[26-มิถุนายน-2556] สำหรับการเปิดตัว iOS 7 เมื่อ 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา หลายๆ ท่านอาจจะมองว่า เป็นแค่การอัพเกรด iOS ที่มักจะเกิดขึ้นทุกๆ ปี และอาจจะมี ฟีเจอร์ บางอย่างเพิ่มขึ้นมาเท่านั้น แต่จริงๆ แล้ว การเปลี่ยนแปลง iOS 7 ในครั้งนี้ นอกจากจะเปลี่ยนทีมออกแบบใหม่หมด เป็น Jony Ive ที่มาดูแลในส่วนนี้ ในส่วนของอินเทอร์เฟส และฟังก์ชั่นการใช้งาน ก็ถูกอัพเกรด และออกแบบใหม่หมดเช่นกัน
อย่างไรก็ดี ได้มีผู้มองว่า การเปลี่ยนแปลง iOS 7 ในครั้งนี้ อาจจะเป็นตัวบ่งชี้ถึง สเปคที่เป็นไปได้ บน iPhone 5S (ไอโฟน 5S) รวมไปถึง iPad 5 ที่มีกำหนดการเปิดตัวในเร็วๆ นี้ ได้บ้างเช่นกัน ถึงแม้ว่า สเปคของ iPhone 5s และ iPad 5 จะไม่มีข้อมูลที่ทราบแน่ชัด แต่บน iOS 7 จะสามารถคาดเดา รูปแบบ หรือสเปค ของทั้ง 2 อุปกรณ์นี้ได้อย่างไร มีผู้สังเกต และสรุปไว้เป็นข้อๆ แล้ว ดังนี้ครับ
User Interface ที่เคลื่อนที่ได้
ปกติแล้ว ภาพแบ็คกราวน์บน iOS จะเป็นภาพนิ่ง ไม่เคลื่อนไหว แต่อินเทอร์เฟสแบบใหม่บน iOS 7 ทำให้ภาพแบ็คกราวน์ธรรมดาๆ มีชีวิตชีวามากขึ้น เนื่องจากเป็นภาพที่สามารถเคลื่อนไหวได้ ตามมุมมองที่เปลี่ยนไป (Parallax) ต่างจากภาพแบ็คกราวน์แบบ Live wallpaper ที่มีการเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา
บางคนอาจจะมองว่า ภาพแบบ Parallax นี้ เป็นแค่ gimmick หรือกลยุทธการขายของธรรมดาๆ แต่จริงๆ แล้ว การที่ Apple เปลี่ยนอินเทอร์เฟสให้เป็นแบบ Parallax นี้ อาจจะมีเหตุผลที่ลึกซึ้งกว่านั้นครับ หรือจะพูดง่ายๆ ก็คือว่า iOS 7 สามารถเปลี่ยนวิธีการใช้งาน ได้ตามสถานการณ์ที่เปลี่ยนไป เหมือนกับภาพแบบ Parallax ที่เคลื่อนไหวตลอดเวลา ตามมุมการมองที่เปลี่ยนไปนั่นเอง ซึ่งจากจุดนี้ นักวิเคราะห์ตีความได้ว่า iPhone 5S หรือ iPad 5 อาจจะมีฟังก์ชั่นการใช้งาน ที่ปรับเปลี่ยนไปเองตามสถานการณ์ที่เป็นอยู่ตอนนั้น ยกตัวอย่างเช่น ขับรถอยู่ หรือขี่จักรยานอยู่ ตัวเครื่องก็จะปรับสภาพการใช้งานให้เหมาะสมกับสภาวะแวดล้อมในตอนนั้น เป็นต้นครับ
สีสัน และความกลมกลืน
จากภาพด้านบน เราจะเห็นได้ว่า เมื่อเราเปลี่ยนสีแบ็คกราวน์ ตรงปุ่มกดก็จะเปลี่ยนสีไปตามแบ็คกราวน์นั้นๆ ด้วยเช่นกัน สมมติว่า แบ็คกราวน์เป็นสีแดง ปุ่มกดก็จะเป็นสีแดง (แต่โทนอ่อนกว่า) ซึ่งจุดนี้ ตีความได้ว่า iPhone 5S อาจจะมีหลายสี ตามข่าวลือก่อนหน้าครับ ซึ่งผู้ใช้จะสามารถเปลี่ยนสีของ อินเทอร์เฟส ได้ตามสีของตัวเครื่อง หรือใช้สีตามใจชอบได้นั่นเอง
ส่วน iPad 5 จะมีหลายสีให้เลือก เหมือน iPhone 5S หรือไม่ ในส่วนนี้ยังไม่มีรายละเอียดครับ
เซ็นเซอร์แบบใหม่ และระบบการป้องกันที่ปลอดภัยมากขึ้น
แม้จะยังไม่คอนเฟิร์มว่า iPhone 5S (ไอโฟน 5S) จะมาพร้อมกับ เซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือหรือไม่ แต่ Nick Bilton ได้เคยให้สัมภาษณ์กับทาง New York Times ว่า วิธีหนึ่งที่จะช่วยเพิ่มความปลอดภัยให้กับสมาร์ทโฟน ด้วยการใช้เซ็นเซอร์ นั้นก็คือ การสร้างซอฟท์แวร์ที่สามารถตรวจสอบได้ว่า ผู้ใช้มีพฤติกรรรมการใช้งานอย่างไรกับสมาร์ทโฟน และหลังจากที่ผู้ใช้ ได้ใช้งานสมาร์ทโฟนดังกล่าวไประยะหนึ่ง ระบบจะทำการเรียนรู้และจดจำวิธีการใช้งานของเราเอง ซึ่งส่วนนี้ จะช่วยสามารถสร้างความปลอดภัยให้กับมือถือของเราได้อีกวิธีหนึ่งนั่นเอง
จากข้อความของ Nick Bilton สามารถนำมาปรับใช้กับ iOS 7 ได้อย่างไรครับ ? สังเกตได้จากหน้า Lockscreen ที่ในจุด Slide to unlock บน iOS เวอร์ชั่นก่อนๆ จะต้องสไลด์ให้ตรงจุด แต่บน iOS 7 นั้น จะเห็นได้ว่า เราสามารถทัชตรงส่วนใดของหน้าจอก็ได้ เพื่อทำการปลดล็อค ไม่จำเป็นต้อง slide to unlock ด้านล่างหน้าจอเพียงอย่างเดียว ซึ่งจุดนี้ ได้ถูกคาดเดาว่า น่าจะเป็นส่วนหนึ่งของคำว่า เซ็นเซอร์ลายนิ้วมือ ครับ โดยระบบจะจดจำว่า ผู้ใช้สัมผัสส่วนใดของหน้าจอมากที่สุดขณะทำการปลดล็อค ส่วนทาง Apple จะนำจุดนี้ไปต่อยอดอย่างไร ยังไม่มีข้อมูลครับ
iPhone เริ่มเป็นสมาร์ทโฟนที่ฉลาดมากขึ้น
จากคำพูดข้างต้น จะสามารถตีความว่า iPhone จะกลายเป็น สมองดิจิตอล ได้อย่างไร? ปกติแล้ว สมาร์ทโฟนมักจะมีการใช้งานเฉพาะแค่ตัวของมันเอง ไม่ได้เชื่อมต่อกับอุปกรณ์อื่นๆ ถึงแม้ว่าในระยะหลัง จะเริ่มมีฟังก์ชั่นในการเชื่อมต่อกับ สมาร์ทโฟน เช่น การส่งภาพผ่าน NFC หรือใช้ สมาร์ทโฟนเป็นรีโมทคอนโทรลบ้างแล้ว แต่สำหรับ iOS 7 มีการต่อยอดไปมากกว่านั้น เพราะสามารถเชื่อมต่อการใช้งานในรถยนต์ได้แล้ว
สำหรับการเชื่อมต่อ iPhone กับรถยนต์นี้ นอกเหนือจากการใช้เป็นเครื่องเล่นเพลงแล้ว ยังสามารถรับโทรศัพท์ หรือค้นหาแผนที่ ได้จากอุปกรณ์ที่ติดตั้งบนรถยนต์ได้โดยตรง โดยที่เราไม่จำเป็นต้องหยิบ iPhone ขึ้นมากดนั่นเอง ซึ่งจุดนี้ ถูกมองว่า นอกจากรถยนต์แล้ว มีความเป็นไปได้ที่จะสามารถเชื่อมต่อ iPhone กับอุปกรณ์อื่นๆ ได้อีก อย่างเช่น SmartWatch ที่ตกเป็นข่าวในตอนนี้นั่นเอง
ถึงแม้ในตอนนี้ จะยังไม่มีรายละเอียดเผยว่า SmartWatch จาก Apple จะสามารถใช้งานในด้านใดได้บ้าง แต่ Don Lehman ดีไซน์เนอร์ท่านหนึ่ง ได้เผยว่า จุดสำคัญที่สุดในการออกแบบ SmartWatch ให้สมบูรณ์แบบ ไม่ใช่อยู่ที่การดีไซน์ แต่เป็นการออกแบบว่า ทำอย่างไรที่จะให้ SmartWatch มีพลังงานแบตเตอรี่เหลือได้อย่างยาวนานที่สุด ยิ่งเราเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งานให้ SmartWatch มากเท่าไหร่ ก็จะยิ่งเป็นการลดประสิทธิภาพของแบตเตอรี่มากขึ้นเท่านั้น แต่ถ้าหากเรานำ SmartWatch ไปเชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟน จะเป็นการลดปัญหาในส่วนนั้นลงได้
สร้างการเชื่อมต่อระหว่างอุปกรณ์
ส่วนนี้เริ่มต้นมาจากฟีเจอร์ AirDrop บน iOS 7 ที่สามารถแลกเปลี่ยนไฟล์ข้อมูล กับผู้ใช้งานอื่นๆ ได้ โดยไม่ต้องผ่าน Wi-Fi รวมไปถึง Notification Center ที่เมื่อไหร่ก็ตามที่มีการเปิดอ่านไปแล้วบนอุปกรณ์หนึ่ง ก็จะแจ้งอีกอุปกรณ์หนึ่งว่า ได้เปิดอ่านแล้วเช่นกัน ซึ่งผู้ใช้ไม่จำเป็นต้องอ่านซ้ำ และอาจจะมีการเชื่อมต่อในรูปแบบอื่นเพิ่มขึ้น ซึ่งบน iPhone 5S หรือ iPad 5 จะมีรูปแบบการเชื่อมต่อในรูปแบบใดกันบ้าง เร็วๆ นี้ก็คงได้ทราบกันครับ
สรุปความเป็นไปได้ ของฟีเจอร์หรือคุณสมบัติที่น่าจะเกิดขึ้นบน iPhone 5S (ไอโฟน 5S) กับ iPad 5 จากข้อสันนิษฐานด้านบนก็คือ
1) มีฟังก์ชั่นการใช้งานที่เหมาะสม และปรับเปลี่ยนไปตามสถานการณ์ต่างๆ
2) iPhone 5S มีความเป็นไปได้ที่จะมีให้เลือกหลายสี ตามข่าวลือ
3) เพิ่มระบบความปลอดภัยให้ดียิ่งขึ้น โดยสังเกตจากพฤติกรรมการใช้ของผู้ใช้เป็นหลัก อย่างเช่น ตำแหน่งการปลดล็อคบนหน้าจอ ซึ่งจะช่วยยืนยันตัวตนของผู้ใช้ได้มากขึ้น
4) สามารถถ่ายโอนการทำงานไปให้อุปกรณ์อื่นๆ ได้ เช่น เปิดแผนที่กับอุปกรณ์ในรถยนต์ หรือกดรับสายจาก SmartWatch เป็นต้น
5) รองรับการเชื่อมต่อระหว่างอุปกรณ์มากขึ้น
---------------------------------------
รายละเอียดเพิ่มเติม : gizmodo.com
Update : 26/06/2013
หน้าหลัก (Main) |
(สินค้า IT) ออกใหม่ |
|
FOLLOW US |