ต้อนรับการมาของ iPhone 8 และ iPhone 8 Plus ในไทย ด้วยโปรโมชั่น iPhone 7 และ iPhone 7 Plus ในงาน Thailand Mobile Expo 2017 กันบ้าง ซึ่งในงานนี้ ผู้ให้บริการเครือข่าย 3 ค่ายในไทย ทั้ง dtac, AIS และ TrueMove H ได้จัดโปร ลดราคา iPhone 7 กับ iPhone 7 Plus ด้วยเช่นกัน รายละเอียดมีดังนี้
บูธ dtac
บูธ AIS
บูธ TrueMove H
▶▶ เลือก iPhone 7 หรือ iPhone 7 Plus ดี?
แม้ iPhone 7 กับ iPhone 7 Plus จะใช้ชิปเซ็ตตัวเดียวกัน นั่นก็คือ Apple A10 และมีสเปกที่เหมือนกัน แต่ก็มีความแตกต่างกันในเรื่องของ ขนาดตัวเครื่อง ซึ่ง iPhone 7 มาพร้อมกับหน้าจอขนาด 4.7 นิ้ว ความละเอียด 1334 x 750 พิกเซล ส่วน iPhone 7 Plus มาพร้อมกับหน้าจอขนาด 5.5 นิ้ว ความละเอียด 1920 x 1080 พิกเซล ซึ่งมีขนาดที่ใหญ่กว่า แถมด้วยกล้องแบบ Dual-Camera ที่มีลูกเล่นมากกว่ากล้องบน iPhone 7 อีกทั้ง ราคายังแพงกว่าด้วยเช่นกัน โดยเริ่มต้นที่ 31,500 บาท ในขณะที่ iPhone 7 เริ่มต้นที่ 26,500 บาท
▶▶ ซื้อ iPhone 7 สีไหนดี ?
สำหรับข้อนี้ ขึ้นอยู่กับความชอบของผู้ซื้อเป็นหลัก โดย iPhone 7 และ iPhone 7 Plus มีให้เลือกทั้งหมด 5 สีด้วยกัน ได้แก่ สีดำเงา Jet Black, สีดำด้าน Black, สีเงิน Silver, สีทอง Gold และสีชมพู Rose Gold ซึ่งสีดำนั้น เป็นสีใหม่ และเป็นสีที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในตอนนี้
โดยผู้ที่ซื้อสีดำเงา Jet Black นั้น จำเป็นอย่างมากที่จะต้องหาซื้อเคสมาใส่เพิ่ม เนื่องจากการทดสอบในหลาย ๆ ครั้งจากสื่อต่างประเทศ เห็นได้ชัดว่า ตัวเครื่องเป็นรอยได้ค่อนข้างง่ายกว่าสีอื่น อีกทั้ง ทางแอปเปิลเอง ก็ได้ระบุที่หน้าเว็บไซต์เช่นกันว่า สีดำ Jet Black เป็นรอยได้ง่าย และควรหาเคสใส่เพิ่ม แต่สำหรับสีอื่น แม้จะเกิดรอยได้ยากกว่าสี Jet Black แต่ถ้าหากต้องการถนอมตัวเครื่อง ก็ควรมองหาทั้ง ฟิล์มกันรอย และเคส iPhone 7 มาใส่เพิ่มเช่นเดียวกันครับ
▶▶ ฟิล์มกันรอย l กระจกกันรอย สำหรับ iPhone 7 และ iPhone 7 Plus
ด้วยราคาค่าตัวที่ 2 หมื่นปลาย ๆ ทำให้หลาย ๆ ท่านมองหาอุปกรณ์เสริมที่จะปกป้องไม่ให้หน้าจอและตัวเครื่องเป็นรอย นอกเหนือจาก เคส iPhone 7 แล้ว ฟิล์มกันรอย ก็ถือว่า เป็นอีกหนึ่งอุปกรณ์เสริมที่ได้รับความนิยมไม่แพ้กัน ซึ่งในปัจจุบัน ฟิล์มกันรอยสำหรับ iPhone 7 นั้น มีให้เลือกหลายยี่ห้อ และหลายรูปแบบ แต่ในกรณีที่ต้องการการปกป้องที่มากขึ้น ก็ต้องเป็น กระจกกันรอย หรือกระจกนิรภัย ที่มาพร้อมกับคุณสมบัติในการปกป้องหน้าจอได้ดีกว่าฟิล์มกันรอยทั่ว ๆ ไป โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เรื่องของการตกกระแทก ที่กระจกกันรอยจะมีความแข็งแกร่งกว่าฟิล์มกันรอยมากเลยทีเดียว
ด้วยคุณสมบัติที่แข็งแกร่งกว่า ทำให้ กระจกกันรอย มีความหนากว่า ฟิล์มกันรอย เล็กน้อย อย่างเช่น กระจกกันรอยสำหรับ iPhone 7 Plus จากแบรนด์ Hi-Shield นี้ มีความหนาอยู่ที่ 0.33 มม. เท่านั้น ถือว่า เป็นขนาดที่บางเฉียบ และแข็งแกร่งที่ระดับ 9H เมื่อติดแล้วยังคงสามารถใส่เคสได้ตามปกติ นอกจากนี้ ยังเป็นกระจกกันรอยแบบ Round Edge หรือมีความโค้งมนรับกับกระจกหน้าจอแบบพอดิบพอดี ไม่มีขอบข้างเหลือ นอกจากคุณสมบัติด้านการกันรอยจากการกระแทกและของมีคมแล้ว ยังป้องกันรอยนิ้วมือได้อย่างดีเยี่ยม และทำความสะอาดง่ายอีกด้วย
จะเห็นว่า หลังจากที่ติด กระจกนิรภัย Hi-Shield แล้ว ดูกลมกลืนไปกับตัวเครื่อง รับกับขอบโค้งของหน้าจอ และปุ่มต่าง ๆ ทั้งปุ่ม Home และตัวลำโพงสำหรับสนทนา
ในด้านของการแสดงผลนั้น ก็ยังให้สีสันและภาพที่ชัดเจน การสัมผัสลงไปบนหน้าจอสามารถทำได้ตามปกติ และตอบสนองได้อย่างรวดเร็วเช่นเดียวกับตอนก่อนติดกระจกนิรภัย
แม้กว่า กระจกนิรภัย หรือกระจกกันรอย นั้น จะมีราคาที่สูงกว่า ฟิล์มกันรอยแบบทั่วไป แต่เมื่อเทียบกับราคาของ iPhone 7 และ iPhone 7 Plus แล้ว ก็ถือว่า เป็นอุปกรณ์เสริมที่คุ้มค่าต่อการลงทุน อีกทั้งยังเป็นการถนอมตัวเครื่องให้ใช้งานได้นานขึ้นอีกด้วย
IHS เผย ต้นทุนผลิตชิ้นส่วนใน iPhone 7 อยู่ที่ประมาณ 7,600 บาทเท่านั้น!
นาทีนี้สมาร์ทโฟนเรือธงที่ถูกพูดถึงบ่อยที่สุดคงหนีไม่พ้น iPhone 7 ที่แม้จะยังไม่ได้วางจำหน่ายในประเทศไทยแต่ก็มีคนที่ยอมจ่ายเงินหลายหมื่นบาทเพื่อซื้อเครื่องหิ้วมาครอบครองก่อนใคร ส่วนในประเทศอื่นๆ ก็ขายหมดอย่างรวดเร็วแม้จะมีราคาค่อนข้างแพงเมื่อเทียบกับสมาร์ทโฟนแบรนด์อื่นๆ ก็ตาม แต่เคยสงสัยกันไหมว่า ต้นทุนส่วนประกอบของ iPhone 7 นั้น มีมูลค่าเท่าไหร่กันแน่?
IHS บริษัทด้านการวิเคราะห์ข้อมูลระดับโลก ได้นำ iPhone 7 รุ่นความจุ 32 GB มาชำแหละและคำนวณค่าใช้จ่ายในการผลิตชิ้นส่วนแต่ละชิ้น พบว่ามันมีราคาเพียง 220 ดอลลาร์ หรือราวๆ 7,600 บาทเท่านั้น ในขณะที่ราคาเต็มใน US Store อยู่ที่ 649 ดอลลาร์ หรือราว 22,500 บาท ซึ่งสูงกว่าต้นทุนถึง 3 เท่า
IHS ระบุว่า ส่วนประกอบต่างๆ ใน iPhone 7 มีราคาสูงกว่าใน iPhone 6s ประมาณ 36 ดอลลาร์ (1,250 บาท) ซึ่งส่วนต่างนี้มาจากเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่เพิ่มเข้ามาเช่น Taptic Engine ภายใต้ปุ่ม Home, โมดูลกล้องแบบใหม่ และความจุภายในที่มากขึ้นกว่าเดิม
Apple A10 Processor
สำหรับส่วนประกอบสำคัญอื่นๆ เช่นชิปประมวลผล A10 มีต้นทุนการผลิต 26 ดอลลาร์ (904 บาท) โมดูลกล้องด้านหน้าและด้านหลังรวมกันมีมูลค่าไม่ถึง 20 ดอลลาร์ ( 695 บาท) ส่วนที่แพงที่สุดคือแผงหน้าจอแสดงผล IPS LCD ขนาด 4.7 นิ้วซึ่งมีมูลค่า 39 ดอลลาร์ (1,356 บาท) แต่ในขณะเดียวกันแบตเตอรี่กลับราคาถูกอย่างเหลือเชื่อ โดยมีมูลค่าเพียง 2.5 ดอลลาร์ (87 บาท) เท่านั้น ส่วนราคาของหน่วยความจำแฟลชขนาด 32 GB และ RAM 2 GB รวมแล้วเป็น 16.40 ดอลลาร์ (570 บาท) เมื่อเพิ่มความจุเป็น 128 GB ก็จะมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นอีกเล็กน้อย แต่ Apple กลับตั้งราคาขายต่างกันถึง 100 ดอลลาร์ ถึงกระนั้นก็ตามการเพิ่มหน่วยความจำเป็น 2 เท่าในทุกรุ่น (32/128/256 GB) ก็ทำให้กำไรตรงส่วนนี้หายไปบ้างเช่นกัน แม้ว่าราคาหน่วยความจำแฟลช NAND ในท้องตลาดจะถูกลงแล้วก็ตาม
Taptic Engine
งานวิจัยนี้ยังไม่ได้วิเคราะห์มูลค่าวัสดุของ iPhone 7 Plus ซึ่งจะมีต้นทุนสูงกว่านี้อย่างไม่ต้องสงสัยด้วยหน้าจอที่ใหญ่ขึ้นและโมดูลกล้องคู่ที่มีความซับซ้อนกว่า แต่จากการคำนวณเบื้องต้นคาดว่ามูลค่าการผลิตของโมดูลกล้องคู่จะอยู่ที่ประมาณ 40 ดอลลาร์ (1,390 บาท)
แม้ทาง IHS จะคำนวณราคาของส่วนประกอบต่างๆใน iPhone 7 ออกมาที่ 220 ดอลลาร์ แต่สำหรับ Apple แล้วยังมีค่าใช้จ่ายในด้านอื่นๆ อีกมาก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องบรรจุภัณฑ์ การขนส่ง ภาษี และค่าใช้จ่ายด้านการตลาด นอกจากนี้ยังมีค่าพัฒนาซอฟต์แวร์ ค่าจ้างพนักงาน และอื่นๆ อีกหลายอย่าง ซึ่งทำให้ค่าใช้จ่ายจริงในการผลิต iPhone 7 ถีบตัวสูงขึ้นอีก แต่แม้ว่าจะนำค่าใช้จ่ายทุกอย่างมารวมกันแล้ว Apple ก็ยังคงทำกำไรได้ถึง 250 ดอลลาร์ (8,690 บาท) ต่อการขาย iPhone 7 1 เครื่องอยู่ดี
ไม่ว่าต้นทุนที่แท้จริงของ iPhone 7 จะเป็นอย่างไร แต่ Apple ก็ได้เปิดตัว iPhone 7 และ iPhone 7 Plus ลงสู่ตลาดได้อย่างสวยงามและยังขายดิบขายดีเช่นเดิม แถมยังฉุดเอาหุ้น APPL สูงตามขึ้นมา อันเป็นผลมาจากกระแสตอบรับของผู้ใช้ที่มีต่อเรือธงรุ่นใหม่ดีกว่าที่คาดไว้นั่นเอง สำหรับต้นทุนการผลิตชิ้นส่วนแต่ละชิ้นโดยละเอียด สามารถดูได้ตามตารางด้านล่างครับ - 9 to 5 mac
คลิปแกะกล่อง iPhone 7 มาแล้ว! พร้อมเปรียบเทียบ สีดำด้าน Black และสีดำเงา Jet Black แตกต่างกันอย่างไร ? ปุ่ม Home แบบใหม่ ใช้งานอย่างไร ? ชมคลิป
วางจำหน่ายรอบแรกอย่างเป็นทางการแล้ว เมื่อวันที่ 16 กันยายน 2016 ที่ผ่านมา สำหรับ iPhone 7 กับ iPhone 7 Plus และก็เริ่มมีคลิป iPhone 7 unboxing เผยออกมาให้ชมกันอย่างต่อเนื่อง โดยคลิปที่ทีมงานหยิบยกให้ชมกันในวันนี้ เป็นคลิปจาก MKBHD ที่นอกจากจะเปรียบเทียบตัวเครื่อง iPhone 7 และ iPhone 7 Plus สีดำ Black (Matte Black) กับสีดำเงา Jet Black แล้ว ยังเผยให้เห็นการใช้งานปุ่ม Home แบบใหม่ที่ใช้ระบบ Taptic Engine อีกด้วย
เริ่มกันที่แพ็กเกจตัวเครืองกันก่อน แม้จะเป็นตัวเครื่องสีดำเหมือนกันทั้ง 2 รุ่น แต่กล่องแพ็กเกจแตกต่างกัน โดยสีดำ Black จะเป็นกล่องสีขาว ส่วนสีดำเงา Jet Black จะเป็นกล่องสีดำ
เปิดกล่อง จะเจอคู่มือการใช้งานก่อน
และตัวเครื่อง iPhone 7 สีดำเงา Jet Black
สำหรับหูฟังแบบ Lightning นั้น จะไม่ถูกบรรจุอยู่ในกล่องพลาสติกแบบเดียวกับ iPhone 6S
พลิกมาอีกด้าน จะเป็นตัวแปลงพอร์ต Lightning to 3.5 mm. สำหรับใช้กับหูฟังแบบ 3.5 มิลลิเมตร ถ้าหากทำตัวแปลงนี้หาย บน Apple Store ก็มีวางจำหน่ายเช่นกัน
ถัดมาเป็นสาย Lightning สำหรับชาร์จแบตเตอรี่ และ Adapter สำหรับชาร์จไฟ
สำหรับอุปกรณ์บน iPhone 7 Plus สีดำ Black นั้น เหมือนกับของ iPhone 7 ประกอบด้วย คู่มือการใช้งาน, หูฟัง EarPods แบบ Lightning, ตัวแปลงพอร์ต Lightning to 3.5 mm. และ Adapter สำหรับชาร์จไฟ
เปรียบเทียบตัวเครื่องระหว่าง สีดำ Black (ซ้าย) กับ สีดำเงา Jet Black (ขวา)
จากนั้น ก็เปิดเครื่องและตั้งค่าตามปกติ แต่สิ่งที่เพิ่มเข้ามา นั่นก็คือ การตั้งค่าปุ่ม Home นั่นเอง อย่างที่กล่าวไว้ในตอนต้นว่า ปุ่ม Home บน iPhone 7 นั้น เป็นปุ่ม Home แบบใหม่ ไม่ใช่ปุ่ม Home แบบกดที่เราคุ้นเคยกันใน iPhone รุ่นก่อน ๆ แต่เป็นปุ่ม Home ที่มาพร้อมกับระบบ Taptic Engine ที่ช่วยทำให้ไวต่อการตอบสนอง และใช้งาน Touch ID ได้แม่นยำมากกว่าเดิม
โดยระบบ Taptic Engine นี้ จะช่วยทำให้มีความรู้สึกว่า เหมือนกับกำลังกดปุ่ม Home ลงไปจริง ๆ คล้าย ๆ กับ TrackPad บน MacBook รุ่นใหม่นั่นเอง นั่นก็คือ ถ้าหากเปิดเครื่องอยู่ จะสามารถกดใช้งานได้เหมือน Trackpad ปกติ แต่ถ้าหากปิดเครื่อง จะไม่สามารถกดลงไปได้ ปุ่ม Home บน iPhone 7 และ iPhone 7 Plus ก็เช่นเดียวกัน ซึ่งผู้ใช้สามารถตั้งค่าการกดได้ 3 ระดับ นั่นก็คือ การแตะ, การกดเบา ๆ และกดหนัก ๆ
ส่วนใครที่สงสัยว่า ถ้าหากปุ่ม Home กดลงไปไม่ได้แบบนี้ จะทำการ Hard Reset อย่างไร ก็ให้กดปุ่ม Power และปุ่มลดเสียงแทน เป็นการทำ Hard Reset บน iPhone 7 และ iPhone 7 Plus ครับ
เรียกได้ว่า ทั้ง iPhone 7 สีดำ Black กับ สีดำเงา Jet Black มีความสวยกันคนละแบบ แต่สำหรับคนที่คิดจะซื้อ iPhone 7 หรือ iPhone 7 Plus สีดำเงา Jet Black ควรจะต้องระวังเรื่องการเป็นรอยง่ายสักหน่อย ซึ่งทาง แอปเปิล เองก็แนะนำให้หาเคสมาใส่เพิ่มด้วย เพื่อป้องกันไม่ให้ตัวเครื่องเกิดรอยได้ง่ายขึ้นกว่าเดิม - cultofmac.com
เผยผลทดสอบ AnTuTu ล่าสุด ขึ้นแท่นมือถือเร็วที่สุดในโลกแล้ว
หลังจากที่ก่อนหน้านี้เรือธงรุ่นพี่อย่าง iPhone 7 Plus ได้ถูกจับทดสอบบนเว็บไซต์ Geekbench และพบว่าเลือกใช้งานหน่วยความ RAM ขนาด 3GB เป็นรุ่นแรกของไอโฟนเป็นที่เรียบร้อย ล่าสุดมีผลการทดสอบ iPhone 7 เรือธงรุ่นเล็ก ซึ่งคราวนี้ทำคะแนนทดสอบประสิทธิภาพไปได้สูงถึง 178,000 คะแนน ขึ้นแท่นสมาร์ทโฟนที่แรงที่สุดในเวลานี้แซงหน้า OnePlus 3 เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
เว็บไซต์ Weibo โซเชียลมีเดียรายใหญ่ในประเทศจีน ได้เปิดเผยผลคะแนนการทดสอบประสิทธิภาพและการประมวลผลของ iPhone 7 ที่ถูกทำการทดสอบบน AnTuTu แอปพลิเคชันทดสอบชื่อดัง โดยพบว่าสามารถทำคะแนนไปได้ทั้งหมด 178,397 คะแนน แซงหน้า OnePlus 3 เรือธงที่ใช้ชิปเซ็ต Snapdragon 820 พร้อม RAM ขนาด 6GB เป็นที่เรียบร้อย รวมถึงทำคะแนนได้มากกว่าคู่แข่งอย่าง Samsung Galaxy S7 edge ที่ทำคะแนนประมวลผลได้ประมาณ 130,000 เท่านั้น รวมทั้งยังมากกว่าเรือธงรุ่นปีที่แล้วอย่าง iPhone 6s ที่ทำคะแนนไว้ได้ประมาณ 130,000 คะแนน ซึ่งนับว่า iPhone 7 เป็นสมาร์ทโฟนที่แรงที่สุดในขณะนี้หากพิจารณาผลอันดับการทดสอบของเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา
สำหรับ iPhone 7 มาพร้อมกับหน่วยความจำ RAM ขนาด 2GB พร้อมชิปเซ็ตประมวลผล Quad-Core A10 Fusion ตัวใหม่ล่าสุด ซึ่งแบ่งการทำงาน 2 คอร์สำหรับการทำงานด้านประสิทธิภาพ และอีก 2 คอร์สำหรับประหยัดพลังงาน โดยมีความเร็วมากกว่าชิปเซ็ต A9 ที่ใช้บน iPhone 6s ถึง 40% ซึ่งต้องติดตามกันต่อไปว่า iPhone 7 Plus เรือธงรุ่นใหญ่จะมีประสิทธิภาพที่แตกต่างมากน้อยเพียงใด - gsmarena.com
สรุปสเปกและคุณสมบัติบน iPhone 7 (ไอโฟน 7) และ iPhone 7 Plus มาพร้อมกล้องคู่แบบ Dual-Camera 12 MP กันน้ำ เพิ่มสีใหม่ สีดำเงา Jet Black และสีดำด้าน Black
เปิดตัวอย่างเป็นทางการแล้ว สำหรับ iPhone 7 และ iPhone 7 Plus ในงาน Keynote เมื่อช่วงเที่ยงคืนที่ผ่านมา ซึ่งดีไซน์และคุณสมบัติบางส่วนของทั้ง iPhone 7 และ iPhone 7 Plus นั้น ตรงกับข่าวลือที่เผยออกมาก่อนหน้านั้นหลายอย่างเลยทีเดียว โดยทั้ง 2 รุ่นจะมีคุณสมบัติใดน่าสนใจบ้าง และอัปเกรดจากรุ่นเดิมมากน้อยแค่ไหน ทีมงาน techmoblog สรุปไว้ให้แล้ว มาดูกันดีกว่าว่า สเปก และคุณสมบัติต่าง ๆ ของ iPhone 7 และ iPhone 7 Plus มีอะไรกันบ้าง
iPhone 7 Plus มาพร้อมกับกล้องแบบ Dual-Camera ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล
สำหรับกล้องถ่ายรูปด้านหลังบน iPhone 7 Plus นั้น เป็นกล้องแบบ Dual-Camera ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 เลนส์ ได้แก่ เลนส์ Wide 28mm (F/1.8) และเลนส์ Telephoto 56mm (F/2.8) ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล ทั้ง 2 เลนส์ สามารถซูมแบบ Optical ได้ 2 เท่า และซูมแบบ Digital ได้ 10 เท่า นอกจากนี้ ยังมาพร้อมกับเทคโนโลยี Machine Learning แยกฉากหลังออกจากฉากหน้า ทำให้สามารถถ่ายภาพบุคคลแบบหน้าชัดหลังเบลอได้ ซึ่งปกติภาพแบบนี้จะได้จากกล้องแบบ DSLR เท่านั้น
ส่วน iPhone 7 มาพร้อมกับกล้องแบบ Single-Camera ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล และมีคุณสมบัติในด้านอื่น ๆ เหมือนกัน นั่นก็คือ รูรับแสงกว้างสูงสุด F/1.8, ไฟแฟลชแบบ Quad-LED (ไฟแฟลช 4 ดวง) สว่างกว่าเดิม 50%, กล้องด้านหน้า ความละเอียด 7 ล้านพิกเซล รูรับแสง F/2.2 (อัปเกรดจาก 5 ล้านพิกเซลบน iPhone 6S และ iPhone 6S Plus) และมีระบบกันสั่นแบบ OIS ทั้งบน iPhone 7 และ iPhone 7 Plus
เพิ่มคุณสมบัติในการกันน้ำ กันฝุ่น
iPhone 7 และ iPhone 7 Plus มาพร้อมกับคุณสมบัติด้านการกันน้ำ กันฝุ่น ตามมาตรฐาน IP67 สามารถอยู่ในน้ำลึก 1 เมตรได้นาน 30 นาที โดยเป็น iPhone รุ่นแรกที่มีคุณสมบัติดังกล่าว
ชิปเซ็ต Apple A10 Fusion แบบ Quad-Core Processor
ทั้ง iPhone 7 และ iPhone 7 Plus มาพร้อมกับชิปเซ็ต 64-bit Apple A10 Fusion แบบ Quad-Core Processor และ M10 Motion Coprocessor ซึ่งประมวลผลได้เร็วกว่าชิปเซ็ต Apple A9 บน iPhone 6S และ iPhone 6S Plus ถึง 40%, เร็วกว่าชิปเซ็ต Apple A8 ถึง 2 เท่า ส่วนชิปประมวลผลกราฟิก เป็นแบบ Six-Core Processor เร็วกว่าบน Apple A9 ถึง 50%
นอกจากนี้ iPhone 7 และ iPhone 7 Plus ยังรองรับเครือข่าย LTE มากถึง 25 ความถี่ พร้อมเทคโนโลยี LTE Advanced สามารถถ่ายโอนข้อมูลได้เร็วกว่า iPhone 6 ถึง 3 เท่า สูงสุดที่ 450 Mbps
หน้าจอขนาดเท่าเดิม แต่เพิ่มความสว่างขึ้นอีก 25%
iPhone 7 มาพร้อมกับหน้าจอขนาด 4.7 นิ้ว ความละเอียด 1334 x 750 พิกเซล ส่วน iPhone 7 Plus มาพร้อมกับหน้าจอขนาด 5.5 นิ้ว ความละเอียด 1920 x 1080 พิกฌซล แต่ปรับความสว่างของเทคโนโลยีแบบ Retina Display เพิ่มขึ้นอีก 25%
ปุ่ม Home แบบ 3D Touch
นอกจากเทคโนโลยี 3D Touch จะอยู่บนหน้าจอแล้ว iPhone 7 และ iPhone 7 Plus ยังมาพร้อมกับปุ่ม Home แบบ 3D Touch ด้วยเช่นกัน นอกจากนี้ ยังมีความแข็งแรงทนทานกว่าเดิม และตอบสนองได้อย่างรวดเร็วทันใจ
ตัดขนาดความจุ 16 GB ออก เริ่มต้นที่ 32 GB แล้ว
นับว่าเป็นข่าวดีมากเลยทีเดียว เมื่อ iPhone 7 และ iPhone 7 Plus มาพร้อมกับขนาดความจุเริ่มต้นที่ 32 GB แล้ว และตัดรุ่นขนาดความจุ 16 GB ออก โดยมีให้เลือก 3 ขนาดความจุด้วยกัน ได้แก่ 32 GB, 128 GB และ 256 GB
ตัดช่องหูฟังขนาด 3.5 มิลลิเมตรออกแล้ว
ตรงตามข่าวลือ เมื่อ iPhone 7 และ iPhone 7 Plus ตัดช่องหูฟังขนาด 3.5 มิลลิเมตรออกแล้ว ส่วนหูฟัง EarPods นั้น เป็นพอร์ตแบบ Lightning แทน แต่ถ้าหากมีหูฟังแบบปกติ สามารถใช้ Adapter ตัวแปลงพอร์ต 3.5 mm to Lightning ได้ ซึ่งอุปกรณ์ทั้งหมดนี้ แถมมาให้ในกล่องแพ็กเกจ
AirPods หูฟังไร้สายสุดล้ำ
สำหรับ AirPods หูฟังไร้สายรุ่นใหม่นี้ มาพร้อมกับชิปเซ็ต Apple W1 ด้วย Dual Optical Sensor และ Accelerometer Sensor จะทำหน้าที่ตรวจจับตัวตำแหน่งของ AirPods เมื่ออยู่ในหู เสียงเพลงก็จะดังขึ้น และหยุดเล่นเมื่อมีการถอดออกทั้ง 2 ข้าง หรือข้างเดียว และจะกลับมาเล่นเพลงให้อัตโนมัติเมื่อใส่กลับไปใหม่ นอกจากนี้ ยังสามารถเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ Apple ได้โดยไม่ต้องมีสวิตช์ หรือปุ่มกด เชื่อมต่อกับ Siri ด้วยการแตะ 2 ครั้ง
และด้วยคุณสมบัติของชิปเซ็ต Apple W1 บน AirPods ซึ่งใช้พลังงานน้อยมาก ทำให้สามารถใช้งานได้ยาวนาน 5 ชั่วโมงต่อการชาร์จ 1 ครั้ง โดย AirPods จะมีการวางจำหน่ายในเดือนตุลาคมที่จะถึงนี้
ลำโพงเสียงแบบสเตอริโอ ดังกว่าเดิม 2 เท่า
iPhone 7 และ iPhone 7 Plus มาพร้อมกับลำโพงแบบสเตอริโอ ให้กำลังเสียงดังกว่า iPhone 6S ถึง 2 เท่า ทำให้มีช่วงไดนามิกของเสียงที่กว้างขึ้นและ Speaker Phone คุณภาพเสียงดีกว่าเดิม
แบตเตอรี่ใช้ได้นานกว่าเดิม
ถึงแม้ภายในงาน จะไม่ได้มีการระบุถึงขนาดความจุแบตเตอรี่บน iPhone 7 และ iPhone 7 Plus แต่ได้มีการเผยรายละเอียดว่า แบตเตอรี่บน iPhone 7 สามารถใช้งานได้นานกว่าบน iPhone 6S ถึง 2 ชั่วโมง ส่วนแบตเตอรี่บน iPhone 7 Plus ใช้งานได้นานกว่าบน iPhone 6S Plus 1 ชั่วโมง
ทำงานบนระบบปฏิบัติการ iOS 10
iPhone 7 และ iPhone 7 Plus ทำงานบนระบบปฏิบัติการ iOS 10 ที่มาพร้อมกับฟีเจอร์ล้ำ ๆ มากมาย (อ่านฟีเจอร์ของ iOS 10 ต่อได้ที่นี่) โดย iOS 10 จะเปิดให้ดาวน์โหลดอย่างเป็นทางการในวันที่ 13 กันยายนนี้
เพิ่มสีใหม่ สีดำเงา (Jet Black) และสีดำด้าน (Black)
สำหรับคนที่ชอบสีดำน่าจะถูกใจเป็นพิเศษ เมื่อ iPhone 7 และ iPhone 7 Plus นั้น เพิ่มสีใหม่ นั่นก็คือ สีดำ โดยแบ่งออกเป็น 2 แบบคือ สีดำเงา (Jet Black) และสีดำด้าน (Black) ทำให้ iPhone 7 และ iPhone 7 Plus มีให้เลือกทั้งหมด 5 สีด้วยกัน ได้แก่ Silver, Gold, Rose Gold, Black และ Jet Black ซึ่งรุ่นสีดำเงา Jet Black นั้น มีให้เลือกเฉพาะขนาดความจุ 128 GB และ 256 GB เท่านั้น
ราคา iPhone 7 และ iPhone 7 Plus
ราคา iPhone 7 และ iPhone 7 Plus ในสหรัฐฯ เป็นดังนี้
iPhone 7 และ iPhone 7 Plus เปิดพรีออเดอร์ 9 กันยายน จำหน่าย 16 กันยายนนี้
iPhone 7 และ iPhone 7 Plus เปิดพรีออเดอร์ในวันที่ 9 กันยายนนี้ และวางจำหน่ายรอบแรก ในวันศุกร์ที่ 16 กันยายน 2016 ในประเทศออสเตรเลีย, ออสเตรีย, เบลเยียม, แคนาดา, จีน, เดนมาร์ก, ฟินแลนด์, ฝรั่งเศส, เยอรมนี, ฮ่องกง, ไอร์แลนด์, อิตาลี, ญี่ปุ่น, ลักเซมเบิร์ก, เม็กซิโก, เนเธอร์แลนด์, นิวซีแลนด์, นอร์เวย์, โปรตุเกส, เปอร์โตริโก, สิงคโปร์, สเปน, สวีเดน, สวิตเซอร์แลนด์, ไต้หวัน, สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์, สหราชอาณาจักร, หมู่เกาะเวอร์จินของสหรัฐอเมริกา และสหรัฐอเมริกา
ส่วนกำหนดการวางจำหน่ายรอบที่ 2 คือวันที่ 23 กันยายน 2016 ในประเทศอันดอร์รา, บาห์เรน, บอสเนียและเฮอร์เซโกวีนา, บัลแกเรีย, โครเอเชีย, ไซปรัส, สาธารณรัฐเช็ก, เอสโตเนีย, กรีซ, กรีนแลนด์, เกิร์นซีย์, ฮังการี, ไอซ์แลนด์, เกาะแมน, เจอร์ซีย์, คอซอวอ, คูเวต, ลัตเวีย, ลิกเตนสไตน์, ลิทัวเนีย, มัลดีฟส์, มอลตา, โมนาโก, โปแลนด์, กาตาร์, โรมาเนีย, รัสเซีย, ซาอุดิอาระเบีย, สโลวาเกีย และสโลวีเนีย ส่วนในประเทศอินเดีย วางจำหน่ายวันที่ 7 ตุลาคม 2016
บทความ iPhone 7 และ iPhone 7 Plus ที่เกี่ยวข้อง
---------------------------------------
ข้อมูลโดย : techmoblog.com
Update : 29/09/2017
หน้าหลัก (Main) |
(สินค้า IT) ออกใหม่ |
|
FOLLOW US |