หากใครยังจำกันได้ เมื่อปี 2018 ที่ผ่านมา เคยมีเคสที่ Apple ได้ออกมายอมรับว่า ได้มีการปรับให้ระบบ iOS ทำงานช้าลงเมื่อแบตเตอรี่เริ่มเสื่อมสภาพ เพื่อป้องกันไม่ให้ตัวเครื่องดับ ซึ่งเคสนี้สร้างความไม่พอใจให้กับผู้ใช้จำนวนไม่น้อย เพราะถือว่าเป็นการกระทำที่ไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ใช้เสียก่อน และอาจทำไปเพื่อให้คนไปซื้อ iPhone รุ่นใหม่แทน (เพราะรุ่นเก่าช้า) จึงทำให้เกิดคดีฟ้องร้องระหว่างผู้ใช้กับ Apple เกิดขึ้นในสหรัฐฯ ซึ่งล่าสุด คดีดังกล่าวได้สิ้นสุดลงแล้ว โดย Apple ยอมที่จะจ่ายค่าเสียหายเป็นวงเงินสูงสุดราว ๆ 500 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เลยทีเดียว
สำนักข่าวยักษ์ใหญ๋อย่าง Reuters ได้ออกมารายงานว่า Apple ยินยอมที่จะยุติคดีฟ้องร้องดังกล่าว พร้อมกับจ่ายค่าเสียหายรายละ 25 เหรียญสหรัฐฯ หรือราว ๆ 790 บาท ซึ่งอาจจะเป็นวงเงินรวมอยู่ที่ 310-500 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือราว ๆ 15,750 ล้านบาท
โดยผู้ที่จะมีสิทธิ์ได้รับเงินชดเชยนั้น จะต้องเป็นผู้ใช้ iPhone ที่อยู่ในสหรัฐฯ เท่านั้น และ iPhone รุ่นที่เข้าข่าย ก็ได้แก่ iPhone 6, iPhone 6 Plus, iPhone 6S, iPhone 6S Plus, iPhone 7, iPhone 7 Plus และ iPhone SE ที่ทำงานบนระบบปฏิบัติการ iOS 10.2.1 หรือเวอร์ชันสูงกว่าก่อนวันที่ 21 ธันวาคม ปี 2017
สำหรับกรณีที่ iPhone ทำงานได้ช้าลงเนื่องจากแบตเตอรี่เริ่มเสื่อมนั้น ก่อนหน้านั้น ทาง Apple ได้ออกมาตรการลดราคาเปลี่ยนแบตเตอรี่รุ่นที่เข้าข่าย เหลือเพียง 1,000 บาท เป็นเวลา 1 ปี รวมถึงได้เพิ่มฟีเจอร์ให้ผู้ใช้สามารถเปิดปิดการทำงานได้เองบน iOS 11.3
-------------------------------------
ที่มา : 9to5mac.com
แปลและเรียบเรียง : techmoblog.com
Update : 03/03/2020
หน้าหลัก (Main) |
(สินค้า IT) ออกใหม่ |
|
FOLLOW US |