ระหว่าง iPad รุ่นใหม่ (2017) กับ iPad mini 4 รุ่นเก่าต่างกัน 1,000 บาท ควรเลือกรุ่นไหนดี?

เมื่อช่วงวันที่ 21 มีนาคมที่ผ่านมา ทาง Apple ได้เซอร์ไพรส์ผู้ใช้งานด้วยการเปิดตัว iPad เวอร์ชันปี 2017 ที่ได้รับการอัปเกรดสเปกจาก iPad Air 2 หลายด้าน พร้อมปรับราคาลงถูกลงโดยเริ่มต้นที่ 12,500 บาท สำหรับความจุ 32GB (รุ่น Wi-Fi) และ 15,900 บาท สำหรับรุ่นความจุ 128GB อย่างไรก็ดี นอกเหนือจากการเปิดตัว iPad (2017) แล้ว Apple ก็ได้ปรับลดราคาของ iPad mini 4 รุ่น Wi-Fi ความจุ 128GB ให้เหลือเริ่มต้นที่ 14,900 บาทเท่านั้น

โดยทุกท่านจะเห็นได้ว่า iPad (2017) และ iPad mini 4 ในรุ่นความจุเท่ากัน มีราคาที่ใกล้เคียงเป็นอย่างมากเลยทีเดียว ซึ่งหลายคนอาจกำลังลังเลว่า สุดท้ายแล้วจะเลือกรุ่นไหนดี? ส่วนต่าง 1,000 บาท คุ้มค่าที่จะเพิ่มเพื่อซื้อรุ่นใหม่กว่าหรือไม่ วันนี้ทางทีมงาน techmoblog จะพาทุกท่านไปหาคำตอบพร้อมๆ กันครับ

เริ่มต้นที่ส่วนสำคัญอย่างขนาดหน้าจอและตัวเครื่องกันก่อน โดยทั้ง 2 รุ่นมาพร้อมกับบอดี้ที่ผลิตด้วยอะลูมิเนียม ขึ้นรูปแบบ Unibody เหมือนกัน แต่เลือกใช้งานหน้าจอขนาดต่างกันออกไป โดย iPad (2017) มาพร้อมกับหน้าจอแบบ Retina Display ขนาด 9.7 นิ้ว ความละเอียด 2048 x 1536 พิกเซล

ส่วน iPad mini 4 ถึงแม้ว่าจะมีขนาดจอ Retina Display เล็กกว่าที่ 7.9 นิ้ว แต่กลับมีความละเอียดของหน้าจอเท่ากันกับ iPad (2017) นอกจากนี้ iPad mini 4 ยังเลือกใช้งานจอภาพแบบ Full Lamination ที่มีสีสัน คอนทราสต์  และความคมชัดมากขึ้นกว่าเดิม พร้อมเคลือบสารกันแสงสะท้อน ซึ่งแตกต่างจาก iPad (2017) ที่จะไม่ได้เลือกใช้จอ Full Lamination และไม่มีการเคลือบสารกันแสงสะท้อนแต่อย่างใด

น้ำหนักของตัวเครื่อง ก็เป็นสิ่งหนึ่งที่ควรนำมาพิจารณาเช่นเดียวกัน เนื่องจาก iPad (2017) มีน้ำหนักมากขึ้นที่ 469 กรัม พร้อมความหนา 7.5 มม. ส่วน iPad mini 4 มาพร้อมกับตัวเครื่องที่เบากว่าด้วยน้ำหนักรวม 298.8 กรัม และมีความบางเฉียบเพียง 6.1 มม. ทำให้ได้เปรียบเรื่องการพกพาที่สะดวกมากขึ้นกว่า iPad (2017) นั่นเอง

ข้ามมาที่ชิปเซ็ตประมวลผลกันบ้าง iPad (2017) เลือกใช้งานขุมพลัง Apple A9 ซึ่งเป็นชิปเซ็ตประมวลผลซีรีส์เดียวกับที่ใช้บน iPhone 6s และ iPhone SE ส่วน iPad mini 4 มาพร้อมกับชิปเซ็ตรุ่นเก่ากว่าเล็กน้อยภายใต้ชื่อ Apple A8 ซึ่งจุดนี้ iPad (2017) จะดูมีภาษีดีกว่า เนื่องจากชิปเซ็ต A9 นั้น ทาง Apple ระบุว่ามีความเร็วในการประมวลผลมากกว่าชิป A8 ถึง 1.6 เท่า แถมยังประมวลกลกราฟฟิกได้เร็วกว่า 1.8 เท่าด้วยกัน แต่สำหรับชิปเซ็ตบน iPad mini 4 ที่ติดตั้งมาให้นั้น ก็ถือว่าสามารถตอบโจทย์การใช้งานแบบรอบด้านแล้ว เพราะเป็นซีรีส์เดียวกับที่ใช้บน iPhone 6 นั่นเอง

ส่วนฟีเจอร์การใช้งานด้านอื่นๆ ของทั้ง 2 รุ่น ถือว่าเหมือนกันแทบทุกประการ ไม่ว่าจะเป็นกล้อง facetime ความละเอียด 1.2 ล้านพิกเซล, กล้องหลังความละเอียด 8 ล้านพิกเซล โครงสร้าง 5 ชิ้นเลนส์ รูรับแสงกว้างสูงสุด f/2.4 รองรับการถ่ายวิดีโอที่ความละเอียดระดับ Full HD และการถ่ายสโลโมชันที่ความละเอียด 720p @120fps , เซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือ Touch ID, รองรับการเชื่อมต่อบนเครือข่าย 4G LTE (รุ่น Wi-Fi + Cellular) หรือการทำงานอยู่บนระบบปฏิบัติการ iOS 10 เวอร์ชันใหม่ล่าสุดเหมือนกันทั้ง 2 รุ่น ทำให้ฟีเจอร์การใช้งานภายในไม่แตกต่างกัน 

สรุป เลือกอะไรดี?

หากพิจารณาจากสเปกของทั้ง 2 รุ่นแล้ว จะเห็นได้ว่า iPad (2017) ได้เปรียบในเรื่องของหน้าจอขนาดใหญ่เต็มตากว่าที่ 9.7 นิ้ว พร้อมชิปเซ็ตที่แรงกว่ารุ่นก่อนพอสมควร ซึ่งน่าจะเหมาะกับผู้ที่ต้องการ iPad เพื่อใช้งานที่มีการประมวลผลสูง หรือต้องการใช้เพื่อรับชมคอนเทนต์ต่างๆ แบบเต็มอารมณ์ แต่ก็แลกมาด้วยน้ำหนักตัวเครื่องที่มากกว่าเล็กน้อย และหน้าจอแสดงผลที่ไม่ใช่ Full Lamination และไม่ได้เคลือบสารกันแสงสะท้อนมาให้ด้วย

ส่วน iPad mini 4 ถึงแม้ว่าจะเสียเปรียบในเรื่องของหน้าจอที่เล็กกว่า และมาพร้อมชิปเซ็ตประมวลผลรุ่นเก่ากว่า แต่ก็ทดแทนด้วยตัวเครื่องที่บางเบา และพกพาได้ง่ายกว่า iPad (2017) นั่นเอง ซึ่งหากใครที่ต้องการใช้งานทั่วๆ ไป ก็ถือว่าตอบโจทย์การใช้งานแบบครอบคลุมแล้ว ส่วนแบตเตอรี่ของทั้ง 2 รุ่นถึงแม้ว่าจะมีขนาดต่างกัน แต่ทาง Apple ระบุว่า สามารถใช้งานได้ยาวนานถึง 10 ชั่วโมงเท่ากัน และมีสีตัวเครื่องให้เลือกเหมือนกัน 3 สีคือ สีเงิน, สีทอง และสีเทาสเปซเกรย์

ทั้งนี้ คงขึ้นอยู่ที่ผู้ใช้งานว่า หากต้องเลือกระหว่าง iPad (2017) และ iPad mini 4 รุ่น 128GB ส่วนต่าง 1,000 บาท คุ้มค่าที่จะอัปเกรดหรือไม่? และรุ่นไหนสามารถตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์การใช้งานได้มากกว่ากัน ซึ่งน่าจะเป็นคำตอบที่ดีที่สุดครับ

---------------------------------------
บทความโดย : techmoblog.com

Update : 23/03/2017

iPad mini 4 iPad 9.7" (2017)