วางจำหน่ายในไทยอย่างเป็นทางการแล้ว สำหรับ iPad Pro ที่มีให้เลือกทั้ง 2 ขนาดหน้าจอ นั่นก็คือ ขนาด 12.9 นิ้ว และ 9.7 นิ้ว ซึ่ง iPad Pro รุ่นหน้าจอ 12.9 นิ้วนั้น เปิดตัวตั้งแต่ปลายปีที่ผ่านมา ด้วยสเปคที่สมชื่อ Pro กว่า iPad ทุกรุ่นที่เคยมี พร้อมอุปกรณ์เสริมคู่ใจอย่าง Apple Pencil กับ Smart Keyboard
แต่ด้วยหน้าจอที่มีขนาดใหญ่มหึมา ทำให้ iPad Pro 12.9 นิ้ว อาจจะไม่เหมาะสำหรับผู้ใช้งานทุกคน ด้วยเหตุนี้ แอปเปิล จึงได้เปิดตัว iPad Pro ขนาดหน้าจอ 9.7 นิ้ว ซึ่งเป็นขนาดที่ แอปเปิล เผยว่า เหมาะสมกับผู้ใช้งานมากที่สุด ที่ถึงแม้ว่า หน้าจอจะมีขนาดที่เล็กลง แต่สเปคยังคงความเป็น "โปร" แบบไม่มีกั๊ก เช่นเดียวกับรุ่นหน้าจอใหญ่ อีกทั้ง ยังรองรับ Apple Pencil กับ Smart Keyboard และเปิดตัวสีใหม่อย่าง ชมพู Rose Gold ซึ่งเป็นสีที่ได้รับความนิยมบน iPhone 6S และเป็นครั้งแรกของผลิตภัณฑ์ในตระกูล iPad ที่มีขนาด 256 GB ให้เลือกอีกด้วย
มาดูกันดีกว่าว่า iPad Pro ขนาด 9.7 นิ้วรุ่นนี้ จะมีความน่าใช้ขนาดไหน และแตกต่างจาก iPad รุ่นอื่นๆ อย่างไร กับ รีวิว iPad Pro 9.7 โดยทีมงาน techmoblog ครับ
สำหรับดีไซน์ของ iPad Pro 9.7 นั้น เหมือนกับ iPad Pro 12.9 รุ่นใหญ่ แต่ย่อส่วนให้มีขนาดที่เล็กลง และพกพาได้สะดวกมากขึ้นกว่าเดิม โดยมาพร้อมกับหน้าจอแสดงผลขนาด 9.7 นิ้ว แบบ Retina Display ความละเอียด 2048 x 1536 พิกเซล, ตัวเครื่องมีขนาดอยู่ที่ 240 x 169.5 x 6.1 มิลลิเมตร และน้ำหนัก 437 กรัม (เฉพาะรุ่น Wi-Fi) สามารถใช้งานได้ทั้งแนวตั้ง และแนวนอน นอกจากนี้ iPad Pro 9.7 นี้ ยังใช้เทคโนโลยีหน้าจอแบบ True Tone Display ที่จะปรับโทนสีหน้าจอให้เข้ากับสภาพแสงที่ใช้งานอยู่ในตอนนั้นอย่างอัตโนมัติ ทำให้สบายตามากกว่าเดิม
โดย iPad Pro 9.7 ใช้ชิปเซ็ต Apple A9X แบบ 64-bit ซึ่งเป็นชิปเซ็ตตัวเดียวกับ iPad Pro 12.9 แบบ Dual-Core Processor ความเร็ว 2.16 GHz, หน่วยประมวลผลภาพกราฟิก PowerVR Series 7 แบบ 12-Core และหน่วยความจำ RAM ขนาด 2 GB
ด้านบนของหน้าจอแสดงผล เป็นกล้องด้านหน้า ความละเอียด 5 ล้านพิกเซล พร้อมรูรับแสงขนาดกว้าง F/2.2 และไฟแฟลชแบบ Retina Flash
ส่วนด้านล่างของหน้าจอแสดงผล เป็นปุ่ม Home แบบ Touch ID รองรับการสแกนลายนิ้วมือ
ด้านขวาของตัวเครื่อง ประกอบด้วย ไมโครโฟน และปุ่มปรับระดับเสียง ส่วนด้านซ้ายของตัวเครื่อง เป็น Smart Connector สำหรับเชื่อมต่อกับ Smart Keyboard นั่นเอง
สำหรับ iPad Pro 9.7 นั้น มีลำโพงเสียงถึง 4 ตัวด้วยกัน อยู่ที่ด้านบนตัวเครื่อง 2 ตัว และด้านล่างตัวเครื่อง 2 ตัว ช่องหูฟังขนาด 3.5 มิลลิเมตร กับปุ่ม Power อยู่ด้านบน ส่วนพอร์ต Lightning อยู่ด้านล่างตัวเครื่อง
ด้านหลังตัวเครื่อง ประกอบด้วย กล้องด้านหลังแบบ iSight ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล พร้อมไฟแฟลชแบบ True Tone Flash ซึ่งในส่วนของกล้องด้านหลังบน iPad Pro 9.7 นิ้วนั้น ดีกว่ารุ่นหน้าจอ 12.9 นิ้วครับ โดยรุ่นใหญ่ ไม่มีไฟแฟลช และกล้องความละเอียดแค่ 8 ล้านพิกเซลเท่านั้น
สำหรับอุปกรณ์ภายในกล่อง ประกอบด้วย คู่มือการใช้งาน, สาย Lightning to USB และ Adapter ซึ่ง iPad Pro 9.7 จะไม่มีหูฟังแถมมาให้เหมือนกับ iPhone
เปรียบเทียบขนาด iPad Pro 9.7 (ซ้าย) กับ iPad Pro 12.9 (ขวา) จะเห็นได้ว่า มีขนาดที่แตกต่างกันมากเลยทีเดียว
สำหรับอุปกรณ์เสริมที่น่าสนใจของ iPad Pro 9.7 นั่นก็คือ Apple Pencil นั่นเอง ซึ่งรองรับการใช้งานเฉพาะบน iPad Pro แค่ 2 รุ่นเท่านั้น iPad Air หรือ iPad mini ไม่สามารถใช้งานร่วมกับ Apple Pencil ได้ โดยดีไซน์ของ Apple Pencil นั้น ทางแอปเปิล ตั้งใจออกแบบให้มีขนาดที่ใกล้เคียงกับดินสอมากที่สุด และในเรื่องของน้ำหนักนั้น ถือว่า หนักอยู่พอสมควรเช่นกัน
สำหรับหัวของ Apple Pencil นั้น ถูกออกแบบให้เหมือนกับ หัวดินสอ ซึ่งภายในกล่องจะมีหัวมาให้เปลี่ยนด้วยอีกชิ้น
ส่วนด้านท้ายจะมีการสลักคำว่า Apple Pencil และมีการถ่วงน้ำหนักไว้เล็กน้อยด้วย ถ้าหากลองกลิ้ง Apple Pencil ไปมา จะสังเกตเห็นว่า เมื่อหยุดกลิ้งแล้ว โลโก้ Apple Pencil จะหงายขึ้นมาทุกครั้งด้วย
เมื่อถอดฝาปิดแบบแม่เหล็กออก ด้านในจะเป็นหัวชาร์จแบบ Lightning ไว้สำหรับเสียบชาร์จไฟให้กับ Apple Pencil นั่นเอง ซึ่งการชาร์จนั้น สามารถทำได้ 2 แบบด้วยกัน
โดยการชาร์จแบบแรกก็คือ เสียบเข้าไปที่พอร์ต Lightning บน iPad Pro ซึ่งตัวเครื่องจะต้องมีแบตเตอรี่เพียงพอ จึงจะสามารถชาร์จได้ ซึ่งวิธีนี้ จะต้องระวังกันเล็กน้อย ห้ามวางไว้มุมโต๊ะหรือขอบโต๊ะโดยเด็ดขาด กันเผลอไปเดินชนและอาจทำให้ตัวชาร์จหักได้
ส่วนการชาร์จอีกแบบก็คือ การใช้ตัวช่วย ซึ่งในกล่อง Apple Pencil จะมีมาให้อยู่แล้ว ด้านหนึ่งเสียบกับ Apple Pencil ส่วนอีกด้าน เสียบกับสายชาร์จ iPhone หรือ iPad ก็ได้ครับ แล้วชาร์จตามปกติ
ถ้าหากต้องการทราบว่า แบตเตอรี่บน Apple Pencil เหลือกี่เปอร์เซ็นต์ สามารถเข้าไปดูได้ในส่วนของ Notification ส่วนราคาของ Apple Pencil นั้น อยู่ที่ 3,900 บาท ต้องซื้อแยกต่างหาก และรองรับเฉพาะบน iPad Pro เท่านั้น
สำหรับอุปกรณ์เสริมอีกอย่างสำหรับ iPad Pro ที่ช่วยทำให้การใช้งานสะดวกมากขึ้น นั่นก็คือ Smart Keyboard นั่นเอง ซึ่งด้านนอกจะเป็นวัสดุแบบโพลียูรีเทน ส่วนภายในเป็นไมโครไฟเบอร์ ไม่ต้องกังวลว่าตัวเครื่องจะเป็นรอย โดยเชื่อมต่อกับ iPad Pro ผ่านทาง Smart Connector สำหรับแป้นพิมพ์นั้น จะเป็นรูปแบบภาษาอังกฤษเท่านั้น แต่รองรับภาษาไทยนะครับ ใครที่พิมพ์แบบสัมผัสไม่ได้ ก็คงจะยากสักหน่อย เนื่องจากหาตัวอักษรไทยไม่เจอ
Smart Keyboard ไม่จำเป็นต้องชาร์จแบตเตอรี่เหมือนกับ Apple Pencil แต่สามารถรับส่งข้อมูล รวมไปถึงกระแสไฟผ่านทางพอร์ต Smart Connector นั่นเอง
เมื่อต้องการใช้งานด้านการพิมพ์ เพียงแค่พับให้อยู่ในรูปแบบนี้ แล้ววางตั้งไว้บนโต๊ะ หรือบนตัก สะดวกมากเลยทีเดียว แต่น่าเสียดายที่ไม่สามารถปรับองศาในการวางได้
และเมื่อใช้งานเสร็จแล้ว สามารถพับเก็บได้เลย เสมือนเป็นเคสอีกอัน ไม่ต้องถอดเข้าถอดออก
โดยราคาของ Smart Keyboard สำหรับ iPad Pro ขนาด 9.7 นิ้ว อยู่ที่ 5,700 บาท ส่วนของรุ่นหน้าจอ 12.9 นิ้ว จะแพงกว่า อยู่ที่ 6,700 บาท ต้องซื้อแยกเช่นกัน รองรับเฉพาะบน iPad Pro เท่านั้น iPad Air หรือ iPad mini ไม่สามารถใช้งาน Smart Keyboard ได้
iPad Pro 9.7 ทำงานบนระบบปฏิบัติการ iOS 9.3 เวอร์ชันล่าสุด ซึ่งมาพร้อมกับอินเทอร์เฟสที่คุ้นเคยกันเป็นอย่างดีอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็น Control Center หรือเมนูลัดสำหรับควบคุมการทำงานต่างๆ เช่น เปิด-ปิด Wi-Fi, เปิด-ปิด Bluetooth, ล็อคการหมุนของหน้าจอ หรือเข้าสู่แอปฯ กล้องถ่ายรูปแบบด่วน
ส่วน Notification Center จะเป็นการแจ้งเตือนต่างๆ เช่น ปฏิทิน, ตารางนัดหมาย, ข้อความเข้า และอื่นๆ
ในด้านการใช้งานท่องเว็บนั้น ใครที่เคยใช้ iPad มาก่อน คงจะทราบกันเป็นอย่างดีว่า สะดวกมากแค่ไหน เช่นเดียวกับ iPad Pro 9.7 รุ่นนี้ครับ ด้วยหน้าจอขนาดใหญ่ถึง 9.7 นิ้ว ทำให้สามารถใช้งานได้ง่ายขึ้น และสบายตามากกว่าการอ่านบนสมาร์ทโฟน
iPad Pro 9.7 รองรับการเปิดแอปพลิเคชันพร้อมกัน 2 แอปฯ ในหน้าจอเดียวเช่นกัน จะอ่านเว็บไป แชทไป หรือจดงานไป ก็สามารถทำได้ ไม่ต้องสลับหน้าไปมาเหมือนแต่ก่อน นอกจากนี้ แอปฯ Notes รองรับการใช้ Apple Pencil สามารถขีดเขียนลงไปได้เช่นกัน
อันที่จริงแล้ว Apple Pencil นอกจากจะไว้จดๆ เขียนๆ แล้ว ยังถูกพัฒนามาให้รองรับด้านการวาดรูปโดยเฉพาะ สามารถทำแรเงาได้ด้วยการเอียง Apple Pencil เล็กน้อย หรือกดน้ำหนักในระดับที่หนักและเบาแตกต่างกันไป เพื่อให้ได้ลายเส้นที่ต่างกัน เรียกได้ว่า เป็น Stylus ที่ตอบสนองต่อการวาดเขียนได้ดีมาก นักวาดการ์ตูน หรือกราฟิกดีไซน์เนอร์ น่าจะชอบครับ
ทดสอบ Benchmark ด้วยโปรแกรม AnTuTu ผลปรากฏว่า คะแนนเป็นรอง iPad Pro หน้าจอ 12.9 นิ้วเล็กน้อย
ในฐานะที่ทีมงาน techmoblog เป็นคนหนึ่งที่ใช้ iPad มาตั้งแต่รุ่นแรกๆ นั่นก็คือ iPad, iPad 2, iPad 3 มาจนถึง iPad mini และล่าสุดกับ iPad Pro ต้องขอบอกจากความรู้สึกของผู้ที่ใช้งานจริงๆ เลยว่า iPad Pro เป็นรุ่นที่ตอบสนองต่อการใช้งานมากที่สุดแล้ว เนื่องจาก iPad รุ่นอื่นๆ นั้น ถ้าหากไม่เอาไว้เล่นเกม หรือเปิดเว็บ ก็คงไม่เอาไปใช้อย่างอื่น เนื่องจากพิมพ์งานไม่ถนัด อีกทั้งเมื่อหลายปีก่อน ยังไม่มีแอปพลิเคชันที่รองรับด้านการงานเอกสารเหมือนในปัจจุบัน แต่ตอนนี้ iPad Pro ถือว่า ตอบโจทย์อย่างมาก ไม่ต้องพกพา MacBook Air ไปนอกสถานที่อีกต่อไป
สิ่งหนึ่งที่ประทับใจสำหรับ iPad Pro นั่นก็คือ Smart Keyboard ครับ เพราะให้ความรู้สึกเหมือนกับกำลังใช้งาน Notebook อยู่จริงๆ และถนัดมือกว่าการกดแป้นพิมพ์บนหน้าจอ ทำงานได้รวดเร็วขึ้น ปกติจะไม่พก iPad ไปนอกสถานที่อยู่แล้ว แต่พอได้สัมผัส iPad Pro แทบจะพกติดตัวตลอดเวลา ยิ่งได้มาใช้ร่วมกับ Smart Keyboard แล้ว ถือว่าลงตัวอย่างมากครับ ตอนที่ใช้ในช่วงแรกๆ อาจจะยังไม่ชิน เพราะตัวแป้นมีขนาดเล็กกว่าคีย์บอร์ดที่ใช้ปัจจุบัน แถมปุ่มเปลี่ยนภาษาก็คนละแบบ แต่เมื่อใช้ไปนานๆ ก็ให้ความรู้สึกชิน นอกจากนี้ ไม่เกะกะ เพราะใช้งานเสร็จก็พับเก็บได้เลย แต่ตัวเครื่องก็จะหนาขึ้น และหนักขึ้นเล็กน้อย เสียดายที่ราคาแพงไปนิด แต่ก็คุ้มค่าที่จะเสียเงินครับ
ในเรื่องของการใช้ iPad Pro แทนโน้ตบุ๊คอย่าง MacBook Air ถามว่า สามารถนำมาแทนกันได้ 100% หรือไม่ ณ ความรู้สึกส่วนตัวในตอนนี้ก็คือ ยังแทนกันไม่ได้เต็มร้อย ถึงอย่างไรการใช้งานบน MacBook Air ก็สะดวกมากกว่า และมีหลายๆ อย่างที่ยังมีข้อจำกัดบ้าง เช่น การแต่งรูป ถ้าหากมีแค่รูปหรือ 2 รูป ก็พอจะถูไถไปได้ แต่ถ้าหากรูปเยอะ ก็เสียเวลาพอสมควร แต่อย่าลืมว่า เนื่องจาก iPad Pro ถูกกำหนดให้ทดแทนการใช้งาน PC การใช้งานแบบพื้นฐาน นั่นก็คือ Microsoft Office (Word/Excel/PowerPoint) ถือว่าใช้งานได้แบบไม่ต้องง้อ PC แล้ว แต่จริงๆ แอปฯ ของแอปเปิลเอง อย่าง Pages/Numbers/KeyNotes ก็ถือว่า ใช้งานได้ดีเช่นกัน ซึ่งในด้านการใช้งานโดยรวมนั้น ถือว่า สามารถนำไปใช้แทนกันได้ประมาณ 70% - 80% ครับ
อีกหนึ่งอย่างที่ชอบมากสำหรับด้านการทำงาน นั่นก็คือ ฟีเจอร์แบ่งการทำงาน 2 หน้าจอ ซึ่งสะดวกมากจริงๆ สำหรับเปิดเว็บไปด้วย และพิมพ์งานไปได้ด้วยพร้อมกัน ไม่ต้องสลับแอปฯ ไปมา
สำหรับ Apple Pencil นั้น อาจจะไม่สามารถตอบคำถามได้ในส่วนของการวาดภาพ เนื่องจากไม่ถนัด แต่ยอมรับว่า ความเร็วในการตอบสนองการใช้งานของ Apple Pencil อยู่ในระดับที่ดีมากทีเดียว เพราะจากการทดสอบวาดเส้นแบบไม่หยุด ก็แทบจะไม่มีอาการสะดุดหรือหน่วงให้เห็น
มาในเรื่องของลำโพงเสียงกันบ้าง ซึ่ง iPad Pro 9.7 นั้น มีลำโพงถึง 4 ตัว แน่นอนครับว่า ตอนที่เปิดทดสอบเสียงในครั้งแรกนั้น เสียงดีกว่า iPad รุ่นอื่นจริงๆ ถ้าหากใช้งานกับหนังที่มีการไล่เสียงจากซ้ายไปขวา จะสามารถแยกความแตกต่างได้อย่างชัดเจน
iPad Pro เหมาะกับใคร? ด้วยราคาค่าตัวที่แพงขนาดนี้ คงจะต้องคิดก่อนซื้อว่า จะซื้อมาเพื่อใช้อะไรบ้าง กลุ่มคนที่ถือว่า ตอบโจทย์จริงๆ ก็คงจะเป็น นักวาดการ์ตูน หรือกราฟิกดีไซน์เนอร์ เพราะอย่างที่กล่าวไว้ตั้งแต่ต้นว่า ดินสอ Apple Pencil นั้น เหมาะสำหรับการวาดภาพจริงๆ ซึ่งกลุ่มอาชีพเหล่านี้ น่าจะชอบเป็นพิเศษ ส่วนใครที่ชอบสเปคแบบแรงๆ ก็ไม่น่าพลาด แต่สำหรับทีมงาน techmoblog ที่ตอบโจทย์จริงๆ ก็จะต้องพ่วง Smart Keyboard มาด้วย เพราะถือว่า เป็นอุปกรณ์เสริมที่ทำให้การทำงานสะดวกและรวดเร็วขึ้นครับ
สำหรับ iPad Pro ขนาดหน้าจอ 9.7 นิ้ว จะมีให้เลือก 2 รุ่นด้วยกัน ได้แก่ Wi-Fi กับ Wi-Fi + Cellular และมีให้เลือกทั้งหมด 4 สี ได้แก่ Silver, Space Gray, Gold และ Rose Gold ส่วนราคา เป็นดังนี้
โดย iPad Pro ทั้งขนาดหน้าจอ 9.7 นิ้ว และ 12.9 นิ้ว วางจำหน่ายแล้วบน Apple Online Store Thailand
---------------------------------------
บทความรีวิวโดย : techmoblog.com
Update : 11/05/2016
หน้าหลัก (Main) |
(สินค้า IT) ออกใหม่ |
|
FOLLOW US |