จบลงไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว สำหรับอีเวนท์ Keynote ครั้งใหญ่จาก Apple ซึ่งในครั้งนี้เป็นการเปิดตัว iPhone 8 และ iPhone 8 Plus สองสมาร์ทโฟนตัวท็อปใหม่ล่าสุด พร้อมกับ iPhone X สมาร์ทโฟนเรือธงรุ่นพิเศษฉลองวาระครบรอบ 10 ปีนับตั้งแต่เปิดตัว iPhone เป็นครั้งแรกเมื่อปี 2007 แต่ภายในงานจะมีอะไรบ้างนั้น เราลองไปติดตามบทสรุปแบบม้วนเดียวจบไปพร้อมๆ กันเลยดีกว่าครับ
สำหรับงานในครั้งนี้จัดขึ้นที่หอประชุมแห่งใหม่ Steve Jobs Theater ที่ตั้งอยู่ที่ คูเปอร์ติโน สหรัฐอเมริกา ซึ่งมีสื่อมวลชนทั่วทุกมุมโลกตบเท้าเข้าร่วมงานเปิดตัวกันอย่างคับคั่ง
สำหรับ Steve Jobs Theater เป็นหอประชุมขนาดใหญ่ 1,000 ที่นั่ง สร้างขึ้นเพื่อรำลึกถึง Steve Jobs บุคคลสำคัญของ Apple ที่ได้ฝากผลงานเอาไว้อย่างมากมาย เราลองมาดูกันหน่อยดีกว่าว่า ภายในงาน Keynote วันนี้จะมีอะไรน่าสนใจบ้าง
เริ่มงานด้วยการกล่าวถึง Apple Park สำนักงานใหญ่แห่งใหม่ของ Apple ซึ่งความน่าสนใจของสถานที่แห่งนี้นอกเหนือจากการตกแต่งภายนอกที่มีความสวยงามแล้ว Apple Park ยังเลือกใช้งานพลังงานสะอาดถึง 100% เลยทีเดียว อีกทั้ง ยังเป็นหนึ่งในสถานที่ที่มีการติดตั้งพลังงานโซล่าใหญ่ที่สุดในโลกด้วย
นอกจากนี้ Apple ยังได้ถือโอกาสเปิดตัว Flagship Store แห่งใหม่ ในชิคาโก ซึ่งจะเปิดให้ทำการตั้งแต่วันที่ 20 ตุลาคมเป็นต้นไป
ผลิตภัณฑ์ชิ้นแรกที่เปิดตัวในค่ำคืนนี้ นั่นก็คือ Apple Watch Series 3 นาฬิกาอัจฉริยะรุ่นใหม่ล่าสุด ซึ่งยังคงมีดีไซน์โดยรวมคล้ายกับรุ่นก่อน แต่ได้เพิ่มเม็ดมะยมสำหรับควบคุมการทำงานมาให้ด้วย นอกจากนี้ ยังรองรับการเชื่อมต่อเครือข่าย LTE ได้ภายในตัวแล้ว ทำให้ไม่จำเป็นต้องเชื่อมต่อกับ iPhone เหมือนกับรุ่นก่อนๆ อีกต่อไป นอกจากนี้ ยังได้ยกเครื่องการทำงานใหม่ ด้วยขุมพลัง W2 แบบ Dual-Core Processor ที่ทำงานได้เร็วขึ้นกว่ารุ่นก่อนถึง 70% รวมทั้ง ยังเรียกใช้งาน Siri ได้รวดเร็วกว่าเดิม นอกจากนี้ Siri บน Apple Watch Series 3 ก็สามารถพูดได้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยจะเริ่มวางจำหน่ายในวันที่ 22 กันยายนนี้เป็นต้นไป ในราคา 329 ดอลลาร์สหรัฐ หรืิอประมาณ 10,800 บาท สำหรับรุ่นปกติ ส่วนรุ่นที่รองรับ LTE เปิดราคาเอาไว้ที่ 399 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 13,200 บาท
ถัดมาเป็นผลิตภัณฑ์ชิ้นใหม่อย่าง Apple TV ซึ่งคราวนี้รองรับการสตรีมภาพที่ความละเอียดคมชัดระดับ 4K พร้อมรองรับมาตรฐาน HDR10 และ Dolby Vision ภายในขับเคลื่อนด้วยขุมพลัง Apple A10X Fusion ซึ่งเป็นชิปเซ็ตตัวเดียวกับที่ใช้บน iPad Pro รุ่นล่าสุดนั่นเอง นอกจากนี้ ด้วยการที่ Apple TV 4K มาพร้อมกับขุมพลังสุดแรงอย่าง Apple A10X Fusion ทำให้สามารถเล่นเกมได้ภายในตัวอีกด้วย โดยการควบคุมตัวละครภายในเกม ก็จะทำผ่านรีโมทของ Apple TV นั่นเอง ซึ่งแสดงให้เห็นว่า Apple TV เริ่มตอบโจทย์การใช้งานภายในครอบครัวมากยิ่งขึ้น โดย Apple TV 4K เปิดราคาวางจำหน่ายเริ่มต้นเอาไว้ที่ 179 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 6,000 บาท และจะเริ่มขายตั้งแต่วันที่ 15 กันยายนเป็นต้นไป
และแล้วก็มาถึงไฮไลท์ที่ทุกคนรอคอย ด้วยการเปิดตัว iPhone รุ่นใหม่ในปีนี้ภายใต้ชื่อ iPhone 8 จอ 4.7 นิ้ว และ iPhone 8 Plus จอ 5.5 นิ้ว โดย iPhone โฉมใหม่ทั้งสองรุ่นยังคงมีดีไซน์การออกแบบคล้ายกับรุ่นก่อนหน้า แต่อัปกรดสเปกแรงขึ้นด้วยชิปเซ็ตประมวลผลตัวใหม่ Apple A11 ที่สามารถประมวลผลได้เร็วกว่า Apple A10 รวมทั้งยังจัดการด้าน Multitasking ได้ดีกว่าชิปรุ่นเดิมถึง 70%
โดยตัวบอดี้ได้ปรับเปลี่ยนมาเป็นกระจกแทนโลหะ พร้อมคุณสมบัติกันน้ำกันฝุ่นเช่นเดิม นอกจากนี้ ยังมารองรับเทคโนโลยีการชาร์จแบบไร้สาย Wireless Charging เหมือนสมาร์ทโฟนคู่แข่งแบรนด์อื่นๆ อีกด้วย
ทางด้านการถ่ายภาพ iPhone 8 ยังคงมาพร้อมกับความละเอียด 12 ล้านพิกเซลเช่นเดิม แต่เลือกใช้เซ็นเซอร์รับภาพตัวใหม่ ส่วนในรุ่น iPhone 8 Plus มาพร้อมกับกล้องคู่ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล พร้อมเปลี่ยนเซ็นเซอร์รับภาพตัวใหม่ โดยแบ่งออกเป็น กล้องเลนส์ Wide-Angle รูรับแสง f/1.8 และกล้องเลนส์ Telephoto f/2.8
ซึ่งเซ็นเซอร์กล้องตัวใหม่ของ iPhone 8 และ iPhone 8 Plus นั้น สามารถเก็บแสงได้ดีกว่ารุ่นเดิมถึง 83% เลยทีเดียว พร้อมรองรับการถ่ายวิดีโอแบบ 4K ที่ระดับ 60fps และ Slow Motion ความละเอียดระดับ Full HD ที่ระดับ 240fps นอกจากนี้ กล้องของ iPhone 8 ยังรองรับเทคโนโลยีผสานโลกเสมือนจริงเข้ากับโลกแห่งความเป็นจริง หรือ AR ได้อีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นการเล่นเกม รวมถึงการนำไปใช้บนแอปพลิเคชันต่างๆ
โดย iPhone 8 เปิดราคาเริ่มต้นที่ 699 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 23,100 บาท สำหรับรุ่นความจุ 64 GB ส่วน iPhone 8 Plus เปิดราคาเริ่มต้นเอาไว้ที่ 799 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 26,400 บาท สำหรับรุ่นความจุ 64 GB และเริ่มเปิดให้พรีออเดอร์วันที่ 15 กันยายนนี้ ก่อนจะเปิดวางขายอย่างเป็นทางการวันที่ 22 กันยายน
ส่วน iOS 11 ระบบปฏิบัติการเวอร์ชันใหม่ล่าสุด จะปล่อยให้ดาวน์โหลดตัวเต็มภายในวันที่ 19 กันยายนที่กำลังจะถึงนี้
ยังไม่หมดเพียงแค่นี้ เพราะ Apple มีเซอร์ไพร์สพิเศษด้วยการเปิดตัว iPhone X (iPhone Ten) สมาร์ทโฟนรุ่นพิเศษฉลองครบรอบ 10 ปีของ Apple ที่มาพร้อมกับหน้าจอแสดงผลแทบไร้ขอบ ไร้ปุ่มโฮม Touch ID บนบอดี้กระจกที่มีความเงางาม พร้อมขึ้นโครงด้วยเฟรมแบบสเตนเลส สตีล โดยบอดี้ของ iPhone X มีคุณสมบัติกันน้ำกันฝุ่นตามมาตรฐาน IP67 สามารถกันน้ำได้ลึกสุด 1 เมตร เป็นเวลานานสุด 30 นาที
ด้านการแสดงผล มาพร้อมกับหน้าจอแบบ Super Retina Display ขนาด 5.8 นิ้ว ความละเอียด 2436x1125 พิกเซล ความหนาแน่นพิกเซล 458ppi ซึ่งนับว่าเป็นความหนาแน่นพิกเซลที่มากที่สุดบน iPhone นับตั้งแต่เปิดตัวมา
และด้วยการที่ปุ่มโฮม Touch ID ที่อยู่ด้านล่างถูกตัดออกไปแล้ว iPhone X จึงได้ใช้เทคโนโลยียืนยันตัวตนแบบใหม่ในชื่อ Face ID ซึ่งเป็นการสแกนใบหน้าของผู้ใช้งานแทน ซึ่ง Face ID ของ Apple ถือว่ามีความน่าสนใจเลยทีเดียว เพราะมันสามารถเรียนรู้ใบหน้าของผู้ใช้งานได้ ซึ่งไม่ว่าเราจะเปลี่ยนทรงผม หรือใส่แว่น Face ID ก็ยังคงสามารถทำงานได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ ยังสามารถสแกนใบหน้าในที่มืดได้อีกด้วย
นอกจากนี้ iPhone X ยังรองรับ Animoji ซึ่งเป็นอีโอจิแบบเคลื่อนไหว ที่สามารถเลียนแบบใบหน้าของผู้ใช้งานได้
ด้านการถ่ายภาพ มาพร้อมกับกล้องคู่ ความละเอียด 12 + 12 ล้านพิกเซล พร้อมระบบป้องกันภาพสั่นไหวแบบคู่ Dual OIS และโหมด Portrait ที่อัปเกรดขึ้นไปอีกขั้น
สำหรับ iPhone X มีให้เลือก 2 เฉดสี ได้แก่ สีเทา Space Gray และสีเงิน Silver โดยเปิดราคาวางจำหน่ายเริ่มต้นที่ 999 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 35,000 บาท สำหรับรุ่นความจุ 64GB ส่วนรุ่นความจุ 256GB เคาะราคาที่ 1,149 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 38,000 บาท ส่วนกำหนดการวางจำหน่ายในไทย ยังไม่ประกาศให้ทราบในขณะนี้
ปิดท้ายด้วย AirPower แท่นชาร์จไร้สายขนาดสำหรับ iPhone 8, iPhone 8 Plus และ iPhone X ที่รองรับการชาร์จอุปกรณ์ไร้สายได้พร้อมชั้นถึง 3 ชิ้น ซึ่งจะเริ่มวางจำหน่ายตั้งแต่ปี 2018 เป็นต้นไป
---------------------------------------
เรียบเรียงข้อมูลโดย : techmoblog.com
Update : 13/09/2017
หน้าหลัก (Main) |
(สินค้า IT) ออกใหม่ |
|
FOLLOW US |