เฉลยคำตอบ ดอกกุหลาบสีเขียวปริศนา เป็นที่เรียบร้อยแล้ว สำหรับการเผยโฉมของ Nokia X สมาร์ทโฟนที่สร้างความฮือฮา ให้กับผู้ใช้ทั่วโลกได้มากทีเดียว เพราะ Nokia X คือ สมาร์ทโฟนรุ่นแรกของโนเกีย ที่รันระบบปฏิบัติการ Android นั่นเอง ซึ่งสร้างเซอร์ไพรส์ให้กับ สาวกโนเกีย เป็นอย่างมาก เพราะไม่คาดคิดว่า ทางโนเกีย จะกระโดดเข้ามาวงการ Android ได้ หลังจากที่ ไมโครซอฟท์ เข้าซื้อ กิจการของ โนเกีย เมื่อปลายปีที่ผ่านมา
โดย Nokia X มาพร้อมกับระบบปฏิบัติการ Nokia X Software Platform 1.0 ซึ่งมีพื้นฐานอยู่บน Android Open Source Project ทำให้สามารถติดตั้ง แอพพลิเคชั่นจากระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ ได้อย่างมากมายทีเดียว อย่างไรก็ดี ถึงแม้ Nokia X จะเป็น แอนดรอยด์โฟน แต่กลับไม่ได้นำฟีเจอร์ของ ระบบปฏิบัติการ Android มาใช้อย่างเต็มรูปแบบ ทำให้ไม่มีบริการจาก Google Service แต่ทางโนเกียเอง ก็ได้ชดเชยด้วยการนำ ฟีเจอร์เด่นๆ จากทั้ง โนเกีย และ ไมโครซอฟท์ มาให้ใช้งานแทน ไม่ว่าจะเป็น HERE Maps, HERE Drive, Nokia Mix Radio รวมไปถึง แอพพลิเคชั่นสำหรับชาแชทอย่าง Skype เป็นต้น
และในวันนี้ ถือว่า เป็นโอกาสอันดีที่ ทีมงาน techmoblog ได้สัมผัส Nokia X ตัวจริงเสียงจริงแบบเต็มๆ มาดูกันว่า แอนดรอยด์โฟนสีสันสดใส อย่าง Nokia X รุ่นนี้ จะมีความน่าสนใจอย่างไรบ้าง กับบทความ รีวิว Nokia X โดยทีมงาน techmoblog ครับ
สเปค Nokia X
• จอแสดงผลกว้าง 4.0 นิ้ว แบบ IPS LCD Capacitive Touchscreen 16.7 ล้านสี ความละเอียด 480 x 800 พิกเซล (233 ppi)
• หน่วยประมวลผลแบบ Dual-Core Cortex-A5 Processor (Qualcomm MSM8225 Snapdragon S4 Play chipset) ความเร็ว 1 GHz
• หน่วยประมวลผลภาพ Adreno 203 GPU
• หน่วยความจำ RAM ขนาด 512 MB
• หน่วยความจำภายในตัวเครื่อง ขนาด 4 GB รองรับ microSD card สูงสุด 32 GB
• รันระบบปฏิบัติการ Nokia X Software Platform เวอร์ชัน 1.0 ซึ่งมีพื้นฐานอยู่บนระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์
• กล้องด้านหลัง ความละเอียด 3.15 ล้านพิกเซล
• รองรับการใช้งาน 2 ซิมการ์ดภายในเครื่องเดียว
• รองรับแอพพลิเคชั่น HERE Drive, HERE Maps
• แบตเตอรี่ขนาด 1500 mAh
• ราคาเปิดตัว 3,990 บาท
Nokia X : ดีไซน์ และการออกแบบ
สำหรับดีไซน์โดยรวมของ Nokia X นั้น จะเห็นได้ว่า คล้ายกับสมาร์ทโฟนในตระกูล Asha ครับ ที่ชูจุดเด่นในเรื่องของ ตัวเครื่องสีสันสดใส โดย Nokia X นั้น มาพร้อมกับ หน้าจอขนาด 4 นิ้ว แบบ IPS LCD Capacitive Touchscreen ความละเอียด 800 x 480 พิกเซล ซึ่งเป็นขนาดที่เหมาะมือมากทีเดียว
ด้านบนของหน้าจอแสดงผลนั้น ประกอบด้วย ลำโพงสำหรับสนทนา, Proximity Sensor สำหรับการปิดหน้าจอแบบอัตโนมัติขณะสนทนา และ Ambient Light Sensor สำหรับตรวจวัดระดับความสว่างของสภาพแวดล้อม เพื่อปรับความสว่างของหน้าจอโดยอัตโนมัติ ซึ่ง Nokia X นี้ ไม่มีกล้องด้านหน้าครับ
ด้านล่างของหน้าจอแสดงผล ประกอบด้วย ปุ่มย้อนกลับ (Back) และไมโครโฟนสำหรับสนทนา โดยปุ่มย้อนกลับบน Nokia X นั้น สามารถใช้งานได้ทั้งหมด 2 แบบด้วยกัน นั่นก็คือ แตะ 1 ครั้งเพื่อย้อนกลับ หรือ กดค้างเพื่อกลับสู่หน้า Home
ด้านขวาของตัวเครื่อง ประกอบไปด้วย ปุ่มปรับระดับเสียง และปุ่ม เปิด-ปิด หรือล็อคหน้าจอแสดงผล ส่วนด้านซ้ายของตัวเครื่อง ไม่มีปุ่มควบคุมการทำงานใดๆ
ด้านบนของตัวเครื่อง ประกอบด้วย ช่องหูฟังขนาดมาตรฐาน 3.5 มิลลิเมตร ส่วนด้านล่างของตัวเครื่อง ประกอบด้วย พอร์ตแบบ microUSB สำหรับเชื่อมต่อสมาร์ทโฟนกับคอมพิวเตอร์ หรือชาร์จแบตเตอรี่
ด้านหลังตัวเครื่อง ประกอบด้วย กล้องดิจิตอล ความละเอียด 3.12 ล้านพิกเซล และลำโพงเสียง ที่ด้านล่าง โดยฝาหลังนั้น จะเป็นโพลีคาร์บอเนตพื้นผิวแบบด้าน และสามารถแกะฝาหลัง เพื่อเปลี่ยนแบตเตอรี่ได้
Nokia X รองรับการใช้งาน 2 ซิมการ์ด แบบ microSIM และรองรับหน่วยความจำภายนอกแบบ microSD card สูงสุด 32 GB ส่วนแบตเตอรี่ มีความจุอยู่ที่ 1500 mAh
มาลองเปรียบเทียบขนาด ระหว่าง Nokia X กับ iPhone 5 ครับ ซึ่งทั้ง 2 รุ่นนี้ มีขนาดหน้าจอที่ 4 นิ้วเท่ากัน แต่ iPhone 5 จะมีตัวเครื่องยาวกว่า ส่วน Nokia X ตัวเครื่องจะป้อมๆ ดูกว้างกว่าเล็กน้อย
Nokia X : อินเทอร์เฟส และการใช้งานเบื้องต้น
ถึงแม้ว่า Nokia X จะมาพร้อมกับระบบปฏิบัติการ Nokia X Software Platform 1.0 ซึ่งมีพื้นฐานอยู่บน Android Open Source Project ทำให้สามารถติดตั้ง แอพพลิเคชั่น จากระบบปฏิบัติการ Android ได้ แต่สำหรับอินเทอร์เฟสนั้น ถือว่า แตกต่างจาก มือถือแอนดรอยด์ มากพอสมควรครับ เรียกได้ว่า เป็นการนำอินเทอร์เฟสแบบ Metro บนระบบปฏิบัติการวินโดว์สโฟน มาดัดแปลงใหม่ นอกจากนี้ ยังรองรับ แอพพลิเคชั่นสำคัญพื้นฐาน อย่างครบครันอีกด้วย
เมื่อแตะค้างที่แอพพลิเคชั่น จะสามารถปรับขนาดเล็ก-ใหญ่ ได้ตามใจชอบ จะเคลื่อนย้ายตำแหน่ง หรือถอนการติดตั้งก็ได้
ส่วน Widget ก็สามารถเลือกได้ตามใจชอบเช่นกัน
นอกจากนี้ Nokia X ยังมีระบบ Notification Center (ลากจากด้านบนลงล่าง) สำหรับตั้งค่าการใช้งานต่างๆ เช่น เปิด-ปิด Wi-Fi, เปิด-ปิด Bluetooth, ปิดเสียง หรือเปิด-ปิดการใช้ data นอกจากนี้ ยังสามารถเข้าสู่เมนูการตั้งค่า (Settings) ได้จากส่วนนี้เช่นกัน
ส่วนการแตะแล้วลากลง (เหมือน iOS 7) จะเป็นการเปิดใช้งาน Search หรือเมนูการค้นหา โดยสามารถค้นหาข้อมูลทั่วไป ผ่านทางเว็บไซต์ต่างๆ หรือค้นหาแผนที่ ผ่านทาง HERE Maps
นอกจากนี้ ยังมีระบบการแจ้งเตือนต่างๆ บนหน้า Lock screen อีกด้วย ซึ่งสามารถเข้าสู่แอพพลิเคชั่นที่ปรากฏบนหน้าจอได้ ด้วยแตะแล้วลากจากซ้ายไปขวา
สำหรับการค้นหาเส้นทาง หรือดูแผนที่ หมดห่วงได้เลยสำหรับ Nokia X เพราะทางโนเกีย ได้นำแอพพลิเคชั่นแผนที่อย่าง HERE Maps และ HERE Drive มาให้ใช้งานอย่างเต็มรูปแบบ ซึ่งสามารถดาวน์โหลดแผนที่ได้ฟรี และใช้งานฟรีตลอดชีพ นอกจากนี้ ยังสามารถดาวน์โหลดแผนที่แบบออฟไลน์ ของประเทศอื่นมาใช้ได้ฟรีอีกด้วย
ส่วนเบราว์เซอร์บน Nokia X นั้น ถือว่า ตอบสนองต่อการใช้งานได้ดีพอสมควร รองรับการ Pinch-to-Zoom และเพิ่ม tab ได้ นอกจากนี้ ยังมีเบราว์เซอร์อย่าง Opera ให้เลือกใช้งานด้วยเช่นกัน
Nokia X รองรับการพิมพ์ภาษาไทยอย่างเต็มรูปแบบ แต่การเปลี่ยนภาษาไปใช้ภาษาอื่น อย่างเช่น ภาษาอังกฤษ มีขั้นตอนที่ยุ่งยากเล็กน้อย นั่นก็คือ จะต้องกด spacebar ค้างไว้ จนกว่าจะมีหน้าจอให้เลือกภาษา ปรากฏขึ้นมา ถ้าหากเป็นการสไลด์ที่ปุ่ม spacebar เพื่อเปลี่ยนภาษาแทน น่าจะใช้งานได้สะดวกกว่านี้ครับ
นอกจากนี้ Nokia X ยังรองรับแอพพลิเคชั่นพื้นฐานอีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็น เครื่องคิดเลข, ปฏิทิน, นาฬิกาปลุก รวมไปถึงเกมจากระบบปฏิบัติการ Android อีกมากมาย และแอพพลิเคชั่นสำหรับขาแชทอย่าง LINE, Skype และ Viber นอกจากนี้ ยังรองรับ Facebook และ Twitter อีกด้วย ซึ่งการดาวน์โหลดแอพพลิเคชั่น สามารถเข้าไปได้ที่ Nokia Store
Nokia X : ฟีเจอร์ Fastlane
สำหรับท่านที่เคยใช้ มือถือในตระกูล Asha มาก่อน คงจะคุ้นเคยกับฟีเจอร์ที่มีชื่อว่า Fastlane กันเป็นอย่างดี โดย Fastlane นั้น เปรียบเสมือนหน้ารวมการใช้งานต่างๆ หรือเปิดแอพพลิเคชั่นที่ใช้งานล่าสุด คล้ายๆ กับ Recent Apps บนระบบปฏิบัติการ Android นั่นเอง ซึ่งวิธีการเปิดใช้งาน Fastlane ก็ง่ายๆ ครับ แค่ปัดหน้าจอไปด้านซ้าย หรือปัดกลับ เพื่อกลับสู่หน้า Home
Nokia X : สะดวกมากขึ้น กับการรองรับการใช้งาน 2 ซิมการ์ดในเครื่องเดียว
ความพิเศษของ Nokia X ยังไม่หมดเพียงเท่านี้ เพราะ Nokia X นั้น สามารถรองรับการใช้งาน 2 ซิมการ์ดในเครื่องเดียว โดยรองรับซิมการ์ดแบบ microSIM ซึ่งในหน้า Settings จะมีเมนูการตั้งค่า ให้สามารถกำหนดลักษณะการโทร หรือการใช้อินเทอร์เน็ตได้ แต่น่าเสียดายที่ หากใช้งานซิมใดซิมหนึ่งอยู่ อีกซิมจะไม่สามารถโทรออก หรือรับสายได้
Nokia X : ทดสอบกล้องด้านหลัง ความละเอียด 3.12 ล้านพิกเซล
สำหรับกล้องด้านหลังบน Nokia X นั้น มีความละเอียดอยู่ที่ 3.12 ล้านพิกเซล ไม่มีไฟแฟลช และเป็นระบบการถ่ายภาพแบบ Fixed Focus ทำให้ไม่สามารถเลือกจุดโฟกัสได้เอง ซึ่งเหมาะสำหรับการถ่ายภาพวิวทิวทัศน์เสียมากกว่า โดยกล้องบน Nokia X สามารถเปลี่ยนโหมดการถ่ายภาพได้ 2 แบบ นั่นก็คือ โหมดการถ่ายภาพแบบปกติ และ โหมดการถ่ายภาพแบบพาโนรามา นอกจากนี้ ยังสามารถปรับค่าการถ่ายภาพอื่นๆ ได้ เช่น ปรับ White Balance, ปรับค่าชดเชยแสง และปรับค่า ISO เป็นต้น
มาชมภาพถ่ายจากกล้องบน Nokia X ความละเอียด 3.12 ล้านพิกเซลครับ (คลิกที่ภาพเพื่อขยายขนาดเต็ม แบบไม่ผ่านการตกแต่งใดๆ)
Nokia X : บทสรุปการใช้งาน
หลังจากที่ทีมงาน techmoblog ได้ลองสัมผัสแรกกับ Nokia X ต้องบอกเลยว่า เป็น สมาร์ทโฟนในระดับเริ่มต้นที่น่าสนใจทีเดียว นอกจากฟีเจอร์ต่างๆ รวมไปถึงซอฟท์แวร์ ที่ตอบสนองการทำงานได้อย่างครบครันแล้ว ราคา Nokia X เพียง 3,990 บาท ถือว่า เป็นราคาที่สบายกระเป๋า แถมยังรองรับทั้ง แอพพลิเคชั่นจาก Android และแอพพลิเคชั่นเฉพาะของทาง โนเกีย และ ไมโครซอฟท์ นอกจากนี้ ยังรองรับการใช้งาน 2 ซิมการ์ด เรียกได้ว่า ราคาในระดับนี้ แต่ได้ฟีเจอร์ที่ตอบโจทย์การใช้งานได้แทบจะทุกด้าน ถือว่า คุ้มค่ามากทีเดียวครับ
จุดเด่นของ Nokia X
• รองรับการใช้งาน 2 ซิมการ์ดภายในเครื่องเดียว
• จอแสดงผลกว้าง 4.0 นิ้ว แบบ IPS LCD Capacitive Touchscreen 16.7 ล้านสี ความละเอียด 480 x 800 พิกเซล (233 ppi)
• หน่วยประมวลผลแบบ Dual-Core Cortex-A5 Processor (Qualcomm MSM8225 Snapdragon S4 Play chipset) ความเร็ว 1 GHz
• หน่วยประมวลผลภาพ Adreno 203 GPU
• ระบบปฏิบัติการ Nokia X Software Platform เวอร์ชัน 1.0 ซึ่งมีพื้นฐานอยู่บนระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์
• รองรับ microSD card สูงสุด 32 GB
• รองรับการเชื่อมต่อเครือข่าย Wi-Fi และ 3G
• ระบบ GPS ในตัว พร้อมฟังก์ชัน A-GPS
• มีวิทยุ FM ในตัว
• รองรับแอพพลิเคชั่น HERE Maps และ HERE Drive ซึ่งสามารถดาวน์โหลดแผนที่มาใช้งานได้ฟรีตลอดชีพ และสามารถใช้งานแบบออฟไลน์ได้
• รองรับการใช้งานฟีเจอร์ Fastlane แบบเดียวกับ สมาร์ทโฟนในตระกูล Asha
• ราคาจำหน่ายเพียง 3,990 บาท
จุดที่ต้องพิจารณาเพิ่มเติม
• กล้องดิจิตอลด้านหลังตัวเครื่อง ไม่มีไฟแฟลชมาให้ในตัว และเป็นแบบ Fixed Focus ทำให้ไม่สามารถเลือกจุดโฟกัสได้เอง ซึ่งถ้าหากเปรียบเทียบกับ สมาร์ทโฟนที่มีระดับราคาใกล้เคียงกัน บางรุ่น มีทั้งไฟแฟลช และระบบ Auto Focus มาให้
• ไม่รองรับบริการต่างๆ ของ Google
• รองรับเครือข่าย 3G เพียง 2 คลื่นความถี่เท่านั้น (900/2100 MHz)
• หน่วยความจำภายในตัวเครื่อง มีขนาดความจุเพียง 4 GB ทำให้ต้องใช้ microSD card อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
• เมื่อใช้งานไปสักระยะหนึ่ง หรือเปิดใช้งานแอพพลิเคชั่นมากเกินไป จะทำให้ตัวเครื่องค้าง และหน่วง หรือบางครั้งขณะกำลังใช้งานอยู่ จะเกิดอาการ App Crashes เด้งกลับมายังหน้า Home
---------------------------------------
บทความรีวิวโดย : techmoblog.com
Update : 26/03/2015
หน้าหลัก (Main) |
(สินค้า IT) ออกใหม่ |
|
FOLLOW US |