กล้อง Action Camera นับว่าเป็นแก็ดเจ็ตที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในช่วงระยะเวลาที่ผ่านมา เพราะนอกเหนือจากสามารถเก็บภาพความประทับใจในมุมมองแปลกๆ ได้แล้ว ยังมีจุดเด่นในเรื่องของการป้องกันภาพสั่นไหว และการที่จะยกระดับความนิ่งของภาพให้ถึงขีดสุดนั้น ด้ามจับ หรือ Gimbal นับว่าเป็นตัวเลือกที่น่าจับตามองไม่ใช่น้อย โดยในปัจจุบันแบรนด์กล้อง Action Camera ต่างก็เปิดตัวด้ามจับเพื่อรองรับการถ่ายภาพและวิดีโอให้ถึงขีดสุดกันบ้างแล้ว ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือ DJI แบรนด์ผู้ผลิตที่ขึ้นชื่อเรื่องของโดรน ที่ได้เปิดตัวด้ามจับรุ่นแรกไปเมื่อปี 2015 ในชื่อ Osmo นอกจากนี้ GoPro หนึ่งในแบรนด์ขึ้นชื่อเรื่องกล้องก็เพิ่งเปิดตัวด้ามจับรุ่นแรกของค่ายไปพร้อมกับโดรน Karma ในชื่อ GoPro Karmar Grip ไปเมื่อเร็วๆ นี้
ซึ่งทั้ง 2 แบรนด์ที่กล่าวมานี้มีจุดเด่นในเรื่องของประโยชน์และความนิ่งที่แทบไม่ต่างกันมากนัก แต่ในเรื่องของราคานับว่าเป็นจุดที่ต้องพิจารณากันเล็กน้อยเนื่องจาก DJI Osmo เปิดตัวมาด้วยราคาเริ่มต้น 599 ดอลลาร์สหรัฐฯ หรือราว 19,800 บาท พร้อมตัวกล้องและด้ามจับ ส่วน GoPro Karma Grip นั้นมีราคาเริ่มต้นอยู่ที่ 299 ดอลลาร์สหรัฐฯ หรือราว 8,100 บาท แต่ว่าจะไม่แถมตัวกล้องมาให้ด้วยทำให้ต้องซื้อกล้อง Gopro Hero5 ที่มีราคาเริ่มต้น 299 ดอลลาร์สหรัฐฯ หรือราว 10,000 บาท แต่หากใครที่มี GoPro รุ่นเก่ากว่าอย่าง Hero4 Silver และ Black ก็ยังสามารถใช้งานร่วมกับด้ามจับได้
ซึ่งหากพิจารณาดูแล้วจะเห็นได้ว่าราคารวมของทั้ง 2 แบรนด์นั้นไล่เลี่ยกันเป็นอย่างมาก และเพื่อให้เห็นภาพกันแบบชัดๆ เว็บไซต์ Techcrunch สื่อจากต่างประเทศก็ไม่พลาดที่จะนำด้ามจับ 2 รุ่นนี้มาเปรียบเทียบให้เห็นข้อแตกต่างกันแบบจะๆ แต่รุ่นไหนจะมีทีเด็ดอย่างไรบ้างนั้น เราลองไปติดตามพร้อมๆ กันดีกว่าครับ
ความนิ่ง
สำหรับด้ามจับของทั้ง DJI Osmo และ GoPro Karma Grip นับว่ามีความนิ่งอยู่ในระดับที่ไล่เลี่ยกัน และให้ผลลัพธ์ที่ไม่แตกต่างกันมาก ซึ่งเราสามารถนำด้ามจับของทั้ง 2 แบรนด์ไปถ่ายกิจกรรมสุดเอ็กตรีมเช่น ติดบริเวณข้างรถแข่ง หรือสเก็ตบอร์ดได้เลยทันที ซึ่งภาพที่ได้นั้นจะให้ความนิ่งและลื่นกว่าการไม่ใช้ด้ามจับอย่างเห็นได้ชัด แต่จุดที่แตกต่างของทั้ง 2 รุ่นนี้ก็คือ DJI Osmo มีปุ่มล็อกบริเวณด้านหน้าที่ทำให้ผู้ใช้งานสามารถล็อกกล้องให้อยู่กับที่ ทำให้ภาพถ่ายมีความนิ่งมากขึ้น ซึ่งในจุดนี้ถึงแม้ว่า GoPro Karma Grip จะมีฟีเจอร์ที่คล้ายคลึงกัน แต่เมื่อนำมาทดลองใช้จริงกลับใช้งานได้ไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก
กล้อง
DJI Osmo นำเสนอในเรื่องของกล้องไว้หลากหลายรุ่นด้วยกัน ซึ่งในรุ่นท็อปสุดอย่าง Osmo Pro มีขนาดเซ็นเซอร์ของกล้องดิจิทัลค่อนข้างใหญ่เมื่อเทียบกับกล้องดิจิทัล handheld ดีๆ บนท้องตลาด ทำให้ผู้ใช้งานทุกระดับสามารถเลือกใช้ตามความเหมาะสมได้ ซึ่งทางทีมงาน Techcrunch ในครั้งนี้ได้นำ DJI Osmo รุ่นปกติที่ถึงแม้ว่าจะมีเซ็นเซอร์รับภาพขนาดเล็กกว่า แต่ยังพกพาฟีเจอร์เด็ดด้วยการรองรับถ่ายวิดีโอบนความละเอียด 4K มาให้ด้วย
ในขณะที่ GoPro Karma Grip แม้ว่าจะไม่ได้แถมกล้องดิจิทัลติดตัวมาให้ด้วย แต่ยังสามารถทำงานร่วมกับ GoPro Hero4 รวมไปถึง Hero5 ซึ่งรุ่นเหล่านี้นับว่าเป็นกล้อง Action Camera ตัวท็อปสุดของไลน์ผลิตภัณฑ์จาก GoPro ที่สามารถถ่ายวิดีโอคุณภาพสูงได้แม้ว่าจะมีขนาดตัวเครื่องที่เล็ก นอกจากนี้ยังมาพร้อมกับฟีเจอร์ต่างๆ ที่ทำให้ผู้ใช้งานปรับแต่งวิดีโอได้มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการปรับ Color balance หรือ temperature
แต่เมื่อจับกล้องดิจิทัลของทั้ง 2 รุ่นมาทดสอบเปรียบเทียบกัน ทางทีมงาน Techcrunch ระบุว่ากล้องของ DJI Osmo นั้นจะให้ความชัดเจนของภาพมากกว่า แต่ GoPro 5 มีจุดเด่นของเรื่องสีสันที่เป็นธรรมชาติ รวมทั้งความอิ่มตัวของสี ซึ่งหากเทียบกันภาพต่อภาพแล้ว วิดีโอที่ได้จากกล้อง GoPro อาจจะดูเหนือกว่า DJI Osmo อยู่บ้าง อย่างไรก็ดี ต้องไม่ลืมว่า DJI ยังมีกล้อง Osmo รุ่นอื่นที่ได้ปรับปรุงคุณภาพกล้องดิจิทัลให้ดีมากยิ่งขึ้น ซึ่งในจุดนี้อาจต้องลองนำมาเปรียบเทียบกันอีกครั้ง
ด้ามจับ
ซ้าย : DJI Osmo ขวา : GoPro Karma Grip
ปกติแล้วกล้องของ GoPro มีหลักการทำงานง่ายๆ ทั่วไป คือ "ตั้งกล้องไปหาวัตถุแล้วกดถ่าย" โดยการทำงานของด้ามจับ GoPro Karma Grip นั้นก็ไม่แตกต่างกับตัวกล้องมากเท่าไหร่นัก อีกทั้ง GoPro Karmar Grip อาจเป็นเพียงแค่ด้ามยึดกล้องธรรมดาทั่วๆ ไปเท่านั้น เพราะไม่มีปุ่มควบคุมสำหรับหมุนกล้องหรือเปลี่ยนมุมมองแต่อย่างใด
ซึ่งเมื่อนำมาเปรียบเทียบกับ DJI Osmo แล้วในจุดนี้ทางฝั่ง DJI Osmo จะมีข้อได้เปรียบเล็กน้อยในเรื่องของด้ามจับที่มาพร้อมกับปุ่มควบคุมขนาดย่อมๆ ที่สามารถกดสั่งให้กล้องหมุนในขณะที่ด้านจับยังนิ่งอยู่กับที่ได้ นอกจากนี้ยังมีปุ่มเพื่อหมุนกล้องไปรอบๆ เพื่อเข้าสู่โหมดการถ่ายภาพแบบเซลฟี่ได้อีกด้วย ส่วนปุ่มควบคุมของ GoPro Karma Grip นั้นมีเพียงแค่ 4 ปุ่มเท่านั้น แต่ทดแทนด้วยการฝังปุ่มไว้ใต้แผ่นยางเพื่อประสิทธิภาพการกันน้ำนั่นเอง
หน้าจอแสดงผล
ซ้าย : DJI Osmo ขวา : GoPro Karma Grip
สำหรับใครที่ใช้กล้อง Action Camera อยู่เป็นประจำอาจจะชอบที่จะดูภาพจากกล้องระหว่างการถ่ายไปพร้อมๆ กัน ซึ่งในจุดนี้ GoPro Karma Grip อาจได้เปรียบเนื่องจากกล้อง GoPro Hero5 หรือ Hero4 Silver นั้นมีหน้าจอแสดงผลติดตั้งมาให้ในตัวอยู่แล้ว ส่วนกล้องของ DJI Osmo ไม่มีหน้าจอแสดงผลทำให้ต้องเชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟนเพื่อใช้เป็นหน้าจอและติดตั้งไว้บริเวณด้านข้างแทน
อย่างไรก็ดี ถึงแม้ว่าจะเป็นเรื่องดีที่กล้อง Action Camera มีหน้าจอแสดงผลมาให้ด้วย แต่ทว่าหน้าจอของกล้อง GoPro นั้นอาจมีขนาดที่เล็กไปซักนิดทำให้มองเห็นได้ไม่ถนัดตาเท่าไหร่นัก ซึ่ง DJI Osmo ได้จุดแข็งในเรื่องของการเชื่อมต่อเข้ากับแอปพลิเคชันสมาร์ทโฟนซึ่งมีขนาดหน้าจอใหญ่กว่าเพื่อมองภาพจากกล้องได้ นอกจากนี้ผู้ใช้งานยังสามารถควบคุมฟังก์ชันของวิดีโอผ่านหน้าจอแอปได้ทันที รวมทั้งยังสามารถโอนถ่ายไฟล์จากกล้องลงมือถือได้อย่างง่ายๆ ด้วย
สรุป : เลือกอะไรดี?
ด้ามจับ DJI Osmo และ GoPro Karma Grip ต่างก็มีจุดเด่นในเรื่องของดีไซน์ คุณสมบัติ และราคาที่แตกต่างกันออกไป ซึ่งหากใครที่ชื่นชอบการถ่ายวิดีโอกิจกรรมเอ็กซ์ตรีม เช่น การขับรถมอเตอร์ไซค์ลงเขา หรือนำไปถ่ายภาพสวยๆ ที่สวนน้ำ การใช้ GoPro Karma Grip สามารถตอบโจทย์ในจุดนี้ได้ดีกว่าเนื่องจากตัวด้ามจับมีประสิทธิภาพในการกันน้ำ แต่ต้องพิจารณาในเรื่องของการซื้อกล้อง GoPro เพิ่มเติมเนื่องจากไม่ได้แถมกล้องมาให้ด้วย แต่ก็แลกมาด้วยความสามารถในการตะลุยกิจกรรมโหดๆ ได้มากกว่า
ส่วนใครที่เน้นการถ่ายภาพแบบลื่นไหลสำหรับถ่ายทำภาพยนต์ของตัวเอง หรือใช้ถ่ายกิจกรรมเอ็กซ์ตรีมแค่บางครั้งบางคราวเท่านั้น การเลือกใช้ DJI Osmo อาจตอบโจทย์ในจุดนี้มากกว่า อย่างไรก็ดี กล้อง Action Camera และด้ามจับของทั้ง 2 แบรนด์สามารถทำได้ทั้งถ่ายกิจกรรมแบบ adventure รวมถึงถ่ายทำภาพยนต์ได้ทัดเทียมกัน ซึ่งคงต้องขึ้นอยู่กับไลฟ์สไตล์ของผู้ใช้งานว่าแบรนด์ไหน รุ่นไหน สามารถตอบโจทย์มากที่สุดกว่ากันครับ
---------------------------------------
ที่มา : Tech Crunch
แปลและเรียบเรียง : techmoblog.com
Update : 13/12/2016
หน้าหลัก (Main) |
(สินค้า IT) ออกใหม่ |
|
FOLLOW US |