เปิดตัวอย่างเป็นทางการในไทยแล้วเมื่อช่วงกลางเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา สำหรับ ASUS VivoBook Series ซึ่งซีรี่ส์นี้จะชูจุดเด่นในเรื่องของน้ำหนักเบา และพกพาสะดวก อีกทั้งยังเป็นรุ่นที่คุ้มค่าคุ้มราคาอีกด้วย โดย ASUS VivoBook Series รุ่นใหม่นี้ ถือว่าเป็นรุ่นที่น่าสนใจไม่น้อย เพราะมาพร้อมกับดีไซน์ใหม่ หรูหรามากขึ้นด้วยขอบตัวเครื่องแบบ Diamond Cut รวมถึงใช้ซีพียู AMD Ryzen 4000 Series รุ่นใหม่ล่าสุด และมีให้เลือกหลายสีสัน บ่งบอกคาแรกเตอร์และไลฟ์สไตล์ของผู้ใช้ได้เป็นอย่างดี
ASUS VivoBook Series จะมีให้เลือก 2 ขนาดหน้าจอ และ 3 รุ่นย่อย นั่นก็คือ รุ่นหน้าจอขนาด 14 นิ้ว (D433/D413) และ 15.6 นิ้ว (D533) ซึ่งรุ่นที่ทีมงาน techmoblog.com นำมารีวิวให้ชมกันในวันนี้ ก็คือ ASUS VivoBook Series (D413) ที่มาพร้อมกับหน้าจอขนาด 14 นิ้ว ความละเอียด 1920 x 1080 พิกเซล และซีพียู AMD Ryzen 7 4700U ซึ่งถือว่า เป็นตัวท็อปของรุ่นหน้าจอขนาด 14 นิ้ว ส่วนชิปกราฟิกเป็น AMD Radeon Graphics แบบ On-Board, หน่วยความจำ RAM มีขนาดอยู่ที่ 8 GB DDR4 และพื้นที่ภายในตัวเครื่องแบบ SSD ขนาด 512 GB PCle อีกทั้งยังรองรับการเชื่อมต่อ Wi-Fi 6 (802.11ax), Bluetooth 5.0 และลำโพงเสียงจากแบรนด์ดังอย่าง harman/kardon
สำหรับสิ่งที่ถือว่าเป็นจุดเด่นของ ASUS VivoBook Series รุ่นใหม่นี้ก็คือ มีการเล่นสีสันที่ปุ่ม Enter ด้วยไฮไลท์สีเหลือง ทำให้มีความโดดเด่นและมองเห็นได้อย่างชัดเจน เช่นเดียวกับขอบหน้าจอยังเป็นแบบ Nano Edge Display หรือขอบจอบางพิเศษทั้ง 3 ด้าน ทำให้ตัวเครื่องของ ASUS VivoBook Series รุ่นจอ 14 นิ้ว มีขนาดเทียบเท่าโน้ตบุ๊คหน้าจอ 13.3 นิ้วเท่านั้น
นอกจากนี้ ASUS VivoBook Series ยังเป็นโน้ตบุ๊ครุ่นแรกของค่ายที่มาพร้อมกับ Pre-installed Microsoft office Home & Student ติดตั้งมาให้พร้อมใช้งาน ทำให้ไม่ต้องไปหาซื้อโปรแกรมมาติดตั้งในภายหลัง
มาดูกันดีกว่าว่า ในด้านการใช้งาน ASUS VivoBook Series รุ่นใหม่ จะตอบโจทย์การใช้งานประเภทไหนบ้าง กับรีวิว ASUS VivoBook Series โดยทีมงาน techmoblog.com
สำหรับ ASUS VivoBook Series รุ่นที่นำมารีวิวในครั้งนี้ เป็นตัวเครื่องสีเขียว Gaia Green และยังมีสีสันอื่นให้เลือกอีก 5 สีด้วยกัน ได้แก่ สีดำ Indie Black, สีทอง Hearty Gold, สีเงิน Transparent Silver, สีขาว Dreamy White และสีแดง Resolute Red โดยฝาหลังมีผิวสัมผัสเรียบ พร้อมลูกเล่นลายเส้นที่ขอบด้านบน อีกทั้งยังเป็นดีไซน์แบบ Diamond Cut ทั้งขอบตัวเครื่องและโลโก้ ASUS VivoBook ทำให้ดูหรูหราและมีมิติมากขึ้น
นอกจากนี้ ASUS VivoBook Series รุ่นหน้าจอ 14 นิ้ว ยังมีตัวเครื่องบางเฉียบเพียง 15.9 มิลลิเมตร และน้ำหนักเบา 1.4 กิโลกรัม
ASUS VivoBook Series รุ่นที่นำมาทดสอบนี้ มาพร้อมกับหน้าจอแสดงผลขนาด 14 นิ้ว แบบ LED-backlit ความละเอียด 1920 x 1080 พิกเซล บนอัตราส่วนขนาด 16:9 มุมมองกว้าง 178 องศา อีกทั้งยังเป็นหน้าจอแบบ Nano Edge Display ขอบจอบางพิเศษทั้ง 3 ด้าน ทำให้มีอัตราส่วนหน้าจอต่อตัวเครื่องที่ 88%
ขอบจอด้านบน เป็นกล้อง Webcam 720p HD และไมโครโฟน 2 ตัว สำหรับใช้งานด้าน Video Call
เมื่อเปิดฝาเครื่อง สิ่งที่โดดเด่นสะดุดตาที่สุดสำหรับ VivoBook Series รุ่นนี้ก็คือ ปุ่ม Enter ดีไซน์ใหม่ที่มีการเล่นสีสันด้วยไฮไลท์สีเหลืองรอบปุ่มนั่นเอง โดยตัวเครื่องสีเขียว แผงคีย์บอร์ดและตัวเครื่องภายในจะเป็นสีเงิน คีย์บอร์ดเป็นแบบ Chiclet Keyboard ที่มีการเว้นระยะห่างระหว่างปุ่ม ทำให้ทำความสะอาดได้ง่าย ปุ่มกดมีความนุ่มและเว้นระยะได้เหมาะสม นอกจากนี้ แผงคีย์บอร์ดยังมีไฟ LED ปรับได้ 3 ระดับสำหรับใช้งานในตอนกลางคืนหรือในที่แสงน้อย
ส่วน TouchPad มีขนาดใหญ่ ดีไซน์เป็นแผงเดียวกัน โทนสีเดียวกับตัวเครื่อง ไม่มีปุ่มกดแยกซ้าย-ขวา และรองรับการใช้งาน 4 นิ้วได้พร้อมกัน
สำหรับช่องระบายความร้อนจะอยู่ใต้ขอบหน้าจอ ซึ่งจะมีลักษณะเรียงเป็นแนวยาว ภายในจะมีพัดลม 1 ตัวช่วยระบายความร้อน
มาดูพอร์ตการเชื่อมต่อกันบ้าง ด้านซ้ายตัวเครื่อง (จากซ้ายไปขวา) ประกอบด้วย DC-in สำหรับชาร์จไฟ, พอร์ต HDMI 1.4 จำนวน 1 พอร์ต, พอร์ต Type-A USB 3.1 Gen 1 จำนวน 1 พอร์ต, พอร์ต Type-C USB 3.1 Gen 1 จำนวน 1 พอร์ต และช่องหูฟังขนาด 3.5 มิลลิเมตร
ส่วนด้านขวาของตัวเครื่อง (จากซ้ายไปขวา) ประกอบด้วย ช่อง microSD Card Reader และพอร์ต USB 2.0 จำนวน 2 พอร์ต นอกจากนี้ ยังมีไฟแสดงสถานะการชาร์จและแบตเตอรี่อีกด้วย
สำหรับ VivoBook Series รุ่นใหม่นี้ จะไม่มีบานพับแบบ ErgoLift แต่จะใช้ปุ่มฐานเครื่องเป็นตัวยกตัวเครื่องให้สูงขึ้นแทน ซึ่งองศาที่ได้จะน้อยกว่าบานพับแบบ ErgoLift แต่ก็ใช้งานได้สะดวกเหมือนกัน
ฐานเครื่อง จะมีปุ่มยาง 4 มุมสำหรับยกตัวเครื่องให้สูงขึ้นเพื่อระบายความร้อน ส่วนลำโพงเสียงอยู่ 2 ด้านซ้ายและขวาจากแบรนด์ระดับโลกอย่าง harman/kardon
มาดูกันเสียหน่อยว่าในกล่องผลิตภัณฑ์มีอะไรแถมมาให้บ้าง พื้นฐานที่จะได้มาก็คือ Adapter สำหรับชาร์จไฟขนาด 45W, คู่มือการใช้งาน และใบรับประกัน
และจุดเด่นของ VivoBook Series รุ่นนี้ก็คือ มีสติกเกอร์มาให้ตกแต่งเพิ่ม 6 แบบ 6 ลาย ทำให้มีความเป็นเอกลักษณ์และไม่เหมือนใคร
อย่างที่กล่าวไว้ในตอนต้นว่า ASUS VivoBook Series รุ่นใหม่นี้ มีสีสันตัวเครื่องให้เลือกมากมายกันถึง 6 สี ซึ่งได้แก่ สีเขียว Gaia Green, สีดำ Indie Black, สีทอง Hearty Gold, สีเงิน Transparent Silver, สีขาว Dreamy White และสีแดง Resolute Red
โดยข้างต้น จะเปรียบเทียบให้เห็นความแตกต่างระหว่างตัวเครื่องสีเขียว Gaia Green กับ สีดำ Indie Black จะเห็นว่า ดีไซน์ภายนอกนั้นเหมือนกันทุกอย่าง ทั้งวัสดุที่ใช้, ขอบ/โลโก้แบบ Diamond Cut รวมถึงผิวสัมผัสแบบเรียบด้าน เช่นเดียวกับขอบจอยังเป็น Nano Edge Display และเป็นสีดำเหมือนกัน (ไม่ว่าจะเป็นตัวเครื่องสีไหนก็จะเป็นขอบจอสีดำ) ส่วนความแตกต่างก็คือ ตัวเครื่องสีเขียว บอดี้ด้านในและแป้นพิมพ์จะเป็นสีเงิน ส่วนตัวเครื่องสีดำ แป้นพิมพ์จะเป็นสีดำ และบอดี้สีเทาเข้ม
ดูดีไซน์และงานประกอบกันไปแล้ว ถัดมาเป็นเรื่องของการทดสอบประสิทธิภาพกันบ้าง ซึ่ง ASUS VivoBook Series รุ่นที่นำมารีวิวนี้ ใช้ชิปประมวลผล AMD Ryzen 7 4700U ความเร็ว 2.0 GHz ที่สามารถเร่งประสิทธิภาพได้สูงสุดถึง 4.1 GHz โดยเป็นชิปแบบ 8 Cores/8 Threads ที่ผลิตบนสถาปัตยกรรมขนาด 7 นาโนเมตร ส่วนหน่วยความจำ RAM มีขนาด 8 GB DDR4 ไม่สามารถอัปเกรด RAM เพิ่มได้แล้ว และพื้นที่ภายในตัวเครื่องเป็นแบบ SSD ขนาด 512 GB PCle
ส่วนชิปประมวลผลภาพกราฟิกนั้น เป็น AMD Radeon Graphics ซึ่งเป็นแบบ On-Board ที่ถือว่า ใช้งานได้ดีในระดับหนึ่ง เหมาะกับการใช้งานทั่วไป พวกงานเอกสาร, ดูหนัง, ฟังเพลง หรือเล่นเกมออนไลน์
ส่วนการทดสอบประสิทธิภาพด้วยโปรแกรม PCMark 10 สามารถทำคะแนนการทดสอบรวมได้ 3,653 คะแนน ซึ่งอาจจะไม่ใช่ระดับคะแนนที่สูงมาก แต่ถ้ามองที่ราคาค่าตัวก็ถือว่าทำได้ดีในระดับหนึ่ง สอบผ่านการใช้งานทั่วไป อย่างเช่น งานตัดต่อวิดีโอ, เล่นเว็บไซต์, ตกแต่งรูป และอื่น ๆ ได้อย่างสบาย ๆ
ทดสอบด้วยโปรแกรม CINEBENCH R15 วัดประสิทธิภาพของชิปประมวลผล AMD Ryzen 7 4700U ทำได้ถึง 991 cb / 63.54 fps ส่วน CINEBENCH R20 ทำได้ 2,521 pts ซึ่งถือว่าอยู่ในระดับที่น่าพอใจ และตอบโจทย์การใช้งานที่ต้องใช้การประมวลผลมากเป็นพิเศษอีกด้วย
สำหรับ SSD ที่ใช้บน ASUS VivoBook Series รุ่นนี้ มีขนาดอยู่ที่ 512 GB แบบ PCIe ซึ่งจากการทดสอบด้วยโปรแกรม CrystalDiskMark ทำความเร็วในการอ่านอยู่ที่ 15,01.95 MB/s ส่วนความเร็วในการเขียนอยู่ที่ 957.37 MB/s ถือว่าอยู่ในระดับกลาง ๆ
MyASUS โปรแกรมที่รวบรวมการเข้าถึงฟังก์ชันต่าง ๆ บนโน้ตบุ๊ค ASUS ไว้ในที่เดียว ไม่ว่าจะเป็น ข้อมูลด้านฮาร์ดแวร์, ซอฟท์แวร์, ตรวจสอบความผิดปกติของตัวเครื่อง, ตรวจสอบซอฟท์แวร์อัปเดตใหม่ และอื่น ๆ
ASUS VivoBook Series ได้ติดตั้งโปรแกรมสำหรับจัดการงานเอกสาร อย่าง Word, Excel รวมถึง PowerPoint สำหรับพรีเซนต์งานมาให้เรียบร้อยแล้ว สะดวกพร้อมใช้งานทันที ซึ่งนอกเหนือจากโปรแกรมจำพวก Microsoft Office แล้ว ASUS VivoBook Series ยังรองรับการใช้งานโปรแกรมอื่น ๆ ด้วย อย่างเช่น Photoshop ที่เน้นการตัดต่อระดับพื้นฐาน และขนาดไฟล์ไม่ใหญ่จนเกินไป รวมถึงรองรับการทำงานด้าน 3 มิติในระดับเบื้องต้น เช่น การตัดต่อวิดีโอ 4K และเรนเดอร์ไฟล์ที่มีขนาดไม่ใหญ่มากนัก แต่จะไม่รองรับการใช้งานที่ต้องเน้นการประมวลผลในระดับสูง เนื่องจากรุ่นนี้มาพร้อมกับหน่วยความจำ RAM แค่ 8 GB และไม่สามารถเพิ่มได้
ทดสอบการเล่นเกมของชิปประมวลผล AMD Ryzen 7 4700U กับชิปกราฟิก AMD Radeon Graphics กันบ้าง ซึ่งจากการทดสอบเล่นเกม Nine Parchments พบว่า ลื่น ไม่กระตุก ได้ค่า FPS เฉลี่ยที่ 60 ตัวเครื่องไม่ร้อนจนเกินไป เช่นเดียวกับเกม DOTA 2 ที่วัดอัตราเฟรมเรทได้เฉลี่ยที่ 111 ถือว่าสอบผ่านสำหรับทั้ง 2 เกมนี้
เรียกได้ว่า การกลับมาของ ASUS VivoBook Series รุ่นใหม่นี้ น่าจับตาไม่น้อยเลยก็ว่าได้ เพราะนอกจากจะมีราคาเริ่มต้นเพียงแค่หมื่นปลาย ๆ แล้ว ยังมาพร้อมกับชิปประมวลผลรุ่นใหม่อย่างล่าสุดอย่าง AMD Ryzen 4000 Series ที่มีให้เลือก 2 รุ่นย่อย นั่นก็คือ AMD Ryzen 5 4500U (6 Cores/6 Threads) กับ Ryzen 7 4700U (8 Cores/8 Threads) พร้อมหน่วยความจำ RAM ขนาด 8 GB DDR4 และพื้นที่ภายในตัวเครื่องแบบ SSD ขนาด 512 GB PCle ซึ่งรองรับการใช้งานด้านพื้นฐาน อย่างเช่น งานเอกสาร (Word, Excel, PowerPoint), ดูหนังฟังเพลง, เล่นเกม รวมถึงงานประเภทตัดต่อได้อย่างสบาย ๆ แต่ถ้าหากเป็นงานที่จำเป็นต้องใช้การประมวลผลระดับสูง เช่น เรนเดอร์ไฟล์ขนาดใหญ่ คงไม่เหมาะเท่าใดนัก เนื่องจากรุ่นนี้ไม่สามารถเพิ่ม RAM ได้อีกนั่นเอง
ด้านการออกแบบตัวเครื่องนั้น มาพร้อมกับดีไซน์ใหม่ที่มีให้เลือกมากถึง 6 สี และตัดขอบตัวเครื่องด้วยเทคโนโลยี Diamond Cut ทำให้ตัวเครื่องดูหรูหราและมีระดับ นอกจากนี้ มีการเล่นสีสันที่ปุ่ม Enter ด้วยไฮไลท์สีเหลือง พร้อมดีไซน์หน้าจอแบบ Nano Edge Display หรือขอบจอบางพิเศษทั้ง 3 ด้าน ทำให้ตัวเครื่องของ ASUS VivoBook Series มีขนาดที่กะทัดรัด พกพาง่าย และน้ำหนักเบาเพียง 1.4 กิโลกรัมเท่านั้น อีกทั้งยังมาพร้อมกับเสียงคุณภาพดีจากแบรนด์ระดับโลกอย่าง harman/kardon ครั้งแรกบน ASUS VivoBook Series อีกด้วย
ด้านการเชื่อมต่อ รองรับทั้ง Wi-Fi 6 (802.11ax) และ Bluetooth 5.0 รวมถึงพอร์ตต่าง ๆ ที่ติดตั้งมาให้อย่างครบครัน ทั้ง USB Type-C 3.1 Gen 1, USB 2.0, USB Type-A 3.1 Gen 1, พอร์ต HDMI รวมถึงช่องอ่าน microSD Card และยังติดตั้งโปรแกรม Microsoft Office Home & Student 2019 มาให้แล้วด้วยเช่นกัน
โดย ASUS VivoBook Series เคาะราคาเริ่มต้นที่ 19,990 บาท มีให้เลือกมากถึง 6 สีสัน ได้แก่ สีเขียว Gaia Green, สีดำ Indie Black, สีทอง Hearty Gold, สีเงิน Transparent Silver, สีขาว Dreamy White และสีแดง Resolute Red พร้อมสติกเกอร์มาให้ตกแต่งเพิ่ม 6 แบบ 6 ลาย หาซื้อได้แล้ววันนี้ที่ร้านตัวแทนจำหน่ายทั่วประเทศ
#ASUSxROGChooseyourstyle #YouchooseAMD
------------------------------------
บทความรีวิวโดย : techmoblog.com
Update : 19/06/2020
หน้าหลัก (Main) |
(สินค้า IT) ออกใหม่ |
|
FOLLOW US |