นจะดึงส่วนที่ดีที่สุดของแต่ละภาพมารวมไว้ด้วยกัน เพื่อให้ได้ภาพที่มี noise, วัตถุเคลื่อนที่ หรือการสั่นที่เกิดจากการมือไหวน้อยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

Optical Image Stabilization : ระบบป้องกันภาพสั่นไหวแบบออปติคอล (เฉพาะ iPhone 6 Plus) จะทำงานร่วมกับชิป Apple A8, Gyroscope และชิป M8 สำหรับประมวลผลการเคลื่อนไหว เพื่อตรวจวัดข้อมูลการเคลื่อนไหวและจะขยับชิ้นเลนส์อย่างแม่นยำเพื่อชดเชยอาการมือสั่นในสภาพแสงน้อย

Photos App : แอปรูปภาพ เก็บช่วงเวลาที่น่าประทับใจ แล้วปรับแต่งในไม่กี่วินาทีด้วยเครื่องมือจัดองค์ประกอบภาพอัจฉริยะ ปุ่มปรับค่าต่างๆ และฟิลเตอร์ภาพถ่าย ในแอพรูปภาพ หรือถ้าแค่อยากถ่ายภาพง่ายๆ โดยไม่ต้องแต่งอะไร ก็สามารถทำได้โดยตรงจากหน้าจอล็อคโดยใช้รหัสผ่านหรือ Touch ID

Panorama : สามารถถ่ายภาพแบบพาโนรามาด้วยความละเอียดสูงสุดถึง 43 เมกะพิกเซล

รองรับการถ่ายวีดีโอ ความละเอียดระดับ 1080p แล้ว

นอกจากกล้อง iSight จะปรับปรุงฟีเจอร์ด้านการใช้งานแล้ว ในส่วนของการถ่ายภาพวีดีโอ ยังรองรับที่ความละเอียดระดับ 1080p อีกด้วย ส่วนการถ่ายภาพแบบ Slo-Mo ยังเก็บรายละเอียดได้มากขึ้น ที่ 240 fps (จากเดิม 120 fps)

กล้อง FaceTime รับแสงได้มากขึ้นถึง 81%

นอกจากจะปรับปรุงกล้องด้านหลังแบบ iSight แล้ว ในส่วนของกล้อง FaceTime ก็ได้รับการปรับปรุงเช่นกัน โดยมาพร้อมกับความละเอียด 1.2 ล้านพิกเซล, รูรับแสงกว้าง F/2.2 ที่ช่วยทำให้รับแสงได้มากขึ้นถึง 81% อีกทั้งยังตรวจจับใบหน้าได้แม่นยำกว่าเดิม นอกจากนี้ ยังมี โหมดถ่ายภาพรัวต่อเนื่องแบบใหม่ (Burst Mode) ที่จับภาพได้ถึง 10 ภาพต่อวินาที

Wi-Fi เร็วขึ้น 3 เท่า

iPhone 6 (ไอโฟน 6) และ iPhone 6 Plus มาพร้อมกับระบบการเชื่อมต่อ Wi-Fi มาตรฐานแบบ 802.11ac ทำให้ได้ Wi-Fi ที่รวดเร็วกว่าแบบ 802.11n ถึง 3 เท่า ส่วนเครือข่าย LTE อัตราการรับส่งข้อมูล สูงสุดถึง 150 Mbps อีกทั้งรองรับ LTE ได้ถึง 20 ย่านความถี่ และ LTE-A รวมถึงใช้งาน VoLTE ได้ในตัวแล้ว

iPhone 6 และ iPhone 6 Plus รองรับ NFC แล้ว กับ Apple Pay

สำหรับเทคโนโลยี NFC นั้น แอปเปิล ได้นำมาพัฒนาในชื่อของ Apple Pay ซึ่งเป็นระบบการชำระเงินแบบใหม่ ที่ใช้งานง่ายขึ้น และสะดวกขึ้น ง่ายๆ ด้วยการนำ iPhone 6 ไปจ่อกับเครื่องอ่าน แล้วแตะที่ Touch ID ไว้ซักครู่ เพียงแค่นี้ ก็สามารถชำระเงินได้แล้ว รวดเร็วมากทีเดียว

ส่วนความครอบคลุมของ Apple Pay ตอนนี้รองรับเฉพาะในสหรัฐฯ เท่านั้น ซึ่งมีพันธมิตรเข้าร่วมหลายรายแล้ว ไม่ว่าจะเป็น MasterCard, VISA, American Express รวมไปถึงร้านอาหารอย่าง Subway กับ McDonalds อีกด้วย ซึ่งจะเปิดให้ใช้งานจริง ต้นเดือนตุลาคมนี้

iPhone 6 และ iPhone 6 Plus ไม่มีรุ่นความจุ 32 GB แล้ว

ข่าวร้ายสำหรับท่านที่เล็งรุ่นความจุ 32 GB ครับ เพราะบน iPhone 6 และ iPhone 6 Plus ไม่มีรุ่นความจุ 32 GB อีกต่อไป โดยมีให้เลือก 3 ขนาดความจุด้วยกัน ได้แก่ 16 GB, 64 GB และ 128 GB แต่ข่าวดีก็คือ รุ่นความจุ 64 GB ราคาเท่ากับ 32 GB นั่นหมายความว่า จ่ายถูกลง แต่ได้หน่วยความจำภายในเพิ่มขึ้น

iPhone 6 และ iPhone 6 Plus จำหน่ายในไทย 31 ตุลาคมนี้

ล่าสุด แอปเปิล ได้ประกาศวันวางจำหน่าย iPhone 6 และ iPhone 6 Plus ในไทยแล้ว นั่นก็คือ วันที่ 31 ตุลาคม 2557 นี้ โดยโอเปอร์เรเตอร์ 3 ค่ายในไทย ได้แก่ dtac, AIS และ TrueMove H เตรียมเปิดพรีออเดอร์ iPhone 6 และ iPhone 6 Plus ตั้งแต่วันที่ 24 ตุลาคมนี้ เป็นต้นไปครับ แต่ยังไม่มีการประกาศราคา iPhone 6 และ iPhone 6 Plus ออกมาครับว่า เริ่มต้นที่เท่าใด (อัพเดท : 23 ต.ค.2557)

เทียบสเปค iPhone 6 Plus vs iPhone 6 vs Galaxy Note 4

แม้ว่า iPhone 6 Plus จะเป็นไอโฟนหน้าจอใหญ่ที่สุดในบรรดา มือถือไอโฟน แต่เมื่อเทียบกับ มือถือเรือธง แบรนด์อื่นๆ ยังถือว่า เล็กกว่าอยู่ดี โดยเฉพาะ คู่ปรับตัวเอกอย่าง Samsung Galaxy Note 4 ที่มาพร้อมกับหน้าจอขนาดใหญ่ถึง 5.7 นิ้ว แต่บางครั้ง มือถือที่หน้าจอใหญ่กว่า ก็ใช่จะดีที่สุดเสมอไป เพราะสุดท้ายแล้ว ผู้ที่จะตัดสินได้ว่า รุ่นไหนดี? คือผู้ใช้นั่นเองครับ บางท่านอาจจะชอบมือถือหน้าจอใหญ่ เพราะมีพื้นที่การใช้งานที่มาก สัมผัสได้สะดวก มองเห็นได้ชัดเจน แต่บางท่าน ไม่ชอบมือถือหน้าจอใหญ่ เนื่องจากพกพาลำบาก อันนี้ก็แล้วแต่ความชื่นชอบส่วนตัวครับ

มาดูกันว่า ถ้าเรานำ iPhone 6 Plus และ iPhone 6 มาเทียบสเปคกับ Samsung Galaxy Note จะเห็นความแตกต่างอะไรกันบ้าง มาดูกัน

เปรียบเทียบสเปค iPhone 6 Plus vs iPhone 6 vs Samsung Galaxy Note 4

 

iPhone 6 vs Galaxy S5 vs HTC One M8 รุ่นไหนเร็วกว่า มาดูกัน!

การทดสอบในครั้งนี้ ไม่ใช่เป็นการทดสอบ งอเครื่อง หรือ Bend Test นะครับ ล่าสุด ทีมงาน TechBuff ได้นำ iPhone 6 มาทดสอบความเร็วในการเปิดแอปพลิเคชัน กับ มือถือแอนดรอยด์รุ่นเรือธง 2 รุ่นยอดนิยม ได้แก่ Samsung Galaxy S5 และ HTC One M8 เพื่อลองตรวจสอบว่า รุ่นไหน จะประมวลผลได้เร็วกว่ากัน

โดยทั้ง Samsung Galaxy S5 และ HTC One M8 มาพร้อมกับ RAM 2 GB ในขณะที่ iPhone 6 มาพร้อมกับ RAM 1 GB เท่านั้น แถมใช้คนละระบบปฏิบัติการกันอีกด้วย มาดูกันดีกว่าว่า ทั้ง 3 รุ่น รุ่นไหนประมวลผลได้เร็วกว่า

Update : 22/01/2020

iphone 6 ไอโฟน 6 iOS 7





Cookie Consent

Our website uses cookies to provide your browsing experience and relavent informations.Before continuing to use our website, you agree & accept of our Cookie Policy & Privacy