กำลังเป็นประเด็นร้อนทั้งในบ้านเราและในต่างประเทศ หลังจากที่มีการค้นพบว่า Huawei P10 และ P10 Plus สมาร์ทโฟนเรือธงกล้องคู่ระดับแนวหน้ามีการใช้หน่วยความจำ ROM ที่ไม่ตรงกับสเปกที่ระบุไว้ โดยบางเครื่องมีความเร็วในการเขียนและอ่านไฟล์ต่ำกว่าที่ควรจะเป็น และ CEO ของ Huawei ก็ได้ออกมาพูดถึงกรณีนี้ด้วยตนเองโดยยอมรับว่า มีการใช้ ROM หลายรุ่นคละกันไปใน Huawei P10 และ P10 Plus จริงเนื่องจากชิ้นส่วน ROM UFS2.1 ผลิตไม่ทัน จึงต้องนำ ROM ชนิดอื่นมาใส่เข้าไปแทน และยืนยันว่าตนใช้งานแล้วไม่รู้สึกถึงความแตกต่างแต่อย่างใด ทำให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักตามมา
Huawei P10
เมื่อข่าวนี้กระจายออกไปผู้ใช้ชาวไทยก็เริ่มทดสอบสเปกหน่วยความจำในเครื่องของตนเองดูบ้าง และพบว่าหลายเครื่องมีการใช้หน่วยความจำ ROM สเปกต่ำจริง ซึ่งจากสเปกอย่างเป็นทางการของ Huawei P10 และ Huawei P10 Plus หน่วยความจำควรจะเป็น ROM UFS 2.1 แต่บางเครื่องกลับเป็น ROM UFS 2.0 และ eMMC 5.1 คละๆ กันไป แน่นอนว่างานนี้ผู้ใช้ชาวไทยไม่พอใจกันอย่างมาก
Huawei Mate 9
ล่าสุดกรณีนี้ได้ลามไปถึง Huawei Mate 9 เรือธงอีกซีรีส์หนึ่ง ซึ่งมีผู้ใช้พบว่า มีการใช้หน่วยความจำ ROM ไม่ตรงสเปก โดยสเปกบนหน้าเว็บไซต์ระบุว่าใช้ ROM USF 2.1 แต่เมื่อผู้ใช้ทดสอบพบว่ามีการใช้ ROM คละกันไปโดยมีทั้ง USF 2.0 และ eMMC ไม่ต่างจาก Huawei P10 นอกจากนี้ยังพบว่า Huawei ได้เข้าไปแก้ไขสเปก Huawei Mate 9 บนเว็บไซต์ โดยแอบลบรายละเอียดเรื่อง ROM ออกไป ทำให้ประเด็นนี้ยิ่งร้อนแรงขึ้นไปอีก
ขอบคุณรูปภาพจากคุณ ITongzz Executioner
เรื่องนี้ไม่มีทีท่าจะจบลงง่ายๆ เพราะล่าสุดกลุ่มผู้ใช้ชาวไทยได้นัดรวมตัวกันในวันที่ 26 เมษายนนี้เพื่อร้องขอความเป็นธรรมต่อหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องแล้ว ซึ่งตั้งแต่เกิดเรื่อง ทาง Huawei ประเทศไทยก็ไม่ได้ออกมาชี้แจงในประเด็นนี้แต่อย่างใด ส่วนทางสำนักงานใหญ่ หลังจาก CEO ออกมาชี้แจงกรณี Huawei P10 แล้ว ก็ไม่ปรากฏความเคลื่อนไหวใดๆ ออกมาอีกเลยเช่นกัน
สำหรับผู้ที่มี Huawei P10, P10 Plus และ Mate 9, Mate 9 Pro สามารถตรวจสอบชนิดของ ROM ได้ตามขั้นตอนดังนี้ :
(ภาพประกอบต่อไปนี้เป็นการทดสอบจาก Xperia Z1 เพื่อเป็นตัวอย่างเท่านั้น)
1. ดาวน์โหลดและติดตั้งแอปพลิเชัน Andro Bench (ฟรี)
2. เปิดแอปพลิเคชันและกด Run benchmark และกด Yes
3. รอจนการประมวลผลเสร็จสิ้น และดูตัวเลขบนบรรทัดแรก
ตัวอย่างบางส่วนของผู้ใช้ที่ได้หน่วยความจำไม่ตรงสเปก
ผลการทดสอบของ Huawei P10 จากต่างประเทศ เห็นได้ชัดว่าความเร็ว Sequencial Read ต่างกันอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งเป็นผลมาจากหน่วยความจำต่างชนิดกัน (จากซ้ายไปขวา UFS 2.1, UFS 2.0 และ eMMC 5.1) โดย eMMC 5.1 ช้ากว่า UFS 2.1 เกือบ 3 เท่า
ผู้ใช้ Mate 9 Pro คุณ TF_Cosmos และคุณ bermAggie จาก Pantip ได้ผลทดสอบออกมาไม่ตรงกัน โดยของเครื่องคุณ TF_Cosmos (ด้านซ้าย) มีอัตราการอ่านไฟล์ (Sequencial Read) ช้ากว่าเครื่องของคุณ bermAggie (ด้านขวา) จากตัวเลขระบุได้ว่า เครื่องของคุณ TF_Cosmos ใช้ ROM UFS 2.0 ส่วนอีกเครื่องโชคดีได้ ROM UFS 2.1 ไป แสดงให้เห็นว่ามีทั้งคนที่ได้ ROM ตรงสเปกและไม่ตรงสเปก
ผู้ใช้ Mate 9 คุณ Bmanop CM จาก Facebook ที่ได้เครื่องที่มี ROM UFS 2.0 เช่นกัน
หน่วยความจำที่ต่างกัน ส่งผลต่อผู้ใช้แค่ไหน?
ตารางเปรียบเทียบความเร็วของ UFS, eMMC และ microSD
หน่วยความจำภายในหรือ ROM ที่ใช้ในกับสมาร์ทโฟนจะแบ่งออกเป็นเทคโนโลยีหลัก ๆ 2 ชนิด คือ eMMC กับ UFS จากตารางข้างต้น จะเห็นว่า ROM แบบ eMMC 5.1 มีความเร็วในการอ่านและเขียนอยู่ที่ 250/125 MB/s ขณะเดียวกัน UFS 2.0 มีความเร็วในการอ่านและเขียนอยู่ที่ 350/150 MB/s ซึ่งเร็วกว่าอย่างเห็นได้ชัด
อีกสิ่งหนึ่งที่หน่วยความจำ UFS ทำได้ดีกว่า eMMC คือเทคโนโลยี UFS อ่านและเขียนไฟล์ได้พร้อมกัน (Ful-Duplex) ในขณะที่ eMMC ทำได้ทีละอย่าง หากมีการเขียนข้อมูล ก็จะต้องเขียนข้อมูลให้เสร็จก่อนจึงจะอ่านข้อมูลได้ นอกจากนี้ UFS ยังมีอัตราการสุ่มข้อมูล (Random) ที่เร็วกว่า eMMC ดังนั้นโดยทฤษฎีแล้ว สมาร์ทโฟนที่ใช้ Flash Storage แบบ UFS จะสามารถอ่านและเขียนข้อมูลต่าง ๆ ได้เร็วกว่าแบบ eMMC
อย่างไรก็ตาม ในการใช้งานทั่วไปเราจะแยกแยะความแตกต่างระหว่าง eMMC และ UFS ได้ยากมาก จะเห็นชัดก็ต่อเมื่อนำมาเปรียบเทียบกันจริงๆ ดังนั้นหน่วยความจำที่คละกันนี้จึงส่งผลต่อ end user experience น้อยมาก แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ามีประสิทธิภาพต่างกันจริงๆ
Huawei Impact : สิ่งที่จะเกิดขึ้นตามมา
แม้กรณีของ Huawei จะไม่ได้เป็นเรื่องคอขาดบาดตายก็ตาม แต่กรณีนี้อาจส่งผลกระทบต่อความน่าเชื่อถือของแบรนด์มากกว่ากรณีที่ Samsung Galaxy Note 7 ระเบิด เพราะกรณีของ Samsung เป็นความผิดพลาดที่ไม่ได้ตั้งใจให้เกิด และสุดท้ายก็ออกมารับผิดชอบโดยการเรียกคืนเครื่องทั้งหมด และผลกระทบที่เกิดขึ้นไม่ได้ลามไปถึงสมาร์ทโฟนรุ่นอื่นๆ ทำให้ Samsung ยังพอมีโอกาสที่จะฟื้นฟูชื่อเสียงของตนเองขึ้นมาได้ แต่กรณีของ Huawei นี้ทาง CEO ออกมายอมรับเองว่าเป็นการจงใจ ไม่ใช่ความผิดพลาด ทำให้ลูกค้ารู้สึกเหมือนถูกหลอกเพราะได้สินค้าไม่ตรงกับสเปกตามที่โฆษณาไว้ แถมยังต้องจ่ายในราคาเดียวกับเครื่องที่ใช้ชิ้นส่วนสเปกสูงกว่า ยิ่งไปกว่านั้นปัญหาเดียวกันนี้ยังลามไปยังสมาร์ทโฟนรุ่นอื่นด้วย ทำให้ผู้ใช้เริ่มสงสัยว่า Huawei ทำเช่นนี้กับสมาร์ทโฟนรุ่นที่ผ่านๆ มาด้วยหรือไม่ และทำมานานแค่ไหนแล้ว ยิ่งทำให้รู้สึกเหมือนโดนหลอกยิ่งกว่าเดิม
ที่แย่กว่านั้นก็คือ Huawei เป็นแบรนด์สัญชาติจีนที่ต้องแบกรับอคติต่อ “สินค้าจีน” ในตลาดโลกเอาไว้ ที่ผ่านมา Huawei จึงพยายามพิสูจน์ตัวเองอย่างหนักว่าสินค้าของตนไม่ได้เป็น “ของจีนแดง” อย่างที่คนส่วนใหญ่สบประมาทไว้ ซึ่งสุดท้ายก็สามารถยกตัวเองขึ้นมาเป็นแบรนด์ระดับโลกที่ผลิตสมาร์ทโฟนเกรดพรีเมียมราคาแพงได้สำเร็จ โดยเฉพาะตระกูล P และตระกูล Mate ที่ได้รับเสียงชื่นชมมาตลอดในเรื่องของนวัตกรรมกล้องคู่ (Dual-Camera) ที่โดดเด่นกว่าแบรนด์อื่นในตลาด แต่ความสำเร็จเหล่านี้ก็ไม่ได้หมายความว่า Huawei จะหลุดพ้นจากอคติไปได้ เมื่อเกิดกรณีเช่นนี้ขึ้น Huawei จึงถูกดูดกลับเข้าไปในวังวนของอคติอย่างรวดเร็ว หลายคนเริ่มกลับไปมองว่า Huawei เป็นของจีนแดงอีกครั้ง ความน่าเชื่อถือที่สั่งสมมาจะถูกอคติทำลายลง และจะทำให้ Huawei ยืนหยัดอยู่บนตลาดโลกได้ยาก
กรณีนี้นอกจากทำให้ Huawei ตกที่นั่งลำบากแล้ว แบรนด์สมาร์ทโฟนจีนอื่นๆ ก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็น OPPO, vivo, Xiaomi และอื่นๆ แม้ว่าแบรนด์สมาร์ทโฟนดังกล่าวนี้จะไม่ปรากฏว่ามีการหมกเม็ดอะไรในสินค้า แต่อคติก็ทำให้แบรนด์จีนทั้งหลายถูกเพ่งเล็ง และชนะใจลูกค้าได้ยากขึ้นเพราะลูกค้าไม่ยอมเปิดใจง่ายๆ จะเรียกว่างานนี้ Huawei ทำเพื่อนร่วมชาติซวยไปด้วยก็ไม่ผิดนัก
สิ่งที่ต้องจับตามองต่อจากนี้คือ Huawei จะดึงตัวเองออกจากอคติที่มีต่อสินค้าจีนได้หรือไม่ และจะจัดการกับปัญหาต่างๆ แล้วขึ้นมาเป็นดาวเด่นของวงการอีกได้อย่างไร
---------------------------------------
บทความโดย : techmoblog.com
Update : 24/04/2017
หน้าหลัก (Main) |
(สินค้า IT) ออกใหม่ |
|
FOLLOW US |