กระแสกล้องคู่ (Dual-Camera) ในช่วงครึ่งปีหลังนี้นับว่ามาแรงมากๆ จนตอนนี้กลายเป็นหนึ่งในฟีเจอร์ที่ผู้ใช้ถามหากันมากที่สุดไปแล้วเรียบร้อย ทางผู้ผลิตจึงตอบสนองด้วยการเปิดตัวสมาร์ทโฟนกล้องคู่ออกมาประชันกันมากมายหลายรุ่น และพัฒนาต่อยอดขึ้นไปอย่างรวดเร็ว ราวกับเป็นสัญญาณว่าเทคโนโลยีกล้องคู่จะกลายเป็นมิติใหม่ของการถ่ายภาพด้วยสมาร์ทโฟน แต่ถึงแม้ในตอนนี้วงการสมาร์ทโฟนจะเริ่มเดินหน้าเข้าสู่ยุคกล้องคู่กันแล้ว แต่เชื่อว่าหลายคนยังคงสงสัยกับความสามารถของมันว่าต่างจากกล้องเดี่ยวที่ใช้กันมานานอย่างไร ดีกว่ากันแค่ไหน และสมาร์ทโฟนกล้องคู่รุ่นใดที่ยอดเยี่ยมที่สุดในเวลานี้ ดังนั้นก่อนอื่น เรามาทำความรู้จักกับเทคโนโลยีนี้กันก่อนดีกว่าครับ
กล้องคู่ดีอย่างไร?
ก่อนอื่นต้องบอกให้ทราบกันก่อนว่า กล้องคู่ที่ใช้กันบนสมาร์ทโฟนเรือธงทั้งหลายในตอนนี้แบ่งเป็น 2 ประเภทด้วยกัน คือกล้องคู่แบบ “2 เลนส์ 2 เซ็นเซอร์” และ “2 เลนส์ 1 เซ็นเซอร์” ซึ่งก็มีจุดเด่นจุดด้อยต่างกันไป
สำหรับกล้องคู่แบบ “2 เลนส์ 2 เซ็นเซอร์” เซ็นเซอร์รับภาพทั้งสองตัวจะทำงานเป็นอิสระจากกัน โดยตัวหนึ่งเก็บภาพสี RGB และอีกตัวหนึ่งเก็บภาพขาว-ดำ Monochrome ซึ่งเซ็นเซอร์ขาวดำนี้จะสามารถเก็บรายละเอียดค่าความเปรียบต่าง (Contrast) และแสงเงาได้ดีกว่าเซ็นเซอร์สี เมื่อเราถ่ายภาพ เซ็นเซอร์ทั้งสองตัวจะทำงานพร้อมกัน และนำเอาภาพที่ได้มาประมวลผลร่วมกัน ผลลัพธ์คือภาพสีสันสดใสที่มีรายละเอียดแสงเงาคมชัดกว่ากล้องดิจิทัลธรรมดา ส่วนกล้องคู่แบบ “2 เลนส์ 1 เซ็นเซอร์” มักจะดึงจุดเด่นของภาพด้วยการใช้เลนส์มุมกว้าง (Wide) และเลนส์ทางยาว (Telephoto) ผสมผสานกัน ทำให้ได้เปรียบในเรื่องมิติของภาพและระยะชัดลึก (Deph of Field) ส่งผลให้เก็บรายละเอียดของภาพในทางกว้างและทางลึกได้ดีกว่า
กล้องคู่ที่มีทั้งเซ็นเซอร์ RGB และ Monochrome ในตัว
กล้องคู่ที่อาศัยเลนส์ในการทำให้ภาพดูมีมิติมากขึ้น
ทั้งนี้การถ่ายภาพแบบชัดตื้นชัดลึก หรือที่เรียกกันติดปากว่าหน้าชัดหลังเบลอ รวมไปถึงเอฟเฟกต์โบเก้ (Bokeh) กล้องคู่ทั้งสองแบบสามารถทำได้ แต่กล้องที่มีเลนส์ telephoto จะทำได้ดีกว่า อย่างไรก็ตามขึ้นอยู่กับซอฟต์แวร์ประมวลผลภาพของสมาร์ทโฟนรุ่นนั้นๆ ด้วย
เมื่อรู้จักความสามารถของกล้องคู่กันไปพอสังเขปแล้ว ก็ถึงเวลาของ 5 อันดับสุดยอดสมาร์ทโฟนกล้องคู่ประจำปี 2016 ซึ่งจัดอันดับโดยดูจากประสิทธิภาพของตัวกล้องและความคุ้มค่าด้านราคาเป็นหลัก สมาร์ทโฟนรุ่นไหนจะขึ้นทำเนียบสุดยอดกล้องคู่ประจำปีนี้บ้าง เราไปชมกันเลยครับ
1. Huawei Mate 9 และ Huawei P9
หากพูดถึงสมาร์ทโฟนกล้องคู่เชื่อว่าหลายคนคงนึกถึง 2 ชื่อนี้ขึ้นมาก่อนแน่ๆ เพราะเมื่อกลางปีที่ผ่านมา Huawei ได้สร้างความฮือฮาให้กับวงการสมาร์ทโฟนทั่วโลกด้วยเรือธงกล้องคู่ Huawei P9 และไม่ใช่แค่กล้องคู่ธรรมดา แต่เป็นกล้องคู่ที่พัฒนาร่วมกับ Leica แบรนด์ระดับแนวหน้าของวงการถ่ายภาพจากเยอรมัน จึงการันตีได้ถึงความสามารถของกล้องคู่ตัวนี้ได้เป็นอย่างดี
กล้องคู่ของ Huawei P9 เป็นกล้องแบบ 2 เลนส์ 2 เซ็นเซอร์ โดยเซ็นเซอร์แต่ละตัวจะแยกเก็บภาพสี RGB และภาพขาว-ดำ Monochrome ก่อนจะนำมาประมวลผลร่วมกันเพื่อให้ได้ภาพถ่ายที่สมบูรณ์แบบทั้งสีสันและแสงเงา ซึ่งล่าสุดกล้องคู่จาก Leica นี้ก็ได้พัฒนาต่อยอดมาจนถึง Generation 2 แล้ว โดยอยู่ในเรือธงตัวท็อปรุ่นใหม่อย่าง Huawei Mate 9 ที่เพิ่งเปิดตัวไปเมื่อเดือนที่แล้ว โดยมาพร้อมกับคุณสมบัติครบครัน ทั้งระบบกันสั่น (OIS), ระบบ 4-in-1 Hybrid Autofocus และ Hybrid Zoom
ส่วนราคาค่าตัวก็ไม่ได้แพงไปกว่าเรือธงทั่วไปในท้องตลาด โดย Huawei P9 มีราคาอยู่ที่ประมาณ 16,990 บาท ส่วน Huawei Mate 9 สมาร์ทโฟนเรือธงรุ่นใหม่ล่าสุดมีราคาในไทยอยู่ที่ 23,000 บาท ซึ่งเมื่อเทียบกับความสามารถที่กล้องคู่ Leica ทำได้แล้วถือว่าคุ้มค่าครับ
ดูคุณสมบัติโดยละเอียดของ Huawei P9
ดูคุณสมบัติโดยละเอียดของ Huawei Mate 9
2. iPhone 7 Plus
หลังจากที่ Huawei จุดกระแสกล้องคู่ขึ้นมาใหม่ iPhone ที่อยู่คู่วงการสมาร์ทโฟนมาอย่างยาวนานก็ได้นำเทคโนโลยีนี้มาใช้กับเรือธงรุ่นล่าสุดอย่าง iPhone 7 Plus ด้วยเช่นกัน สำหรับกล้องคู่บน iPhone 7 Plus จะมีเซ็นเซอร์รับภาพเพียงตัวเดียว แต่จะมี 2 เลนส์ด้วยกัน คือเลนส์มุมกว้างที่มีทางยาวโฟกัส 28 มิลลิเมตรกับรูรับแสง f/1.8 สำหรับเก็บรายละเอียดวัตถุที่อยู่ด้านหน้า และเลนส์ telephoto ที่มีทางยาวโฟกัส 56 มิลลิเมตรกับรูรับแสง f/2.8 สำหรับเก็บรายละเอียดบรรยากาศด้านหลังวัตถุ การใช้ประโยชน์จากเลนส์ทั้ง 2 แบบพร้อมกันนี้จะทำให้สามารถถ่ายภาพแบบหน้าชัดหลังเบลอ หรือแบบโบเก้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้กล้องคู่ของ iPhone 7 Plus ยังโดดเด่นด้วยระบบ Optical Zoom ที่ซูมได้ถึง 2 เท่าโดยที่ไม่เสียความคมชัดอีกด้วย
iPhone 7 Plus เครื่องเปล่ามีราคาเริ่มต้นที่ 31,500 บาทซึ่งเป็นราคาที่สูงเอาการเมื่อเทียบกับเรือธงรุ่นอื่นๆ แต่สำหรับผู้ที่ต้องการสัมผัสประสบการณ์กล้องคู่บน iOS แล้วยังไงก็ต้องไม่พลาดแน่นอน
ดูคุณสมบัติโดยละเอียดของ iPhone 7 Plus
3. LG G5 และ LG V20
ควงคู่กันมาเป็นอันดับที่ 3 สำหรับ LG G5 และ LG V20 แม้ว่าทั้งสองรุ่นจะเปิดตัวในช่วงเวลาที่ต่างกันและมีจุดเด่นต่างกันแต่สำหรับโมดูลกล้องคู่นั้นเหมือนกันมาก โดยเป็นแบบ 2 เลนส์ 2 เซ็นเซอร์ แต่ไม่ได้แยกเป็นเซ็นเซอร์รับภาพสีและภาพขาว-ดำเหมือนกับ Huawei P9 และ Mate 9 จุดเด่นของกล้อง LG G5 และ LG V20 นั้นอยู่ที่เลนส์มุมกว้างที่กว้างถึง 135 องศา กว้างกว่าเลนส์กล้องปกติถึง 2 เท่า ด้วยเหตุนี้กล้องคู่บน LG G5 และ LG V20 จึงเน้นไปที่การถ่ายวิวทิวทัศน์มากกว่าการถ่ายหน้าชัดหลังเบลอที่นิยมกันอยู่ในช่วงเวลานี้
ในส่วนของราคานั้น LG G5 จะอยู่ที่ประมาณ 18,000 บาท และ LG V20 ที่เพิ่งเปิดตัวออกมาจะมีราคาประมาณ 28,000 บาท ในบ้านเราอาจจะหาซื้อได้ยากนิดนึงครับ
ดูคุณสมบัติโดยละเอียดของ LG G5
4. Vivo X9
อีกหนึ่งสมาร์ทโฟนกล้องคู่ที่โดดเด่นเป็นอันดับต้นๆ ช่วงปลายปี 2016 เพราะมาแปลกไม่เหมือนใครด้วยการเลือกติดตั้งกล้องคู่ไว้ด้านหน้าแทน นับว่าถูกพัฒนาขึ้นมาเพื่อเป็นสุดยอดมือถือเซลฟีโดยเฉพาะ ซึ่งตัวกล้องก็จัดเต็มด้วยเซ็นเซอร์รับภาพ Sony IMX376 ความละเอียด 20 ล้านพิกเซล พร้อมกับกล้องเสริมความละเอียด 8 ล้านพิกเซลสำหรับเก็บความตื้นลึกของภาพ เมื่อนำภาพที่ได้จากกล้องทั้ง 2 ตัวมาประมวลผลร่วมกันก็จะได้ภาพแบบหน้าชัดหลังเบลอที่มีคุณภาพสูงไม่แพ้กล้องโปร ภาพเซลฟีที่ได้จึงมีความโดดเด่นกว่าภาพเซลฟีทั่วไปอย่างชัดเจน สำหรับผู้ที่รักการเซลฟีเป็นชีวิตจิตใจจึงไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวง
Vivo X9 มีราคาเริ่มต้นอยู่ที่ประมาณ 14,500 บาท ซึ่งถือว่าคุ้มค่ากับประสิทธิภาพการเซลฟีในระดับนี้ แต่น่าเสียดายที่ยังไม่มีวางจำหน่ายในประเทศไทย ในตอนนี้จึงต้องฝากหิ้วกันไปก่อนครับ
5. Xiaomi Mi 5s Plus
หากพูดถึงเรื่องความคุ้มค่าคุ้มราคา สมาร์ทโฟน Xiaomi นับเป็นหนึ่งในแบรนด์แรกๆ ที่จะถูกนึกถึงก่อน เพราะจุดเด่นที่ทำให้ Xiaomi เป็นที่รู้จักก็คือการอัดสเปกมาให้แบบเกินราคา ทำให้ผู้ใช้ทั่วไปสามารถสัมผัสฟีเจอร์ระดับสูงบนสมาร์ทโฟนได้แม้จะมีงบประมาณไม่มาก ซึ่งล่าสุดเมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมาก็ได้เปิดตัวสมาร์ทโฟนกล้องคู่รุ่นล่าสุดในชื่อ Xiaomi Mi 5s Plus
กล้องคู่บน Xiaomi Mi 5s Plus นั้นเป็นแบบ 2 เลนส์ 2 เซ็นเซอร์ โดยเซ็นเซอร์ 2 ตัวจะแยกกันทำงานโดยตัวหนึ่งรับภาพสี RGB และอีกตัวหนึ่งรับภาพขาว-ดำ monochrome แล้วจึงนำภาพที่ได้มาประมวลผลรวมกันเพื่อให้ภาพมีความสดใสและแสงเงาที่คมชัดมากขึ้น ซึ่งเป็นเทคนิคเดียวกันกับ Huawei P9 และ Mate 9 นอกจากนี้ยังมาพร้อมกับเทคโนโลยี Qualcomm Clear Sight ซึ่งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพด้าน Dynamic Range และการเก็บรายละเอียด รวมไปถึงลด Noise ไม่ให้มากวนใจเมื่อต้องถ่ายภาพในที่ที่มีแสงน้อย
Xiaomi Mi 5s Plus มีราคาเริ่มต้นแค่ประมาณ 11,900 บาทเท่านั้น หากเน้นไปที่ความคุ้มค่าถือว่าเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจเป็นอันดับต้นๆ เลยทีเดียว แม้ว่าในขณะนี้ Xiaomi Mi 5s Plus จะมีวางจำหน่ายแค่ในประเทศจีนเท่านั้น แต่ก็ยังพอมีช่องทางที่จะหามาครอบครองได้เช่นกันครับ
ภาพตัวอย่างจากการถ่ายด้วยเทคโนโลยีกล้องคู่
แม้ว่าจะเป็นกล้องคู่เหมือนกันหมดแต่สมาร์ทโฟนทั้ง 5 อันดับข้างต้นนี้ก็มีคุณสมบัติเด่นที่แตกต่างกันไป ทำให้ผู้ใช้อย่างเราๆ มีตัวเลือกมากขึ้น และในปีหน้าเทคโนโลยีกล้องคู่ก็จะได้รับการพัฒนาต่อยอดออกไปอีกในหลายๆ ทิศทาง และครอบคลุมสไตล์การใช้งานที่แตกต่างกันของผู้ใช้ได้มากขึ้น หากนับปี 2016 เป็น "บทนำ" ของยุคกล้องคู่แล้ว ปี 2017 ก็คงจะเป็น "บทที่ 1" ที่จะเริ่มเข้าเรื่องอย่างจริงจังและสนุกขึ้นเรื่อยๆ ปีหน้าเราจะได้เห็นสมาร์ทโฟนกล้องคู่แบบไหนออกมาบ้าง และจะยอดเยี่ยมไปกว่าเดิมแค่ไหน ต้องจับตาดูกันให้ดีครับ
---------------------------------------
บทความโดย : techmoblog.com
Update : 26/12/2016
Huawei LG G5 iPhone 7 Plus Huawei P9 LG V20 Huawei Mate 9 Xiaomi Mi 5s Plus Vivo X9
หน้าหลัก (Main) |
(สินค้า IT) ออกใหม่ |
|
FOLLOW US |