เหลือเวลาอีกเพียงไม่กี่สัปดาห์ ก็จะได้ฤกษ์วางจำหน่ายในไทยอย่างเป็นทางการ สำหรับ iPhone 7 และ iPhone 7 Plus ไอโฟนรุ่นใหม่ล่าสุดประจำปี 2016 ที่มีการประกาศออกมาแล้วว่า iPhone 7 และ iPhone 7 Plus จะวางจำหน่ายในไทยในวันที่ 21 ตุลาคมนี้ ซึ่งทางโอเปอร์เรเตอร์ 3 ค่ายหลักในไทย ซึ่งได้แก่ dtac, AIS และ TrueMove H ก็ได้ประกาศให้ลงทะเบียนแสดงความสนใจกันแล้ว ก่อนจะเปิดพรีออเดอร์อย่างเป็นทางการในวันที่ 14 ตุลาคม ที่จะถึงนี้
ถึงแม้ว่า ดีไซน์โดยรวมของ iPhone 7 กับ iPhone 7 Plus จะยังไม่แตกต่างไปจากรุ่นเดิมมากนัก แต่ก็มีความเปลี่ยนแปลงในหลาย ๆ ส่วนด้วยกัน หลัก ๆ ก็คือ เพิ่มคุณสมบัติด้านการกันน้ำ กันฝุ่น, ตัดช่องหูฟังออก, ปุ่ม Home แบบใหม่, อัปเกรดกล้องถ่ายรูป, เพิ่มสีใหม่ ดำ Black และดำเงา Jet Black รวมไปถึงอัปเกรดสเปกให้แรงกว่าเดิมเท่าตัว ซึ่งในวันนี้ ถือว่าเป็นโอกาสอันดี ที่ทีมงาน techmoblog จะมารีวิว iPhone 7 ให้ชมกัน มาดูกันดีกว่าว่า iPhone 7 น่าใช้งานมากกว่าเดิมแค่ไหน
** หมายเหตุ : iPhone 7 เครื่องที่นำมารีวิว มีการติดฟิล์มกระจกแล้ว
>> สเปก iPhone 7 อย่างละเอียด คลิกที่นี่
>> สเปก iPhone 7 Plus อย่างละเอียด คลิกที่นี่
สำหรับขนาดตัวเครื่องของ iPhone 7 นั้น อยู่ที่ 138.3 x 67.1 x 7.1 มิลลิเมตร ซึ่งมีขนาดเท่ากับ iPhone 6S โดยมาพร้อมกับหน้าจอแสดงผลกว้าง 4.7 นิ้ว แบบ Retina HD IPS LCD (LED-Backlit) 3D Touch Capacitive Touchscreen 16.7 ล้านสี ความละเอียด 1334 x 750 พิกเซล (326 ppi) และน้ำหนักตัวเครื่อง 138 กรัม เบากว่า iPhone 6S เพียงเล็กน้อยเท่านั้น
ด้านบนของหน้าจอแสดงผล ประกอบด้วย กล้องด้านหน้า ความละเอียด 7 ล้านพิกเซล พร้อมรูรับแสงกว้าง F/2.2 (อัปเกรดจากกล้องด้านหน้า ความละเอียด 5 ล้านพิกเซล บน iPhone 6S), เซ็นเซอร์ต่าง ๆ และลำโพงสำหรับสนทนา
ด้านล่างของหน้าจอแสดงผล เป็นปุ่ม Home แบบใหม่ ที่มาพร้อมกับระบบ Taptic Engine คล้ายกับ Trackpad บน MacBook รุ่นใหม่ โดยจะเกิดการสั่นเมื่อมีการสัมผัสลงไป (สามารถกำหนดระดับของการสั่นได้) และให้ความรู้สึกเหมือนกับว่า กำลังกดปุ่ม Home ลงไปจริง ๆ โดยปุ่ม Home แบบใหม่นี้ จะไม่สามารถกดเพื่อใช้งานได้ ถ้าหากตัวเครื่องปิดอยู่ แตกต่างจาก iPhone รุ่นปัจจุบันที่ถึงแม้จะปิดเครื่องไปแล้ว ก็ยังสามารถกดปุ่ม Home ได้ปกติ นอกจากนี้ ปุ่ม Home บน iPhone 7 ยังรองรับการสแกนลายนิ้วมือเช่นกัน
ในเมื่อปุ่ม Home ไม่สามารถกดลงไปได้เหมือนปุ่ม Home แบบก่อน ๆ แล้วจะทำการ Hard Reset อย่างไร ? (Home + Power) สำหรับ iPhone 7 และ iPhone 7 Plus นั้น การทำ Hard Reset ให้กดปุ่ม Power + ปุ่มลดเสียง แทน
ด้านขวาของตัวเครื่อง ประกอบด้วย ช่องสำหรับใส่ซิมการ์ดแบบ nanoSIM (รองรับซิมการ์ดเดียว) และปุ่ม Power สำหรับเปิด-ปิดตัวเครื่อง หรือล็อกหน้าจอแสดงผล ส่วนด้านซ้ายของตัวเครื่อง เป็นปุ่มปรับระดับเสียง และปุ่มปิดเสียง (Mute)
ด้านล่างของตัวเครื่อง ประกอบด้วย พอร์ตการเชื่อมต่อแบบ Lightning และจะได้เห็นว่า มีการตัดช่องหูฟังขนาด 3.5 มิลลิเมตรออกแล้ว และแทนที่ด้วยลำโพงเสียงแบบสเตอริโอแทน
ด้านหลังตัวเครื่อง ประกอบด้วย กล้องด้านหลัง ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล (รูรับแสง F/1.8), ไมโครโฟนตัวที่สองสำหรับตัดเสียงรบกวน และไฟแฟลชแบบ Quad-LED True Tone Flash ส่วนเส้นเสาสัญญาณที่พาดผ่านตัวเครื่อง ได้ถูกตัดออกและย้ายไปที่ด้านบนกับด้านล่างตัวเครื่องแทน ซึ่งถึงแม้ว่า ขนาดตัวเครื่องของ iPhone 7 และ iPhone 6S จะเท่ากัน แต่ไม่สามารถใช้เคสด้วยกันได้ เนื่องจากกล้องบน iPhone 7 มีขนาดที่ใหญ่กว่า
iPhone 7 และ iPhone 7 Plus มาพร้อมกับคุณสมบัติด้านการกันน้ำ กันฝุ่น ตามมาตรฐาน IP67 สามารถอยู่ในน้ำลึก 1 เมตรได้นาน 30 นาที อีกทั้งยังเป็น iPhone รุ่นแรกที่มีคุณสมบัติดังกล่าว ซึ่งจากการทดสอบด้านการกันน้ำ พบว่า ตัวเครื่องยังสามารถใช้งานได้ตามปกติ
สำหรับ iPhone 7 รุ่นที่นำมารีวิวนี้ เป็นสีดำ Black ซึ่งเป็นสีใหม่ล่าสุด โดยมาพร้อมกับแพ็กเกจกล่องสีขาว และตัวเครื่องสีดำที่หน้ากล่อง แตกต่างจาก สีดำเงา Jet Black ที่กล่องแพ็กเกจจะเป็นสีดำล้วน
อุปกรณ์ภายในกล่อง ประกอบด้วย Adapter สำหรับชาร์จไฟ, สาย Lightning และหูฟัง EarPods แบบใหม่ที่เป็นพอร์ต Lightning ซึ่งหูฟังชุดนี้ ไม่มีกล่องพลาสติกมาให้แล้ว แต่ในกล่องแถมตัวแปลง 3.5 mm to Lightning มาให้ สำหรับผู้ที่อยากใช้หูฟังพอร์ต 3.5 มิลลิเมตรแบบเดิม หรือถ้าหากอยากฟังแบบไร้สาย แอปเปิล ก็ได้เปิดตัว AirPods หูฟังไร้สายเช่นกัน โดยมีราคาอยู่ที่ 6,900 บาท วางจำหน่ายปลายเดือนตุลาคมนี้
AirPods
ก่อนที่จะเริ่มเข้าสู่การใช้งาน ผู้ใช้จะต้องตั้งค่าการกดปุ่ม Home เสียก่อน โดยจะมีให้เลือก 3 ระดับด้วยกัน ได้แก่ การแตะ, การกดเบา ๆ และการกดหนัก ๆ ซึ่งสามารถเลือกแล้วทดสอบแรงกดได้ (ระดับ 3 แรงกดจะมากที่สุด)
iPhone 7 และ iPhone 7 Plus ทำงานบนระบบปฏิบัติการ iOS 10 เวอร์ชันใหม่ล่าสุด ซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงอินเทอร์เฟสและการใช้งานเล็กน้อย เริ่มกันตั้งแต่การปลดล็อกหน้าจอ ที่ตัดฟังก์ชัน Slide to Unlock ออก มาเป็น Press Home to Open แต่สำหรับผู้ใช้ iPhone 7 และ iPhone 7 Plus สามารถใช้ Touch ID เพื่อปลดล็อกได้เลยทันที ซึ่งการปัดไปด้านซ้าย จะเป็นเมนูกล้องถ่ายรูป ส่วนการปัดไปด้านขวา จะเป็น Widget ต่าง ๆ
ในส่วนของหน้า Homescreen จะประกอบด้วยไปด้วย แอปพลิเคชันต่าง ๆ สามารถเคลื่อนย้ายตำแหน่ง, จัดเรียงไอคอนได้ หรือสร้างเป็นโฟลเดอร์จัดเป็นกลุ่มได้ นอกจากนี้ ยังสามารถลบแอปพลิเคชันพื้นฐานที่ติดตั้งมาในเครื่องได้เช่นกัน แต่การลบในที่นี้ เป็นเพียงแค่การลบไอคอนออกไปเท่านั้น ไม่ได้ทำให้พื้นที่ในตัวเครื่องเพิ่มแต่อย่างใด และสามารถดาวน์โหลดกลับคืนได้จาก App Store
Control Center บน iOS 10 มีการปรับเปลี่ยนดีไซน์เล็กน้อย ด้วยการแยก Music ออกไปไว้อีกแท็บหนึ่ง ส่วนไฟฉาย สามารถปรับระดับความสว่างได้ (เฉพาะ iPhone 6S, iPhone 6S Plus, iPhone 7 และ iPhone 7 Plus)
Notification การแจ้งเตือนต่าง ๆ สามารถเลือกได้ว่า ต้องการให้แอปพลิเคชันใดแจ้งเตือนบ้าง และให้แจ้งเตือนในรูปแบบใด
เช่นเดียวกับ Widget สามารถเลือก Widget ที่ต้องการแสดงในส่วนนี้ และจัดลำดับก่อนหลังได้
บน iPhone 7 และ iPhone 7 Plus มาพร้อมกับฟีเจอร์ใหม่ที่เรียกว่า Raise to Wake เมื่อหยิบตัวเครื่องและพลิก หน้าจอจะติดเองโดยไม่ต้องกดปุ่ม Power หรือปุ่ม Home และหน้าจอจะดับเมื่อคว่ำหน้าลง ซึ่งฟีเจอร์นี้ทำให้ช่วยถนอมปุ่มไปในตัว เพราะไม่ต้องกดเพื่อดูการแจ้งเตือนบ่อย ๆ ซึ่งบน iPhone 6S กับ iPhone 6S Plus ก็มีฟีเจอร์นี้เช่นกัน แต่ต้องอัปเดตเป็น iOS 10 เสียก่อน
อย่างที่หลาย ๆ ท่านทราบกันอยู่แล้วว่า ทั้ง iPhone 7 และ iPhone 7 Plus ได้ปรับปรุงกล้องถ่ายรูปทั้งด้านหน้าและด้านหลัง โดยกล้องด้านหน้าบน iPhone 7 มาพร้อมกับความละเอียด 7 ล้านพิกเซล อัปเกรดจาก 5 ล้านพิกเซลบน iPhone 6S เรียกได้ว่า ละเอียดและคมชัดมากกว่าเดิม ส่วนกล้องด้านหลัง ความละเอียดอยู่ที่ 12 ล้านพิกเซล แม้จะมีความละเอียดเท่าเดิม แต่ก็อัปเกรดฟังก์ชันในส่วนอื่น ๆ ทั้งไฟแฟลชแบบ Quad-LED True Tone Flash, เลนส์กล้องมีขนาดใหญ่ขึ้น, รูรับแสงกว้างขึ้น F/1.8 ทำให้ถ่ายภาพในที่แสงน้อยได้ดีขึ้นกว่ารุ่นก่อน
อย่างไรก็ดี กล้องถ่ายรูปบน iPhone 7 ไม่ได้มาพร้อมกับฟีเจอร์ปรับแต่งใบหน้าในตัวเหมือนกับ มือถือ Android บางรุ่น ซึ่งผู้ใช้จะต้องดาวน์โหลดแอปพลิเคชันปรับแต่งภาพเอง อย่างเช่น Camera 360 เป็นต้น
ภาพถ่ายจากกล้องด้านหน้า
ภาพถ่ายจากกล้องด้านหน้า
ภาพถ่ายจากกล้องด้านหลัง
ภาพถ่ายจากกล้องด้านหลัง
ภาพถ่ายจากกล้องด้านหลัง
ภาพถ่ายจากกล้องด้านหลัง
ภาพถ่ายจากกล้องด้านหลัง
ภาพถ่ายจากกล้องด้านหลัง
ภาพถ่ายจากกล้องด้านหลัง
ภาพถ่ายจากกล้องด้านหลัง
ภาพถ่ายจากกล้องด้านหลัง
ภาพถ่ายจากกล้องด้านหลัง (ทดสอบถ่ายภาพตอนกลางคืน)
ภาพถ่ายจากกล้องด้านหลัง (ทดสอบถ่ายภาพตอนกลางคืน)
ภาพถ่ายจากกล้องด้านหลัง (ทดสอบถ่ายภาพตอนกลางคืน)
ภาพถ่ายจากกล้องด้านหลัง (ทดสอบถ่ายภาพตอนกลางคืน)
ภาพถ่ายจากกล้องด้านหลัง (ทดสอบถ่ายภาพตอนกลางคืน)
ภาพถ่ายจากกล้องด้านหลัง (ทดสอบถ่ายภาพตอนกลางคืน)
ภาพถ่ายจากกล้องด้านหลัง (ทดสอบถ่ายภาพตอนกลางคืน)
สำหรับความแตกต่างระหว่าง iPhone 7 เปรียบเทียบกับ iPhone 6S นั้น มีทั้งหมด 6 จุดใหญ่ ๆ ด้วยกัน อย่างแรกที่เห็นได้อย่างชัดเจน นั่นก็คือ ไม่มีช่องหูฟังขนาด 3.5 มิลลิเมตรแล้ว โดยเปลี่ยนไปใช้หูฟัง EarPods พอร์ต Lightning แทน ซึ่งใครที่อยากจะใช้พอร์ต 3.5 มม. ทางแอปเปิล ก็มีตัวแปลงมาให้เช่นกัน แต่ปัญหาก็คือ ไม่สามารถฟังเพลงไปพร้อม ๆ กับการชาร์จแบตเตอรี่ได้เนื่องจากใช้พอร์ตเดียวกัน ฉะนั้น ถ้าหากต้องการชาร์จแบตเตอรี่ ก็ต้องหยุดฟังเพลงชั่วคราว หรือซื้อ iPhone Lightning Dock เพิ่ม (ราคา 2,100 บาท)
ถัดมาคือ เพิ่มคุณสมบัติด้านการกันน้ำ กันฝุ่น ตามมาตรฐาน IP67 สามารถอยู่ในน้ำลึก 1 เมตรได้นาน 30 นาที ซึ่งจากการทดสอบพบว่า ยังคงสามารถใช้งานได้ตามปกติ ไม่มีส่วนใดเสียหาย แต่การกันน้ำนี้ มีเงื่อนไขบางประการก็คือ จะต้องเป็นน้ำสะอาดเท่านั้น หลาย ๆ ท่านเห็นโปรยคำโฆษณาว่า กันน้ำได้ ก็นำไปลงทะเลบ้าง หรือนำไปทดสอบกับน้ำอัดลมบ้าง ส่วนนี้อาจจะส่งผลให้คุณสมบัติด้านการกันน้ำลดลงได้
ความแตกต่างข้อที่ 3 ก็คือ กล้องถ่ายรูป ด้วยการอัปเกรดทั้งกล้องด้านหน้าและด้านหลัง โดยกล้องด้านหน้า มาพร้อมกับความละเอียด 7 ล้านพิกเซล ถ่ายภาพเซลฟี่ได้อย่างคมชัด ส่วนกล้องด้านหลัง ความละเอียดอยู่ที่ 12 ล้านพิกเซล, เลนส์ 6 ชิ้น, เพิ่มระบบป้องกันภาพสั่นแบบ OIS (iPhone 6S ไม่มี), รูรับแสงกว้างสูงสุด F/1.8 และไฟแฟลชแบบ Quad-LED True Tone Flash แต่สำหรับกล้องด้านหลังบน iPhone 7 Plus นั้น ล้ำหน้ากว่า ด้วยกล้องคู่แบบ Dual-Camera ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล (ประกอบด้วยเลนส์ Wide และเลนส์ Telephoto) และรองรับการซูมแบบ Optical สูงสุด 2x นอกจากนี้ ยังสามารถถ่ายภาพแบบ หน้าชัดหลังเบลอ ได้ แต่ส่วนนี้ต้องอาศัยซอฟท์แวร์ช่วย ซึ่งแอปเปิลจะปล่อยอัปเดตช่วงปลายปีนี้
ในส่วนของปุ่ม Home บน iPhone 7 และ iPhone 7 Plus นั้น มาพร้อมกับระบบ Taptic Engine ไม่ต้องกดลงไปเหมือนปุ่ม Home แบบเดิม ๆ สามารถเลือกระดับความแรงได้ 3 ระดับ อีกทั้งปุ่ม Home แบบใหม่นี้ จะช่วยลดปัญหา ปุ่ม Home เสียเร็วได้ ประกอบกับฟีเจอร์ Raise to Wake ทำให้ไม่ต้องกดปุ่ม Home ตลอดเวลาอีกด้วย
ด้านการประมวลผลนั้น iPhone 7 และ iPhone 7 Plus มาพร้อมกับชิปเซ็ต 64-bit Apple A10 Fusion แบบ Quad-Core Processor และ M10 Motion Coprocessor ซึ่งประมวลผลได้เร็วกว่าชิปเซ็ต Apple A9 บน iPhone 6S และ iPhone 6S Plus ถึง 40%, เร็วกว่าชิปเซ็ต Apple A8 ถึง 2 เท่า ส่วนชิปประมวลผลกราฟิก เป็นแบบ Six-Core Processor เร็วกว่าบน Apple A9 ถึง 50% เลยทีเดียว
ส่วนด้านสีสันของตัวเครื่อง ในปีนี้ มีการเพิ่มสีใหม่เข้ามา นั่นก็คือ สีดำ Black และสีดำเงา Jet Black ซึ่งทีมงานเอง ก็ได้ไปสัมผัสเครื่องจริงของทั้ง 2 สีมาแล้ว ต้องบอกว่า สวยกันคนละแบบเลยก็ว่าได้ แต่สีดำเงา Jet Black มีข้อเสียตรงที่ นอกจากจะเป็นรอยง่ายแล้ว ยังเป็นรอยนิ้วมือง่ายอีกด้วย (ตัวเครื่องในรูป มีการติดฟิล์มกันรอยด้านหลังแล้ว) ประกอบกับหลาย ๆ การทดสอบที่ผ่านมา จะเห็นว่า สีดำเงา Jet Black เป็นรอยง่ายกว่าสีอื่น ฉะนั้น ทางแก้ทางเดียวก็คือ จะต้องหาเคสใส่อย่างเดียวเท่านั้น (ซึ่งแอปเปิลเองก็ได้แจ้งไว้ในหน้าเว็บไซต์ด้วยเช่นกัน) ทำให้ตอนนี้ iPhone 7 และ iPhone 7 Plus มีให้เลือกทั้งหมด 5 สี ได้แก่ สีดำ Black, สีดำเงา Jet Black, สีชมพู Rose Gold, สีทอง Gold และสีเงิน Silver ตัดสีเทา Space Gray ออก
แม้ว่าในตอนนี้ จะมีกำหนดการวางจำหน่าย iPhone 7 และ iPhone 7 Plus ในไทยออกมาแล้ว รวมไปถึงโอเปอร์เรเตอร์ ได้เผยวันพรีออเดอร์แล้วเช่นกัน แต่ยังไม่มีรายละเอียดเกี่ยวกับ ราคา iPhone 7 และ iPhone 7 Plus เผยออกมาในตอนนี้ แต่คาดกันว่า ราคาเปิดตัว iPhone 7 และ iPhone 7 Plus ในไทย น่าจะไม่แตกต่างไปจาก ราคาเปิดตัว iPhone 6S กับ iPhone 6S Plus เท่าใดนัก โดยคาดว่า น่าจะเริ่มต้นที่ 26,500 บาท สำหรับ iPhone 7 และเริ่มต้นที่ 30,500 บาท สำหรับ iPhone 7 Plus ส่วนราคาวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการจะเป็นเท่าไหร่นั้น ทีมงานจะแจ้งให้ทราบกันต่อไป
จุดเด่นของ iPhone 7
จุดที่ต้องพิจารณาเพิ่มเติม
---------------------------------------
บทความรีวิวโดย : techmoblog.com
Update : 10/10/2016
หน้าหลัก (Main) |
(สินค้า IT) ออกใหม่ |
|
FOLLOW US |