รีวิว iPad mini (ไอแพด มินิ) แท็บเล็ตขนาด 7.9 นิ้ว ตัวแรก จาก Apple
[27-พฤศจิกายน-2555] เปิดจำหน่ายอย่างเป็นทางการในไทยแล้ว สำหรับ iPad mini (ไอแพด มินิ) iPad ขนาดเล็ก 7.9 นิ้วตัวแรกจาก Apple ซึ่งเปิดจำหน่ายที่ร้าน iStudio, Banana IT, Power Mall และร้านค้าอื่นๆ เมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน 2555 ที่ผ่านมา โดยในช่วงแรก ของการจำหน่าย iPad mini (ไอแพด มินิ) นั้น จะมีแต่รุ่นที่รองรับ Wi-Fi เท่านั้นครับ ส่วน iPad mini (ไอแพด มินิ) รุ่น Wi-Fi + Cellular หรือรุ่นที่สามารถรองรับเครือข่าย 3G ในไทยได้ จะเปิดจำหน่ายอย่างเป็นทางการ ประมาณเดือนธันวาคมนี้ ซึ่งจะต้องรอ กสทช. อนุมัติให้เรียบร้อยเสียก่อน เนื่องจากมีความเกี่ยวข้องกับเครือข่ายโทรศัพท์มือถือนั่นเองครับ
สำหรับ iPad mini (ไอแพด มินิ) ที่ทางทีมงานเว็บไซต์ techmoblog จะนำมารีวิวกันในวันนี้ เป็น iPad mini (ไอแพด มินิ) ที่สั่งตรงมาจาก Apple Store online ซึ่งเปิดจำหน่ายเมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ซึ่งทางทีมงาน ได้ทำการสั่งซื้อ iPad mini (ไอแพด มินิ) ความจุ 16GB Wi-Fi ทั้งสีขาว White & Silver และ สีดำ Black & Slate ไปเมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน และเพิ่งได้รับสินค้า เมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา นั่นเองครับ ก่อนจะเข้าสู่บทความ รีวิว iPad mini (ไอแพด มินิ) มาดูสเปคคร่าวๆ ของ iPad mini (ไอแพด มินิ) กันก่อนครับ
สเปค iPad mini (ไอแพด มินิ)
- หน้าจอขนาด 7.9 นิ้ว ความละเอียด 1024 x 768 พิกเซล (163 ppi)
- ระบบประมวลผลแบบ Dual-core processor (Apple A5 chipset) ซึ่งเป็นซีพียูเดียวกับ iPad 2
- RAM ขนาด 512MB
- หน่วยความจำภายในตัวเครื่อง ขนาด 16 GB, 32 GB และ 64 GB
- กล้องด้านหน้า ความละเอียด 1.2 ล้านพิกเซล
- กล้องด้านหลัง ความละเอียด 5 ล้านพิกเซล ไม่มีแฟลช
- มีรุ่นรองรับเครือข่าย 3G และ 4G
- น้ำหนัก 308 กรัม สำหรับรุ่น Wi-Fi และน้ำหนัก 312 กรัม สำหรับรุ่น Wi-Fi + Cellular
หลังจากทราบ สเปค iPad mini (ไอแพด มินิ) กันไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ต่อไป เรามายลโฉม iPad mini (ไอแพด มินิ) ทั้งสีขาว และสีดำ กันแบบเต็มๆ กันครับ
iPad mini (ไอแพด มินิ) : ดีไซน์ และ การออกแบบ
สำหรับ iPad mini ที่ทางทีมงาน techmoblog นำมารีวิวในวันนี้ สั่งซื้อมาจาก Apple Store ครับ โดยทำการสั่งซื้อ ตั้งแต่วันที่ 2 พฤศจิกายน 2555 ที่ผ่านมา และเป็นวันแรกที่มีการ เปิดจำหน่าย iPad mini (ไอแพด มินิ) อย่างเป็นทางการ บน Apple Store Online Thailand ประเทศไทย โดยทางทีมงาน ได้รับ iPad mini เมื่อวันจันทร์ที่ 19 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา รวมระยะเวลา การสั่งจอง ทั้งสิ้น 2 สัปดาห์เศษๆ ซึ่งเป็นเรื่องปกติ ของการสั่งซื้อสินค้า ที่เพิ่งเปิดจำหน่ายเป็นวันแรก บน Apple Store ครับ เนื่องจากมียอดสั่งซื้อเข้ามาเป็นจำนวนมาก ทำให้ต้องใช้เวลาในการจัดส่งสินค้า พอสมควรเลยทีเดียว
โดยปกติแล้ว บริษัท ที่ทำการจัดส่ง ipad mini นั้น ก็คือ DHL ครับ ซึ่งจากการสอบถาม พนักงานของ DHL ทำให้ทราบว่า ในช่วงนี้ มีสินค้าของ Apple เข้ามาเป็นจำนวนมาก ทำให้ไม่สามารถจัดส่งได้ทัน จึงต้องมีการส่งต่อไปยังผู้จัดส่งรายชื่อ ที่ถือว่า เป็น sub ของ DHL อีกทอดหนึ่ง รวมไปถึงการจัดส่งแบบ EMS กับไปรษณีย์ไทย ซึ่งทางทีมงาน พบเจอกับการจัดส่ง ทั้ง 3 รูปแบบครับ โดยตัวสินค้า อยู่ในสภาพสมบูรณ์ดี ไม่มีร่องรอยความเสียหาย หรือการฉีกแกะแต่อย่างใด ฉะนั้น ท่านที่เป็นกังวลว่า สินค้าจะเสียหาย ขอให้คลายกังวลในจุดนี้ไปได้เลยครับ
สำหรับกล่อง iPad mini (ไอแพด มินิ) ทั้ง สีขาว และ สีดำ นั้น ตัวกล่องจะเป็นสีขาวทั้งหมด แตกต่างจาก iPhone 5 (ไอโฟน 5) นะครับ ที่ตัวเครื่องสีดำ กล่องจะเป็นสีดำ ส่วนตัวเครื่องสีขาว กล่องจะเป็นสีขาว ซึ่งด้านหน้ากล่องนั้น มีรูปของ iPad mini อย่างชัดเจน และมีโลโก้ Apple ประดับอยู่ด้านข้างกล่องครับ
iPad mini สีขาว และสีดำครับ จะเห็นว่า ทั้ง 2 สีนั้น มีความโดดเด่นกันไปคนละแบบ แล้วแต่ความชื่นชอบของผู้ใช้งานเป็นหลักว่า ชอบสีใดมากกว่ากัน
เนื่องจากหน้าจอของ iPad mini นั้น ไม่ใช่หน้าจอแบบ Retina display ฉะนั้น องศาการมอง iPad mini ในมุมต่างๆ จะมีความแตกต่างจาก iPad 3 และ iPad 4 อย่างชัดเจน ซึ่งสิ่งที่เห็นได้อย่างเด่นชัดก็คือ หน้าจอของ iPad 3 หรือ The new iPad นั้น จะมีความสว่างกว่ามาก อย่างไรก็ดี แม้ว่า หน้าจอของ iPad mini (ไอแพด มินิ) นั้น จะไม่ใช่หน้าจอแบบ Retina display แต่จากการทดสอบการใช้งาน จริงๆ แล้ว ไม่ได้มีผลกระทบต่อการใช้งานมากเท่าใดครับ ท่านที่เคยใช้ iPad 2 (ไอแพด 2) มาก่อน จะทราบดีว่า สามารถใช้งานได้ปกติ ไม่ได้มีปัญหาใดๆ ครับ
มาดูด้านหลัง iPad mini กันบ้างครับ สำหรับ iPad mini (ไอแพด มินิ) ตัวเครื่องสีดำนั้น ด้านหลังจะเป็นสี Slate ออกเทาเข้มปนดำนั่นเอง ซึ่งเป็นการเคลือบสีครับ ส่วน iPad mini สีขาว ด้านหลังตัวเครื่อง จะเป็นสีเงิน เหมือนกับ iPad รุ่นอื่นๆ ครับ แต่ความแตกต่างของ iPad mini สีขาว กับ iPad รุ่นอื่นนั้น อยู่ตรงโลโก้ Apple ครับ ซึ่ง โลโก้ Apple ของ iPad mini สีขาว จะเป็นสีบรอนซ์เงิน ในขณะที่รุ่นอื่น จะเป็นสีดำ ส่วน iPad mini สีดำ โลโก้ Apple ก็เป็นสีดำตามปกติครับ (ขออภัยที่รูปอาจจะมองเห็นไม่ชัดนะครับ เนื่องจากตัวเครื่องได้ทำการติดฟิล์มเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เลยทำให้เกิดการสะท้อนขณะถ่ายภาพครับ)
ด้านบนของจอแสดงผลนั้น เป็นกล้องด้านหน้า แบบ FaceTime HD ความละเอียด 1.2 ล้านพิกเซล สามารถถ่ายได้เคลื่อนไหวได้ความละเอียดสูงสุด 720p อีกทั้ง ยังสามารถใช้งาน FaceTime ผ่าน Wi-Fi หรือเครือข่ายโทรศัพท์มือถือ (เฉพาะรุ่น Wi-Fi + Cellular)
นอกจากนี้ กล้องด้านหน้า ยังมีฟีเจอร์ Face detection ระบบตรวจจับใบหน้า โฟกัสไปที่ใบหน้าของผู้ถูกถ่าย และเซ็นเซอร์รับภาพแบบ Backside-illuminated Sensor หรือ BSI ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของการถ่ายภาพในที่มืด รวมไปถึงฟังก์ชั่น Geotagging หรือการแนบข้อมูลพิกัด ไปกับภาพถ่าย หรือภาพวิดีโอครับ
ส่วนด้านล่างของจอแสดงผล ยังคงเป็น ปุ่ม Home ที่มีลักษณะเป็นปุ่มกลม เหมือนกับอุปกรณ์ iOS รุ่นอื่นๆ และเหมือนเช่นเคย การกดปุ่ม Home ควบคู่ไปกันปุ่มเปิด-ปิดเครื่องในด้านบนพร้อมๆ กัน เป็นการ capture screenshot ครับ
มาดูกันที่ปุ่มควบคุมการทำงาน ด้านข้างตัวเครื่องกันบ้างครับ โดยด้านขวาของตัวเครื่อง จะมีปุ่มควบคุมการทำงาน ทั้งหมด 3 ปุ่มด้วยกัน โดยปุ่มแรก เป็นได้ทั้ง ปุ่มปิดเสียง หรือ ปุ่มล็อคการหมุนของหน้าจอ (Lock Rotation) ซึ่งผู้ใช้งาน จะต้องไปตั้งค่าการใช้งานก่อนว่า อยากให้เป็นปุ่มควบคุมการทำงานอะไร โดยเข้าไปที่ Settings > General จากนั้น จะเห็นรายละเอียดที่เขียนว่า Use Side Switch to: ให้เลือกระหว่าง Lock Rotation หรือ Mute ส่วนอีก 2 ปุ่มถัดมา ก็คือ ปุ่มปรับเสียง ครับ
ส่วนด้านซ้ายของ iPad mini รุ่น Wi-Fi นั้น ไม่มีปุ่มควบคุมการทำงานใดๆ ครับ
มาดูกันที่ด้านบนของตัวเครื่องกันบ้างครับ ทางด้านซ้าย เป็นช่องสำหรับหูฟังขนาด 3.5 มิลลิเมตร ถัดมาตรงกลาง เป็นไมโครโฟน และด้านซ้าย เป็นปุ่ม Power สำหรับเปิด-ปิดเครื่อง หรือ Sleep อย่างไรก็ดี ในกล่องของ iPad mini นั้น ไม่มีหูฟังมาให้ จำเป็นจะต้องซื้อเพิ่ม ซึ่งสามารถใช้กับหูฟังประเภทใดก็ได้ เนื่องจากช่องเสียบนั้น เป็นขนาดมาตรฐานอยู่แล้วนั่นเอง
ส่วนด้านล่างของตัวเครื่องนั้น เป็นพอร์ต Lightning Connector แบบเดียวกับ iPhone 5 (ไอโฟน 5) สามารถใช้สาย data อันเดียวกันได้ ในขณะที่ลำโพง เป็นแบบ Stereo ครับ
ความแตกต่างของขอบตัวเครื่อง ระหว่าง iPad mini สีขาว และ สีดำ ก็คือ iPad mini สีดำ จะเป็นขอบเคลือบสี ซึ่งถ้าหากใช้งานไม่ระมัดระวัง มีโอกาสที่สีถลอกได้ครับ ในขณะที่ iPad mini สีขาว ขอบตัวเครื่องจะเป็นขอบเงิน เหมือนกับของของ iPhone 5 (ไอโฟน 5) สีขาว นั่นเอง สวยไปอีกแบบครับ
อุปกรณ์ภายในกล่อง ประกอบไปด้วย ที่ชาร์ตแบตเตอรี่แบบ Wall charge และสาย Lightning to USB Cable
เปรียบเทียบ iPad mini (ไอแพด มินิ) และ The new iPad (ipad 3)
อย่างที่ทุกท่านทราบกันครับว่า iPad mini (ไอแพด มินิ) นั้น มีขนาดที่เล็กกว่า iPad 3 หรือ The new iPad ซึ่งตัวเครื่องที่มีขนาดที่เล็กกว่านี่เอง ทำให้ iPad mini สามารถพกพาได้สะดวกกว่า มีน้ำหนักเบากว่า และจับได้ถนัดมือมากกว่า แต่ก็ต้องแลกมาด้วย หน้าจอที่มีความละเอียดน้อยกว่า ipad 3 ครับ เนื่องจาก ipad mini ไม่ใช่หน้าจอแบบ Retina display นั่นเอง อย่างไรก็ดี แม้ว่าความละเอียดของหน้าจอ iPad mini จะน้อยกว่า iPad 3 แต่ก็ไม่เป็นปัญหาต่อการใช้งานแต่อย่างใดครับ
มาดูที่ด้านหลังตัวเครื่องกันบ้างครับ ความแตกต่างระหว่าง iPad 3 (The new iPad) กับ iPad mini (ไอแพด มินิ) นอกจากจะมีขนาดของพอร์ตการเชื่อมต่อ ด้านล่างตัวเครื่อง ที่ไม่มีเหมือนกันแล้ว ที่ด้านหลังของตัวเครื่อง ยังมีความแตกต่างกันเล็กน้อยอีกด้วย ซึ่งจากรูป จะเห็นได้ว่า โลโก้ Apple นั้น ได้มีการเปลี่ยนสี จากสีดำ บน iPad 3 เป็นสีเงิน บน iPad mini อีกทั้ง ตัวเครื่องของ iPad mini (ไอแพด มินิ) จะออกเหลี่ยมกว่า iPad 3 ครับ
เมื่อวางซ้อนกัน จะเห็นว่า iPad mini (ไอแพด มินิ) มีขนาดเล็กกว่า iPad 3 (The new iPad) มากทีเดียว
เปรียบเทียบ หน้าจอ iPad 3 (ซ้าย) และ iPad mini (ขวา) ขนาด 100%
ลองมาเปรียบเทียบ ความละเอียดของภาพ จากหน้า screenshot ระหว่าง iPad 3 (The new iPad) และ iPad mini ครับ จะเห็นได้ว่า ภาพขนาดปกติ แบบ 100% ระหว่าง iPad 3 และ iPad mini มีความแตกต่างกันมากทีเดียว
หน้าจอ iPad 3 (ซ้าย) และ iPad mini (ขวา)
และเมื่อเราทำการปรับ ไอคอน Music จาก iPad mini ให้มีขนาดที่เท่ากับ iPad 3 จะเห็นได้ว่า มีรอยหยักตามขอบครับ ซึ่งถือว่า ไม่ใช่เรื่องที่แปลกแต่อย่างใด เนื่องจาก ความละเอียดหน้าจอของ iPad mini นั้น มีความละเอียดน้อยกว่า iPad 3 นั่นเองครับ
iPad mini (ไอแพด มินิ) : iOS 6 และ อินเทอร์เฟส
สำหรับระบบปฏิบัติการ ที่ใช้บน iPad mini (ไอแพด มินิ) นั้น เป็นระบบปฏิบัติการ iOS 6.0.1 ซึ่งเป็นเวอร์ชั่นใหม่ล่าสุด (ณ วันที่ทำการรีวิว) โดยมีอินเทอร์เฟส เหมือนกับ iPhone 5 (ไอโฟน 5) และ อุปกรณ์ iOS อื่นๆ นั่นเอง นอกจากนี้ เมื่อใช้งาน iPad mini ในแนวตั้ง สามารถเรียง ไอคอน ได้ 5 แถว เช่นเดียวกับ iPhone 5 (ไอโฟน 5) ในขณะที่ ถ้าหากใช้งานในแนวนอน จะเป็นแบบ 4 แถวครับ
ส่วนในหน้า lockscreen นั้น จะมี 2 ส่วนหลักๆ นั่นก็คือ ปุ่ม slide to unlock มีไว้เพื่อปลดล็อคตัวเครื่อง และ ไอคอน shortcut ของแอพพลิเคชั่น photos ซึ่งเมื่อกดเข้าไป จะพบกับภาพที่บรรจุอยู่ในส่วนของ Camera Roll นั่นเอง โดยจะเป็นแสดงภาพแบบสไลด์ครับ นอกจากนี้ การกดปุ่ม Home 2 ครั้งติดต่อกัน ในหน้า lockscreen จะพบกับปุ่มการควบคุมการเล่นเพลง และปรับเสียง
ถ้าหากทำการลากจากด้านบนหน้าจอลงมา จะพบกับ Notification Center ซึ่งสามารถเข้าใช้งานได้ตลอดเวลา แม้ว่าขณะนั้น จะเล่นเกม หรือเปิดแอพพลิเคชั่นอื่นๆ อยู่ก็ตาม
นอกจากนี้ iPad mini (ไอแพด มินิ) ยังรองรับการใช้งาน Siri อีกด้วยครับ โดยรองรับได้หลายภาษา ไม่ว่าจะเป็น ภาษาอังกฤษ, ภาษาฝรั่งเศส, ภาษาสเปน, ภาษาอิตาลี, ภาษาเยอรมัน, ภาษาเกาหลี, ภาษาจีนกลาง และภาษากวางตุ้ง แน่นอนครับว่า ยังไม่รองรับภาษาไทย
โดยความสามารถที่เพิ่มขึ้น ของ Siri บน iOS 6 นั้น มีหลายอย่างด้วยกัน ทั้งการสอบถาม ผลการแข่งขันกีฬาโปรด, ค้นหาร้านอาหาร หรือค้นหารอบหนัง ซึ่งฟีเจอร์ต่างๆ เหล่านี้ จำกัดการใช้งานในบางประเทศเท่านั้นครับ
สำหรับการเปิดใช้งาน Siri นั้น ทำได้โดยการกดปุ่ม Home ค้างไว้ครับ แต่จำเป็นจะต้องเปิดใช้งานเสียก่อน โดยเข้าไปที่ Settings > General > Siri
iPad mini (ไอแพด มินิ) : ทดสอบ Benchmark
iPad mini ขับเคลื่อนด้วย Apple A5 chipset ซึ่งเป็นชิปเซ็ทตัวเดียวกับ ipad 2 โดยเป็น ซีพียูแบบ Dual-core ARM Cortex-A9 ความเร็ว 1GHz, ระบบประมวลผลภาพ PowerVR SGX543 GPU และ RAM ขนาด 512MB มาดูผลการทดสอบ Benchmark กันครับ
(**ผลการทดสอบ Benchmark จากเว็บไซต์ gsmarena.com)
iPad mini (ไอแพด มินิ) : ทดสอบการถ่ายภาพ กับกล้องความละเอียด 5 ล้านพิกเซล
สำหรับกล้องดิจิตอล ด้านหลังตัวเครื่อง ของ iPad mini (ไอแพด มินิ) นั้น เป็นกล้องแบบ iSight ความละเอียด 5 ล้านพิกเซล ไม่มีไฟแฟลช โดยให้ความละเอียดของภาพ สูงสุดที่ 2592 x 1944 พิกเซล ครับ นอกจากนี้ ยังมีระบบ Geo-tagging ในการระบุตำแหน่งของภาพถ่าย, ระบบ Auto-focus ที่สามารถสัมผัสหน้าจอ ให้ตัวกล้องโฟกัสในจุดที่ต้องการได้ อีกทั้ง ยังมีระบบ Face detection หรือระบบโฟกัสใบหน้าอีกด้วย
สำหรับอินเทอร์เฟสของ แอพพลิเคชั่นกล้อง บน iPad mini (ไอแพด มินิ) นั้น ใช้งานไม่ยากครับ มีปุ่มควบคุมการทำงานเพียงไม่กี่ปุ่มเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็น ปุ่มชัตเตอร์ภาพถ่าย, ปุ่มสลับมากล้องด้านหน้า และปุ่มสลับเป็นการถ่ายวิดีโอ ส่วนด้านล่างซ้าย เป็นเพียงการเปิดใช้งาน Grid ครับ
มาดูกันว่า ภาพถ่ายจากกล้องบน iPad mini นั้น จะได้ภาพออกมาเช่นไร (คลิ๊กที่ภาพเพื่อขยาย ซึ่งเป็นภาพขนาดจริง ที่ไม่ผ่านการตกแต่งใดๆ)
สำหรับภาพที่ถ่ายจาก iPad mini (ไอแพด มินิ) ถือว่า ใช้ได้เลยทีเดียวครับ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของสีสัน และการเก็บรายละเอียดอื่นๆ ถือว่า ทำได้ดีทีเดียว
iPad mini (ไอแพด มินิ) : ทดสอบใช้งานเบราเซอร์
แม้ว่า iPad mini จะไม่ได้ใช้หน้าจอแบบ Retina display แต่ก็ถือว่า สามารถใช้งานด้านเบราเซอร์ ด้านการท่องเว็บต่างๆ ได้อย่างสบายๆ ครับ หลายๆ ท่านอาจจะกังวลว่า หน้าจอชนาด 7.9 นิ้วบน iPad mini (ไอแพด มินิ) นั้น อาจจะมีขนาดที่เล็กเกินไป และเห็นได้ไม่ชัดเจน แต่อย่าลืมว่า iPad mini นั้น มีฟังก์ชั่น Pinch-to-Zoom สามารถซูมเข้าออกได้ ฉะนั้น หมดปัญหาเรื่องตัวอักษรมีขนาดเล็กไปได้เลยทันที
สำหรับคุณสมบัติอื่นๆ ของ Safari บน iPad mini (ไอแพด มินิ) นั้น ก็เหมือนกับ Safari บน iOS ทั่วๆ ไปครับ นั่นก็คือ มี multiple tabs สามารถเพิ่ม URL ได้เรื่อยๆ ตามต้องการ, มี Bookmarks สำหรับหน้าเพจสุดโปรด และยังอ่านไม่จบ นอกจากนี้ ยังสามารถแชร์เว็บเพจ ให้กับเพื่อนๆ ได้อีกด้วย
นอกจากนี้ บน Safari ยังมีปุ่ม Reader ที่เหมาะสำหรับการอ่านบทความ หรือนิยายดีๆ ซักเรื่อง เนื่องจาก Reader นั้น จะมีเฉพาะตัวอักษร และรูปภาพของบทความเท่านั้น โดยจะตัดโฆษณา และส่วนประกอบอื่นๆ ออกไปครับ ซึ่งสามารถอ่านได้อย่างสบายตา เหมือนกับกำลังเปิดหนังสืออ่านอยู่นั่นเอง
iPad mini (ไอแพด มินิ) : สรุปการใช้งาน
เป็นอย่างไรกันบ้างครับ กับบทความ รีวิว iPad mini (รีวิว ไอแพด มินิ) จากเว็บไซต์ techmoblog ในวันนี้ ที่ทางทีมงานหวังว่า จะช่วยทำให้ท่านที่กำลัง ตัดสินใจที่จะซื้อ ไอแพด มินิ (iPad mini) มาใช้งานซักเครื่อง สามารถตัดสินใจได้ง่ายขึ้นครับ ซึ่งจากการทดสอบการใช้งาน iPad mini (ไอแพด มินิ) เป็นเวลา 1 สัปดาห์ ก็พบกับความประทับใจ และไม่ประทับใจ ในหลายๆ ด้าน จึงขอสรุปเป็น จุดเด่น จุดด้อย ดังนี้ครับ
จุดเด่นของ iPad mini (ไอแพด มินิ)
• ตัวเครื่องมีขนาดที่เล็กลง ทำให้สามารถพกพาได้สะดวกมากกว่า iPad ขนาดปกติ ไม่ว่าจะเป็น iPad 2, iPad 3 (The new iPad) และ iPad 4 (ไอแพด 4) ซึ่งมีขนาดที่ใหญ่กว่าถึง 10.1 นิ้ว นอกจากนี้ ตัวเครื่องที่มีขนาดเล็กลง ทำให้น้ำหนักเบาลงตามไปด้วย และที่สำคัญ มีน้ำหนักที่เบากว่า Nexus 7 ที่ตัวเครื่องทำมาจากพลาสติกครับ ในขณะที่ iPad mini เป็นอะลูมิเนียม
• สามารถจับได้ถนัดมือ และสามารถถือใช้งานได้ด้วยมือเดียว
• พอร์ตการเชื่อมต่อแบบ Lightning connector ที่มีขนาดเล็กกว่าพอร์ตการเชื่อมต่อแบบเดิม และพกพาได้สะดวกกว่า อีกทั้ง ยังสามารถใช้งานได้ทั้ง 2 ด้าน
• กล้องดิจิตอลด้านหลัง ความละเอียด 5 ล้านพิกเซล ที่ให้ภาพที่คมชัด สีสันที่สดใส เป็นธรรมชาติ และไม่จำเป็นต้องปรับแต่งภาพใดๆ
• รองรับแอพพลิเคชั่นของ iPad 4 (ไอแพด 4) ได้ทุกประเภท อีกทั้ง ยังมีแอพพลิเคชั่นสำหรับ iPad ให้เลือกใช้มากมายบน App Store กว่า 250,000 แอพพลิเคชั่นเลยทีเดียว
• ถ้าหากเปรียบเทียบการใช้งาน ระหว่าง iPad mini กับ iPad 3 แล้ว พบว่า อุณหภูมิของ iPad mini อยู่ในระดับปกติ ไม่ร้อนเท่ากับการใช้งานบน iPad 3 (The new iPad)
• จากการทดสอบเรื่องอายุการใช้งานของแบตเตอรี่ พบว่า สามารถใช้งานได้นาน 8-10 ชั่วโมงครับ ถือว่า เพียงพอต่อการใช้งานใน 1 วัน (แต่ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับการตั้งค่าการใช้งานตัวเครื่องเป็นหลักด้วยครับ)
• เมื่อเทียบกับ แท็บเล็ตคู่แข่ง ขนาด 7 นิ้ว ถือว่า iPad mini ใช้วัสดุที่มีความแข็งแรงกว่า คุณภาพดี และคงทนกว่า ในขณะที่แท็บเล็ตคู่แข่ง จะเป็นพลาสติกเสียส่วนใหญ่
• มีให้เลือก 2 รุ่น นั่นก็คือ Wi-Fi และ Wi-Fi + Cellular มี 2 สี ได้แก่ สีขาว White & Marble และ สีดำ Black & Slate
จุดด้อยของ iPad mini (ไอแพด มินิ)
• สีสันของหน้าจอบน iPad mini อาจจะไม่สดใสเท่ากับหน้าจอบน iPad 4 (ไอแพด 4) เนื่องจาก ไม่ใช่หน้าจอแบบ Retina display ครับ แต่ก็ถือว่า สามารถใช้งานทั่วไปได้ตามปกติ
• ยังคงใช้ชิปเซ็ทแบบเดียวกับ iPad 2 ซึ่งเป็นชิป Apple A5 ถ้าหากเทียบการประมวลผลการใช้งาน โดยเฉพาะด้านกราฟฟิค กับ iPad 4 ถือว่า ด้อยกว่ามาก
• กล้องด้านหลังตัวเครื่อง ไม่มีไฟแฟลช สำหรับการใช้งานในที่มืด แสงน้อย หรือตอนกลางคืน
• เมื่อเทียบราคา กับแท็บเล็ตคู่แข่ง ขนาด 7 นิ้ว ถือว่า iPad mini มีราคาที่แพงกว่าประมาณ 2,000 - 3,000 บาท
สำหรับ ราคา iPad mini นั้น เริ่มต้นที่ 11,200 บาท สำหรับรุ่นความจุ 16GB Wi-Fi ส่วน iPad mini 16GB Wi-Fi + Cellular จะอยู่ที่ 15,200 บาทครับ โดย ipad mini รุ่น Wi-Fi มีจำหน่ายแล้ววันนี้ ทั้งบน Apple Store online และร้านค้าทั่วไป ในขณะที่ iPad mini รุ่น Wi-Fi + Cellular จะต้องรอการอนุมัติจากการ กสทช. เสียก่อน จึงจะเปิดจำหน่ายได้ คาดว่า ประมาณเดือนธันวาคมนี้ครับ
---------------------------------------
บทความรีวิวโดย : techmoblog.com
iPad mini (ไอแพด มินิ) เตรียมจำหน่ายศูนย์ไทย ทั้ง AIS Dtac และ Truemove H ต้นธันวาคมนี้
[8-พฤศจิกายน-2555] ถึงแม้ว่า ในตอนนี้ iPad mini (ไอแพด มินิ) จะเปิดจำหน่ายอย่างเป็นทางการแบบออนไลน์ บน Apple Store Thailand ประเทศไทย เมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน ที่ผ่านมาแล้วก็ตาม แต่เนื่องจาก ผู้ที่สั่งซื้อ ipad mini แบบออนไลน์ จำเป็นจะต้องรอสินค้าประมาณ 2-3 สัปดาห์ ทำให้ชะลอการซื้อ iPad mini (ไอแพด มินิ) ไว้ก่อน และรอการเปิดจำหน่าย iPad mini (ไอแพด มินิ) อย่างเป็นทางการจากผู้ให้บริการในไทยอีกที
ล่าสุด โพสต์ทูเดย์ รายงานครับว่า iPad mini (ไอแพด มินิ) จะเปิดจำหน่ายอย่างเป็นทางการ จากผู้ให้บริการมือถือทั้ง 3 ราย ทั้ง AIS, Dtac และ Truemove H ช่วงต้นเดือนธันวาคมนี้ ซึ่ง iPad mini (ไอแพด มินิ) ที่ผู้ให้บริการจะเปิดจำหน่ายนั้น จะมีแต่รุ่น Wi-Fi + Cellular เท่านั้นครับ เนื่องจากจะต้องขายเครื่อง พร้อมแพ็กเกจอินเทอร์เน็ตนั่นเอง ส่วนราคา จะเป็นราคาที่เท่ากับบน Apple Store ดังนี้ครับ
-> iPad Mini 16GB Wi-Fi ราคา $329 (ราคาไทย 11,200 บาท)
-> iPad Mini 32GB Wi-Fi ราคา $429 (ราคาไทย 14,200 บาท)
-> iPad Mini 64GB Wi-Fi ราคา $529 (ราคาไทย 17,200 บาท)
-> iPad Mini 16GB Wi-Fi + Cellular ราคา $459 (ราคาไทย 15,200 บาท)
-> iPad Mini 32GB Wi-Fi + Cellular ราคา $559 (ราคาไทย 18,200 บาท)
-> iPad Mini 64GB Wi-Fi + Cellular ราคา $659 (ราคาไทย 21,200 บาท)
อัพเดทคลิปวิดีโอโปรโมท iPad mini (ไอแพด มินิ) จาก Apple Subtitle ภาษาไทย thai โดยทีมงาน techmoblog ครับ ซึ่งภายในคลิปจะกล่าวถึง แนวคิดการออกแบบ iPad Mini (ไอแพด มินิ) พร้อมกับฟังก์ชั่นการใช้งานที่สามารถใช้งานได้เทียบเท่ากับ iPad ขนาดปกติ แม้ว่าขนาดหน้าจอจะเล็กลง รวมไปถึงคุณสมบัติต่างๆ ของ iPad Mini ทั้งกล้อง FaceTime กล้องด้านหลัง และแนะนำ Smart Cover บน iPad mini ครับ ติดตามข้อมูลเพิ่มเติมจากคลิปวีดีโอนะครับ
iPad mini (ไอแพด มินิ) หน้าจอ 7.9 นิ้ว ใช้ชิป Apple A5 แบบ Dual-core processor และกล้องด้านหลัง ความละเอียด 5 ล้านพิกเซล
และด้านบนนี้ก็คือ สเปคของ iPad mini (ไอแพด มินิ) นั่นเองครับ โดย iPad Mini (ไอแพด มินิ) นั้น มาพร้อมกับหน้าจอขนาด 7.9 นิ้ว ความละเอียด 1024 x 768 พิกเซล ซึ่งเป็นความละเอียดเดียวกับ iPad 2 และแน่นอนครับว่า ไม่ใช่หน้าจอแบบ Retina display อย่างแน่นอน โดยเมื่อเทียบกับแท็บเล็ตหน้าจอ 7 นิ้วยี่ห้ออื่นๆ พบว่า iPad mini (ไอแพด มินิ) มีพื้นที่การใช้งานที่ใหญ่กว่าถึง 35%
ชิปเซ็ทที่ใช้บน iPad mini นั้น เป็น Apple A5 ซึ่งเป็นชิปเซ็ทตัวเดียวกับที่ใช้บน iPad 2 ครับ
สำหรับวัสดุที่ใช้ผลิต iPad mini (ไอแพด มินิ) นั้น เป็น aluminium unibody แบบเดียวกับ iPhone 5 (ไอโฟน 5) นั่นเอง ส่วนความหนาของตัวเครื่องนั้นอยู่ที่ 7.2 มิลลิเมตร บางกว่า iPad 23% และหนัก 0.68 ปอนด์ เบากว่า iPad 53% ครับ จะเห็นได้ว่า ความบางของ ipad mini ขนาดเท่าดินสอเท่านั้นเอง
กล้องด้านหลังแบบ iSight ความละเอียด 5 ล้านพิกเซล ไม่มีไฟแฟลช โดยเป็นเลนส์ทั้งหมด 5 ชิ้น รูรับแสงขนาด f/2.4 ที่ช่วยให้ภาพที่สว่าง และคมชัด มีระบบ Autofucos นอกจากนี้ ยังมี hybrid infrared filter ซึ่งเป็นฟิลเตอร์แบบเดียวที่ใช้บนกล้อง DSLR ราคาแพง อีกทั้งยังสามารถบันทึกภาพวิดีโอขนาด Full HD 1080p ได้ ส่วนกล้องด้านหน้า FaceTime นั้น ความละเอียดระดับ HD ครับ
ส่วนพอร์ตการเชื่อมต่อนั้น เป็นแบบ Lightning connector ซึ่งมีขนาดเล็กลงกว่าพอร์ตแบบเดิม และเป็นพอร์ตแบบเดียวกับ iPhone 5 (ไอโฟน 5) ด้วยนั่นเอง
เหมือนกับ The new iPad (iPad 3) และ iPad 4 (ไอแพด 4) ครับ เมื่อ iPad mini (ไอแพด มินิ) สามารถรองรับเครือข่าย LTE ได้ ส่วน Wi-Fi นั้น เป็นแบบ dual-band (2.4GHz and 5GHz) ที่ช่วยให้อัตราการดาวน์โหลดสูงสุดที่ 150 Mbps ครับ
iPad mini มาพร้อมระบบปฏิบัติการ iOS 6 ที่มีความสามารถในการรองรับโปรแกรม Siri เหมือนกับ The new iPad และ iPad 4 (ไอแพด 4) นอกจากนี้ ยังรวมเป็นหนึ่งเดียวกับ Facebook และ Twitter โดยสามารถอัพเดทข้อความผ่าน Facebook หรือ ทวีตข้อความจาก Twitter จากการสั่งงานผ่าน Siri
นอกจากนี้ iPad Mini ยังรองรับ Smart Cover ซึ่งเป็นเทคโนโลยีกับ Smart Cover บน iPad 2, The new iPad (iPad 3) และ iPad 4 (ไอแพด 4) นั่นเอง มีให้เลือกทั้งหมด 6 สีคือ สีเทาเข้ม สีเทาอ่อน สีชมพู สีเขียว สีฟ้า และสีแดง
ราคา iPad Mini (ราคา ไอแพด มินิ)
iPad Mini (ไอแพด มินิ) มีให้เลือก 2 สีคือ สีขาว White & Silver และสีดำ Black & Slate และมีให้เลือก 2 แบบคือ รุ่นที่รองรับ Wi-Fi และรุ่นที่รองรับ Wi-Fi + Cellular ส่วนราคา ipad mini เป็นดังนี้ครับ
-> iPad Mini 16GB Wi-Fi ราคา $329 (ราคาไทย 11,200 บาท)
-> iPad Mini 32GB Wi-Fi ราคา $429 (ราคาไทย 14,200 บาท)
-> iPad Mini 64GB Wi-Fi ราคา $529 (ราคาไทย 17,200 บาท)
-> iPad Mini 16GB Wi-Fi + Cellular ราคา $459 (ราคาไทย 15,200 บาท)
-> iPad Mini 32GB Wi-Fi + Cellular ราคา $559 (ราคาไทย 18,200 บาท)
-> iPad Mini 64GB Wi-Fi + Cellular ราคา $659 (ราคาไทย 21,200 บาท)
ติดตาม ราคา iPad mini เครื่องศูนย์ เครื่องหิ้ว มาบุญครอง อัพเดททุกสัปดาห์ ได้ที่นี่
วันวางขาย iPad Mini (ไอแพด มินิ) : เปิด Pre order 26 ต.ค.และขายอย่างเป็นทางการ 2 พ.ย. นี้ !!
iPad mini (ไอแพด มินิ) เปิดพรีออเดอร์วันแรก ในวันที่ 26 ตุลาคมนี้ ก่อนวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการในวันที่ 2 พฤศจิกายน ซึ่งในวันที่ 2 พฤศจิกายนนั้น จะมีวางจำหน่ายเฉพาะรุ่น Wi-Fi ส่วนรุ่น Wi-Fi + Cellular นั้น จะวางจำหน่ายในอีก 2 สัปดาห์ถัดไปครับ
`
ส่วนรายชื่อประเทศที่วางจำหน่าย iPad mini ได้แก่ ออสเตรเลีย, ออสเตรีย, เบลเยี่ยม, บัลแกเรีย, แคนาดา, สาธารณเช็ก, เดนมาร์ก, ฟินแลนด์, ฝรั่งเศส, เยอรมนี, ฮ่องกง, ฮังการี, ไอส์แลนด์, ไอร์แลนด์, อิตาลี, ญี่ปุ่น, เกาหลีใต้, ลิกเตนสไตน์, ลักเซมเบิร์ก, เนเธอร์แลนด์, นิวซีแลนด์, นอร์เวย์, โปแลนด์, โปรตุเกส, เปอโตริโก้, โรมาเนีย, สิงคโปร์, สโลวาเกีย, สโลเวเนีย, สเปน, สวีเดน, สวิตเซอร์แลนด์, สหราชอาณาจักร และ สหรัฐอเมริกา
และล่าสุด iPad mini (ไอแพด มินิ) ได้เปิดจำหน่ายอย่างเป็นทางการบน Apple Store Thailand ประเทศไทย เป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยในช่วงแรก จะสามารถสั่งซื้อได้เฉพาะรุ่น Wi-Fi เท่านั้น ส่วนรุ่น Wi-Fi + Celllar จะเปิดจำหน่ายประมาณเดือนธันวาคมนี้ครับ
บทความโดย : Techmoblog
Update : 02/09/2020
หน้าหลัก (Main) |
(สินค้า IT) ออกใหม่ |
|
FOLLOW US |