สิ้นสุดการรอคอยเสียที เพราะล่าสุด iOS 11 เปิดให้ผู้ใช้ทั่วไปได้ดาวน์โหลดอย่างเป็นทางการแล้ว ทั้งบน iPhone และ iPad ซึ่งนอกจากจะมีการปรับอินเทอร์เฟสให้น่าใช้งานมากขึ้นแล้ว ยังมาพร้อมกับฟีเจอร์การใช้งานที่น่าสนใจอีกเพียบเลยทีเดียว
สำหรับวิธีการอัปเดต iOS 11 นั้น สามารถอัปเดตกันได้ผ่านทาง OTA ด้วยการเข้าไปที่ Settings > General > Software Update โดยขนาดของไฟล์อยู่ที่ราว ๆ 2.04 GB ซึ่งก่อนอัปเดต ควรจะทำการ back up ก่อนทุกครั้งเพื่อป้องกันความผิดพลาดที่จะเกิดขึ้น และควรจะมีพื้นที่เหลือเพียงพอสำหรับการดาวน์โหลดเฟิร์มแวร์ ประมาณ 3-4 GB ขึ้นไป ซึ่งถ้าหากมีพื้นที่เหลือไม่เพียงพอ ระบบจะทำการแจ้งเตือน แนะนำให้ผู้ใช้ลบแอปฯ ที่มีไฟล์ขนาดใหญ่ออกเสียก่อน นอกจากนี้ แบตเตอรี่ควรจะเหลือเกิน 50% อีกด้วย
ส่วนใครที่ไม่สะดวกอัปเดตแบบ OTA ก็สามารถอัปเดต iOS 11 ผ่านทาง iTunes ได้เช่นกัน ด้วยการเชื่อมต่อ iPhone / iPad กับคอมพิวเตอร์ พร้อมกับดาวน์โหลด iTunes ให้เป็นเวอร์ชันล่าสุด ซึ่งก่อนอัปเดต ควรทำการ back up ข้อมูลไว้ก่อนด้วยเช่นกัน
หลังจากที่อัปเดตเป็น iOS 11 เรียบร้อยแล้ว และพบว่า มีแอปพลิเคชันบางแอปฯ ไม่สามารถเปิดใช้งานได้ อันนี้ไม่ต้องตกใจแต่อย่างใด เนื่องจาก แอปฯ ดังกล่าวเป็นแบบ 32-bit ซึ่ง iOS 11 รองรับแอปฯ แบบ 64-bit เท่านั้น ทางแก้ก็คือ ต้องรอนักพัฒนาแอปฯ ดังกล่าวอัปเดตแอปฯ เพียงอย่างเดียวเท่านั้น
iOS 11 มีฟีเจอร์ใหม่อะไร ? Siri อัปเกรดแค่ไหน iOS device รุ่นไหนอัปเดตได้บ้าง ?
เปิดตัวอย่างเป็นทางการแล้ว สำหรับ iOS 11 ระบบปฏิบัติการ iOS เวอร์ชันใหม่ล่าสุด ในงาน WWDC 2017 หรือ Worldwide Developers Conference 2017 ซึ่งเป็นงานที่จัดขึ้นสำหรับบรรดานักพัฒนาจากทั่วทุกมุมโลก ได้มารวมตัวกันและร่วมพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเกี่ยวกับเทคโนโลยีต่าง ๆ รวมไปถึงได้เรียนรู้และพัฒนาเทคนิคใหม่ ๆ ที่หาไม่ได้จากที่ไหน ซึ่งในปีนี้ จัดขึ้นที่ ณ McEnery Convention Center ที่เมือง San Jose รัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา โดยไฮไลท์สำคัญที่สุดในงาน นั่นก็คือ ช่วง Keynote ที่นอกจากจะเป็นการสรุปการดำเนินงานของแอปเปิลแล้ว ยังมีการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ จากแอปเปิลอีกด้วย
โดย iOS 11 มาพร้อมกับฟีเจอร์ใหม่อะไรบ้าง, รองรับบนอุปกรณ์ใด และเปิดให้ผู้ใช้ทั่วไปได้ดาวน์โหลดอย่างเป็นทางการเมื่อใดนั้น ทีมงาน techmoblog ได้ทำบทสรุปมาให้เรียบร้อยแล้ว ซึ่งในปีนี้ iOS 11 มีฟีเจอร์ที่น่าสนใจทั้งหมด 12 ฟีเจอร์ด้วยกัน มาดูกันดีกว่าว่า มีอะไรกันบ้าง
1. Messages
- Messages มีการปรับดีไซน์ในส่วนของ App Drawer ใหม่ ให้ใช้งานได้ง่ายขึ้น
- สามารถเข้าถึงสติกเกอร์ได้สะดวกขึ้น ทำให้สามารถตกแต่งข้อความ หรือแชร์รูป และอื่น ๆ ได้ง่ายกว่าเดิม
- ข้อความบน Messages จะถูกสำรองข้อมูล (back up) บน Cloud ทำให้สามารถเปิดอ่านข้อความได้ทั้งบน iOS และ macOS (ที่มีการใช้ Apple ID เดียวกัน) ในกรณีที่มีการเปลี่ยนเครื่องใหม่ ก็สามารถถ่ายโอนข้อความเดิมลงเครื่องใหม่ได้
2. Apple Pay
- เพิ่มฟีเจอร์ Person-to-Person Payment รองรับการโอนเงินระหว่างบุคคล
- ทำงานร่วมกับแอปพลิเคชัน Messages สามารถโอนเงินผ่านทางแอปฯ Messages ได้
3. Siri
- Siri ปรับปรุงเสียงพูดใหม่ ให้ความเป็นธรรมชาติมากขึ้น
- เพิ่มฟีเจอร์ Translation รองรับการแปลภาษาอังกฤษเป็นภาษาอื่น ยกตัวอย่าง อยากจะพูดคำว่า สวัสดี เป็นภาษาจีน ก็ให้พูดคำ ๆ นั้นเป็นภาษาอังกฤษกับ Siri และ Siri จะแปลเป็นภาษาจีนให้ โดยในตอนนี้รองรับเฉพาะแค่ 5 ภาษาเท่านั้น ได้แก่ ภาษาจีน, ภาษาฝรั่งเศส, ภาษาเยอรมัน, ภาษาอิตาลี และภาษาสเปน
- Siri รองรับการทำงานหลากหลายมากขึ้น เช่น โน้ตและการแจ้งเตือน, รายการที่ต้องทำ (To-do-list) เป็นต้น
- SiriKit สำหรับนักพัฒนา สามารถปรับแต่ง Siri เข้ากับแอปฯ ของตนเองได้
4. Camera
- โหมดถ่ายภาพบุคคล (Portrait Mode) รองรับระบบป้องกันภาพสั่นไหวแบบ OIS
- Live Photos มีลูกเล่นมากขึ้น มาพร้อมกับเอฟเฟกต์ใหม่ Loop เปลี่ยน Live Photos ให้เป็นวีดีโอแบบวนลูป และ Bounce เปลี่ยนรูป Live Photos เป็นแบบเด้งหน้าเด้งหลัง กลับไปกลับมา
- Long Exposure เปิดรับแสงนานขึ้น ทำให้สามารถภาพเอฟเฟกต์สวย ๆ ได้ ยกตัวอย่างเช่น ภาพสายน้ำตกแบบฟุ้ง หรือภาพของแสงไฟต่าง ๆ ที่เป็นเส้น ซึ่งปกติทำได้บนกล้องแบบ DSLR เท่านั้น
5. Photos
- โหมดภาพยนตร์ Memory สามารถเล่นได้ทั้งแนวตั้งและแนวนอน
- เพิ่มเทคโนโลยีใหม่ที่เรียกว่า High Efficiency Image File Format (HEIF) ลดขนาดไฟล์ภาพที่ถ่ายด้วย iPhone 7 และ iPhone 7 Plus
6. Control Center
- มีการออกแบบใหม่ เข้าถึงการควบคุมทั้งหมดได้ในหน้าเดียว (จากเดิมมี 2 หน้า หน้าแรกเป็นหน้าของการควบคุมหลัก ๆ ส่วนหน้าที่สอง เป็นการควบคุมเพลง)
- หน้า Lock Screen ใหม่ สามารถดูการแจ้งเตือนทั้งหมดได้ในที่เดียว
7. Apple Maps
- เพิ่มแผนที่ในอาคาร สำหรับสนามบินและศูนย์การค้าหลัก ๆ ทั่วโลก
- สามารถค้นหาร้านอาหาร หรือร้านต่าง ๆ ในตัวอาคารได้ง่ายขึ้น
- เพิ่ม Lane Guidance แนะนำเส้นทางเพื่อไม่ให้พลาดทางเลี้ยวหรือทางออก
8. CarPlay
- เพิ่มฟีเจอร์ Do Not Disturb ห้ามรบกวนขณะขับรถ โดย iPhone สามารถรับรู้ได้ว่า ผู้ใช้กำลังขับรถอยู่ และจะคอยกันสายเรียกเข้า หรือข้อความต่าง ๆ ไม่ให้รบกวนขณะขับรถ พร้อมกับส่งข้อความไปหาผู้ที่กำลังติดต่อเข้ามาว่า เรากำลังขับรถอยู่
9. แอปพลิเคชัน Home
- รองรับอุปกรณ์เสริมได้หลากหลายประเภทมากขึ้น
- รองรับการทำงานร่วมกับ AirPlay 2 และรองรับวิธีอื่น ๆ ในการสั่งให้อุปกรณ์ในบ้านทำงานแบบอัตโนมัติ
10. AirPlay 2
- มาพร้อมกับเสียงแบบ Multi-room สามารถเปิดเพลงในห้องนั่งเล่น และห้องครัวได้พร้อมกัน ซึ่งช่วยให้ผู้ใช้สามารถควบคุมลำโพงโดยใช้ Control Center, แอปฯ Home หรือ Siri ได้อย่างง่ายดาย
11. Apple Music
- ผู้ใช้งานสามารถสร้าง Profile ให้เพื่อนกดติดตามได้ และฟังเพลงจาก Playlist ที่แชร์ไว้ได้
- เพิ่มวิธีการหาเพลงใหม่ ให้เพื่อนช่วยหาเพลง แจ้งให้ทราบว่า เพื่อนของเรากำลังฟังเพลงอะไรอยู่ (โดยเพื่อนต้องเป็นสมาชิก Apple Music ด้วย)
12. App Store
- ออกแบบใหม่ให้ค้นหาแอปฯ และเกมได้ง่ายขึ้นกว่าแต่ก่อน
- เพิ่มเรื่องราวเบื้องหลังและบทบรรณาธิการ อัปเดตแบบรายวันในส่วนของ Today
- เพิ่มเรื่องราวที่น่าสนใจ, บทสัมภาษณ์, เคล็ดลับที่เป็นประโยชน์ และแนะนำแอปพลิเคชันที่ไม่ควรพลาด
- In-App Purchase ปรับปรุงใหม่ ซื้อง่ายขึ้นกว่าเดิม
นอกเหนือจาก 12 ฟีเจอร์ใหม่ในข้างต้นแล้ว iOS 11 เริ่มก้าวเข้าสู่เทคโนโลยี AR (Augment Reality) ด้วยการสาธิตการทำงานของแพลตฟอร์ม AR บน iOS พร้อมกับแนะนำเครื่องมือต่าง ๆ ที่ช่วยเสริมให้สามารถสร้างคอนเทนต์ใหม่ ๆ กับแอปพลิเคชันของตนเองได้ ไม่ว่าจะเป็น CoreML สร้างแอปฯ ที่ฉลาดขึ้น ผสานเข้ากับ Machine Learning ระบบการเรียนรู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ, HomeKit เข้าถึงได้มากกว่าเดิม เพิ่มวิธีการใหม่ ๆ ในการยืนยันสิทธิ์ด้วยซอฟท์แวร์, SiriKit สามารถผนวก Siri เข้ากับแอปฯ ของตนเองได้ และ MusicKit ผนวกคุณสมบัติต่าง ๆ ของ Apple Music กับแอปฯ ของตนเอง
iOS 11 กับ iPad
ด้าน iPad นั้น ได้มีการเพิ่มฟีเจอร์หลัก ๆ หลายอย่างด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็น
- Dock แบบใหม่ปรับแต่งได้ ทำให้เข้าถึงแอปพลิเคชันที่ใช้งานบ่อยจากหน้าจอใดก็ตามได้ง่ายขึ้น
- ระบบ Multitasking ออกแบบใหม่ สลับไปมาในมุมมองแบบ Split View และ Slide Over ได้
- Files แอปพลิเคชันน้องใหม่ รวมไฟล์ทั้งหมดไว้ในที่เดียว ไม่ว่าจะเป็นการจัดเก็บไฟล์ไว้บน iCloud Drive หรือเก็บไฟล์กับผู้ให้บริการอื่น อย่างเช่น Dropbox
- Drag and Drop ย้ายรูปภาพหรือข้อความได้ง่ายกว่าเดิม แค่ลาก
- Apple Pencil ปรับปรุงใหม่ ทำงานกับ iPad ได้ดีมากขึ้น รองรับการวาดในตัว
- Instant Notes เปิดโน้ตจากหน้าจอ Lock Screen ได้เพียงแค่แตะ Apple Pencil บนหน้าจอ
iOS 11 รองรับบนอุปกรณ์ใดบ้าง ?
iOS 11 รองรับทั้งบน iPhone, iPad และ iPod Touch ดังนี้
- iPhone : iPhone 5S, iPhone SE, iPhone 6, iPhone 6 Plus, iPhone 6S, iPhone 6S Plus, iPhone 7 และ iPhone 7 Plus (iPhone 5 และ iPhone 5C ไม่สามารถอัปเดตได้แล้ว)
- iPad : iPad mini 2, iPad mini 3, iPad mini 4, iPad 5, iPad Air, iPad Air 2, iPad Pro 9.7, iPad Pro 10.5, iPad Pro 12.9
- iPod : iPod Touch 6
---------------------------------------
เรียบเรียงโดย : techmoblog.com
Update : 20/09/2017
iPhone
Apple
iPad
iOS 11
WWDC 2017
IT