ในระยะหลัง เทรนการออกกำลังกาย ทั้งการวิ่ง หรือการปั่นจักรยาน กลายเป็นกิจกรรมที่คนส่วนใหญ่ชื่นชอบกันเสียแล้ว ทำให้อุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพและการออกกำลังกาย เริ่มเป็นที่สนใจและได้รับความนิยมมากขึ้นเช่นกัน เพราะนอกจากจะสามารถบันทึกกิจกรรมต่าง ๆ, วัดระดับการเต้นของหัวใจ หรือคำนวณปริมาณแคลอรี่ที่ลดลงจากการออกกำลังกายได้แล้ว อุปกรณ์เพื่อสุขภาพเหล่านี้ ยังสามารถใช้แจ้งเตือนทั้งข้อความ และสายเรียกเข้าจากสมาร์ทโฟนได้อีกด้วย เช่นเดียวกับ Apple Watch Series 2 ที่ทีมงาน techmoblog จะมารีวิวให้ชมกันในวันนี้นั่นเอง โดยนาฬิกาอัจฉริยะรุ่นนี้ เป็นรุ่นที่สองแล้ว ที่ถือว่า ยกระดับความสามารถให้ดีขึ้นจากซีรี่ส์แรก พร้อมกับลบจุดบอดต่าง ๆ ที่ Apple Watch รุ่นแรกไม่รองรับคุณสมบัติดังกล่าว
โดยจุดเด่นของ Apple Watch Series 2 นั่นก็คือ เพิ่มคุณสมบัติด้านการทนน้ำ โดยมีการป้องกันอยู่ที่ระดับ 50 เมตรตามมาตรฐาน ISO 22810:2010 ซึ่งสามารถใช้ในกิจกรรมน้ำตื้น เช่น การว่ายน้ำในสระหรือทะเล และยังสามารถสวมใส่ ขณะอาบน้ำหรือแช่น้ำอุ่นได้ นอกจากนี้ ยังมีระบบ GPS ในตัว สามารถใช้งานได้โดยที่ไม่ต้องพกพา iPhone ติดตัวไปเหมือนเมื่อก่อนแล้ว ทำให้ใช้งานได้คล่องตัวมากกว่าเดิม
มาดูกันดีกว่าว่า Apple Watch Series 2 รุ่นนี้ จะน่าใช้งานมากกว่ารุ่นก่อนหน้าแค่ไหน กับรีวิว Apple Watch Series 2 โดยทีมงาน techmoblog ครับ
สำหรับ Apple Watch Series 2 รุ่นที่นำมารีวิวนี้ เป็นตัวเรือนแบบ Stainless Steel ขนาด 42 mm. พร้อมสายแบบ Sport Band สีดำ (Black) ซึ่งกล่องแพ็กเกจด้านนอกนั้น เป็นกล่องกระดาษสีขาว และมีโลโก้แบรนด์อยู่ด้านบนกล่อง
เมื่อเปิดกล่องมา ด้านในจะมีกล่องแพ็กเกจอีกชั้น ดูสวยหรู ซึ่งภายในกล่องประกอบด้วย Apple Watch Series 2, สายชาร์จแบตเตอรี่ และ Adapter สำหรับชาร์จไฟ (Apple Watch Series 1 ไม่มี Adapter ชาร์จไฟมาให้)
สำหรับดีไซน์ของ Apple Watch Series 2 นั้น จะเห็นว่า แทบจะไม่แตกต่างจาก Series 1 เท่าที่ควร โดยมีตัวเรือนให้เลือก 2 ขนาด ได้แก่ 38 มม. (272 x 340 พิกเซล) และ 42 มม. (312 x 390 พิกเซล) แต่สิ่งที่ได้รับการอัปเกรดให้ดีขึ้นกว่าเดิม นั่นก็คือ จอภาพจะเป็นแบบ OLED Retina รุ่นที่ 2 พร้อมเทคโนโลยี Force Touch ที่สว่างขึ้นกว่ารุ่นก่อนหน้าถึง 2 เท่า (1,000 นิต) ในขณะที่ Series 1 ความสว่างอยู่ที่ 450 นิตเท่านั้น
สำหรับตัวเรือนด้านหลังนั้น เป็นอีกจุดหนึ่งที่ แอปเปิล ค่อนข้างใส่ใจ ไม่ว่าจะเป็นการสลักอักษรระบุถึงชื่อรุ่นในเนื้อโลหะ รวมไปถึงบริเวณวงกลมสีดำตรงกลาง ซึ่งจะเป็นวัสดุประเภทเซรามิก ที่ช่วยป้องกันไม่ให้มีแสงสว่างเล็ดรอดเข้าไป เนื่องจากจะมีผลต่อการวัดค่าของเซ็นเซอร์ภายในนั่นเอง โดยเซ็นเซอร์ที่อยู่ด้านหลังตัวเรือนนั้น คือ เซ็นเซอร์วัดอัตราการเต้นของหัวใจ ซึ่งเมื่อเปิดใช้งาน ตัวเซ็นเซอร์จะมีแสงสีเขียวปรากฎ และดับเองอัตโนมัติเมื่อเลิกใช้งาน
ด้านข้างตัวเรือนจะเป็นเม็ดมะยม หรือ Digital Crown ซึ่งถือว่า มีขนาดที่พอดีกับตัวเรือน มีหน้าที่คล้าย ๆ เมาส์บนคอมพิวเตอร์นั่นเอง ถัดมา เป็นปุ่มเปิด-ปิดตัวเครื่อง
ส่วนอีกด้าน เป็นลำโพงเสียง กับไมโครโฟน โดยตัวเรือนวัสดุ Stainless Steel นั้น จะเห็นว่า เป็นรอยนิ้วมือค่อนข้างง่าย แต่ก็เช็ดออกได้ง่ายเช่นกัน
วิธีการถอดสายนาฬิกานั้นก็ไม่ยาก เพียงแค่ใช้นิ้วกดที่ปุ่มปลดล็อกสาย แล้วค่อย ๆ ดันออกไปทางฝั่งเม็ดมะยม เช่นเดียวกับการใส่สายนาฬิกา ก็ทำในลักษณะเดียวกัน แต่เปลี่ยนเป็นดันเข้าแทน ซึ่งการถอดสายนาฬิกานั้น ทำได้ง่ายมากเลยทีเดียว
สำหรับสายนาฬิกา Apple Watch Series 2 นั้น มีให้เลือกหลายแบบมาก ซึ่งจากภาพนอกจากจะมีสายแบบ Sport Band แล้ว ยังมีสายแบบ Woven Nylon ด้วย เก๋ไปอีกแบบ โดยในกล่องสายนาฬิกานั้น จะมีสายแบบสั้น และแบบยาวมาให้ ขึ้นอยู่กับข้อมือของผู้ใส่ ถ้าหากข้อมือเล็ก ก็เลือกใช้สายแบบสั้น
ก่อนที่จะเริ่มต้นใช้งาน Apple Watch Series 2 นั้น จะต้องจับคู่ (Pair) ระหว่างตัว Apple Watch กับ iPhone เสียก่อน ด้วยการเข้าไปที่แอปพลิเคชัน Watch บน iPhone และคลิกที่ Start Pairing (Apple Watch ทั้ง Series 1 และ Series 2 รองรับกับ iPhone 5 ขึ้นไปเท่านั้น)
สแกนให้กรอบสีเหลือง อยู่ตรงกับหน้าจอ Apple Watch
เมื่อจับคู่สำเร็จ จะปรากฏหน้าจอลักษณะนี้ ทั้งบน iPhone และ Apple Watch ให้ทำการตั้งค่าตามที่ปรากฎ อย่างเช่น ใส่นาฬิกาข้อมือซ้ายหรือขวา, Sign In เข้าใช้งาน Apple ID รวมไปถึงการติดตั้งแอปพลิเคชันต่าง ๆ บน Apple Watch ซึ่งขั้นตอนนี้ ใช้เวลาพอสมควร
จากนั้นเลือกหน้าปัดนาฬิกาตามใจชอบ ซึ่งมีให้เลือกมากมายเลยทีเดียว โดยจากรูปเป็นหน้าปัดรูปมินนี่เมาส์ ที่เป็นรูปแบบที่เพิ่มขึ้นมาใหม่บน watchOS 3
สำหรับแอปพลิเคชัน Watch บน iPhone นั้น สามารถเลือกตั้งค่า Apple Watch ได้หลายส่วนด้วยกัน โดยการเลือกหน้าปัดนาฬิกา ให้เข้าไปที่แท็บ Face Gallery จะเห็นว่า มีรูปแบบหน้าปัดให้เลือกมากมาย สามารถเลือกสีที่ชอบได้ด้วยเช่นกัน
ในส่วนของ App Store นั้น จะเป็นแอปพลิเคชันสำหรับ Apple Watch โดยเฉพาะ ซึ่งมีทั้งแบบให้ดาวน์โหลดมาใช้งานได้ฟรี และแบบเสียเงิน
โดยแอปพลิเคชันที่ดาวน์โหลด จะปรากฏที่หน้าจอของ Apple Watch ด้วยเช่นกัน ซึ่งการเปิดหน้ารวมแอปพลิเคชันบน Apple Watch ให้กดที่เม็ดมะยม 1 ครั้ง
อย่างที่กล่าวไว้ในตอนต้นว่า Apple Watch Series 2 นั้น ได้รับการอัปเกรดให้ดีขึ้นกว่ารุ่นก่อนหน้าในหลาย ๆ ด้าน และหนึ่งในนั้นก็คือ การเพิ่มคุณสมบัติด้านการกันน้ำ นั่นเอง โดย Apple Watch Series 1 นั้น มีความสามารถในการทนน้ำที่ระดับ IPX7 ตามมาตรฐาน IEC 60529 สามารถทนน้ำและน้ำที่กระเด็นใส่ แต่ไม่สามารถจุ่มลงไปในน้ำได้
ส่วน Apple Watch Series 2 มีความสามารถในการทนน้ำ โดยมีการป้องกันอยู่ที่ระดับ 50 เมตรตามมาตรฐาน ISO 22810:2010 ซึ่งสามารถใช้ในกิจกรรมน้ำตื้น เช่น การว่ายน้ำในสระหรือทะเล และยังสามารถสวมใส่ ขณะอาบน้ำหรือแช่น้ำอุ่นได้ แต่ไม่ควรใช้ Apple Watch Series 2 ในการดำน้ำลึก, การเล่นสกีน้ำ หรือกิจกรรมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับน้ำที่มีความเร็วสูงหรือต้องอยู่ในน้ำที่ลึกกว่าระดับน้ำตื้น
เมื่อ Apple Watch Series 2 สามารถกันน้ำได้ในระดับที่สามารถใส่เพื่อลงไปว่ายน้ำได้แล้ว เราจะมาทดสอบกันครับว่า ตัว Apple Watch เมื่อใช้งานในน้ำจะเป็นอย่างไร และสามารถเก็บสถิติการว่ายน้ำได้ดีแค่ไหน
สำหรับเมนู Workout ในกีฬาว่ายน้ำ จะมีให้เลือก 2 แบบ นั่นก็คือ Pool Swim หรือการว่ายน้ำในสระว่ายน้ำ กับ Open Water Swim หรือการว่ายน้ำในทะเล, แม่น้ำ เป็นต้น
โดยก่อนใช้งาน เราจะต้องตั้งค่าความยาวของสระว่ายน้ำเสียก่อน จากนั้น ก็ลงไปว่ายน้ำได้เลย
โดยหลังจากที่ว่ายน้ำเสร็จแล้ว จะมีข้อมูลแจ้งเตือนขึ้นมา ซึ่งประกอบด้วย ระยะเวลา, แคลอรี่, จำนวนรอบของการว่าย (Laps), ระยะทางที่ว่ายไป และอัตราการเต้นของหัวใจ
Apple Watch Series 2 ดันน้ำออกจากตัวเรือนอย่างไร ? อันนี้ถือว่า เป็นระบบที่ค่อนข้างดีมาก โดยเมื่อใช้งานเสร็จแล้ว จะมีแจ้งเตือนให้หมุน เม็ดมะยม หรือ Digital Crown เพื่อเริ่มทำการดันน้ำออก ด้วยการใช้การสั่นของลำโพง เพื่อดันน้ำที่อยู่ในตัวเรือนออกไป ซึ่งใครที่กังวลว่า หลังจากใช้แล้วจะมีน้ำขังอยู่ในเครื่องหรือเปล่า ระบบดันน้ำออกนี้คงจะช่วยคลายความกังวลได้มากเลยทีเดียว
อีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้คนส่วนใหญ่ เริ่มหันมาสนใจ Apple Watch Series 2 กันมากขึ้น นั่นก็คือ มีระบบ GPS ในตัว โดยที่ไม่ต้องพกพา iPhone ติดตัวไปไหนมาไหนตลอด ซึ่ง Apple Watch Series 1 รุ่นแรก คงต้องบอกว่า ไม่สะดวกเอาเสียเลยที่จะต้องพก iPhone ติดตัวไปด้วยเพื่อให้ตัวเครื่องรับค่า GPS จาก iPhone แต่บน Apple Watch Series 2 ไม่จำเป็นต้องพก iPhone ในขณะที่จะออกกำลังกายอีกต่อไป
สำหรับระบบ GPS บน Apple Watch Series 2 จะมีการทำงานแบบอัตโนมัติ ไม่มีเมนูเปิดปิดใช้งาน ซึ่งพอเริ่มทำการวิ่ง, เดิน หรือว่ายน้ำ ระบบ GPS ก็จะทำงานเอง และเมื่อเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็จะทำการ sync ข้อมูลต่าง ๆ ลงไปยัง iPhone ให้ ซึ่งสามารถตรวจสอบได้ว่า การออกกำลังกายเมื่อสักครู่นี้ ระบบ GPS ทำงานหรือไม่ ซึ่งถ้าหากทำงาน ก็จะมีข้อมูลต่าง ๆ ปรากฏขึ้นมาด้วย
(ซ้าย) Apple Watch Series 1 (ขวา) Apple Watch Series 2
น่าจะเป็นอีกหนึงหัวข้อที่หลาย ๆ ท่านอยากรู้ว่า Apple Watch Series 2 นั้น ใช้งานได้นานแค่ไหน? ยิ่งมีระบบ GPS เพิ่มเข้ามา จะทำให้แบตเตอรี่หมดเร็วกว่าเดิมหรือเปล่า จากประสบการณ์การใช้งานของผู้เขียน ที่ได้เริ่มใช้งานตั้งแต่ Apple Watch Series 1 ต้องบอกว่า แบตเตอรี่ เป็นปัญหาของ Apple Watch เลยก็ว่าได้ โดยเฉพาะรุ่นหน้าจอเล็กขนาด 38 มม. นั้น ต้องบอกว่า ยิ่งมีการแจ้งเตือนดังตลอดวัน (ยังไม่รวมการใช้งานด้านการออกกำลังกาย) แบตเตอรี่หมดไวพอสมควร ในบางครั้งไม่สามารถรองรับการใช้งานได้ตลอดทั้งวัน แต่ถ้าหากเป็นรุ่นหน้าจอใหญ่ขนาด 42 มม. จะใช้งานได้นานกว่า เนื่องจากแบตเตอรี่มีขนาดใหญ่กว่า แต่สุดท้าย ก็ต้องชาร์จแบตเตอรี่ทุกวันอยู่ดี
สำหรับ Apple Watch Series 2 นั้น ได้มีการเพิ่มระบบ GPS เข้ามา ทำให้หลาย ๆ ท่านกังวลว่า จะทำให้แบตเตอรี่หมดเร็วมากกว่าเดิม แต่จากการใช้งานเปรียบเทียบกันระหว่าง Series 1 กับ Series 2 ในกิจกรรมเดียวกัน พบว่า แบตเตอรี่ลดลงต่างกันไม่มากเท่าไหร่ ทำให้คาดว่า ปัจจัยที่ทำให้สิ้นเปลืองพลังงานแบตเตอรี่นั้น ไม่น่าจะเกี่ยวกับ GPS แต่เป็น เซ็นเซอร์วัดอัตราการเต้นของหัวใจ เสียมากกว่า เพราะทุกครั้งที่มีการเริ่ม Workout ใด ๆ ก็ตาม เซ็นเซอร์วัดอัตราการเต้นของหัวใจ จะเริ่มทำงานทันที เนื่องจากต้องมีการประมวลผลตลอดเวลา และจะหยุดประมวลผลเมื่อเราเสร็จสิ้น Workout เหล่านั้น
ส่วนใครที่อยากจะปิดการทำงานของ เซ็นเซอร์วัดอัตราการเต้นของหัวใจ เพื่อประหยัดพลังงานแบตเตอรี่ ในตอนนี้ยังไม่สามารถทำได้ครับ
ในที่นี้ อยากจะขอสรุปในแง่ของผู้ที่เคยใช้ Apple Watch Series 1 มาก่อน เมื่อเปรียบเทียบกับ Apple Watch Series 2 แล้ว ให้ความรู้สึกแตกต่างอย่างไรบ้าง ถ้าหากพูดถึงเรื่องของ ดีไซน์ ต้องบอกว่า ไม่แตกต่างจากของเดิม ดูแทบไม่ออกว่าแบบไหนคือรุ่นเก่าหรือรุ่นใหม่ แต่สิ่งประทับใจบน Apple Watch Series 2 ก็คงจะเป็นเรื่องของ การประมวลผลที่ทำได้รวดเร็วขึ้น, สามารถกันน้ำได้แล้ว และมีระบบ GPS ในตัว ใช้งานได้คล่องตัวมากขึ้น เนื่องจากไม่ต้องพก iPhone ติดตัวไปเหมือนเมื่อก่อน
ด้านการแจ้งเตือนต่าง ๆ จาก iPhone ถือว่า ยังคงทำได้ดี ทำให้สามารถรับทราบข้อความแจ้งเตือนจากแอปพลิเคชันได้ทันที โดยที่ไม่ต้องหยิบ iPhone ขึ้นมา สามารถใช้งานโทรออกได้จากตัว Apple Watch ซึ่งฟังก์ชันเหล่านี้ ถือว่า สะดวกต่อการใช้งานมากเลยทีเดียว
สำหรับสิ่งที่ยังไม่ประทับใจบน Apple Watch Series 2 ก็คงเป็นเรื่องของแบตเตอรี่ ที่ในตอนแรกคาดหวังว่า รุ่นใหม่นี้จะอึดขึ้นและใช้งานได้นานกว่าเดิม แต่จากสเปกในหน้าเว็บไซต์ Apple ที่เผยว่า สามารถใช้งานได้ 18 ชั่วโมงเท่ากันทั้ง 2 รุ่น ใครที่หวังว่า Apple Watch Series 2 จะใช้งานได้นานกว่า คงจะต้องผิดหวังกันไป
สรุปแล้ว เพียงแค่ 2 ฟีเจอร์ใหญ่ ๆ ที่เพิ่มเข้ามาอย่าง การรองรับ GPS ในตัว กับ คุณสมบัติด้านการกันน้ำ ก็ทำให้ Apple Watch Series 2 รุ่นนี้ น่าใช้งานเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัวครับ
สำหรับราคาของ Apple Watch Series 2 นั้น เริ่มต้นที่ 13,900 บาท ซึ่งราคาจะแตกต่างกันตามวัสดุของตัวเรือน และสายนาฬิกา ส่วนราคาแพงสุดนั้น เป็น Apple Watch Edition ตัวเรือนแบบเซรามิก ราคาเริ่มต้นที่ 47,500 บาทครับ สามารถอ่านรายละเอียดเกี่ยวกับ Apple Watch Series 2 และสั่งซื้อได้ที่ https://www.apple.com/th/watch/
จุดเด่นของ Apple Watch Series 2
จุดที่ต้องพิจารณาเพิ่มเติม
---------------------------------------
บทความรีวิวโดย : techmoblog.com
Update : 03/12/2016
หน้าหลัก (Main) |
(สินค้า IT) ออกใหม่ |
|
FOLLOW US |