สำหรับ iPhone SE นั้น ถือว่า เป็นไอโฟนลูกผสม ที่ถอดแบบดีไซน์มาจาก iPhone 5S และปัดฝุ่นคุณสมบัติด้านในเทียบเท่า iPhone 6S ทั้งชิปเซ็ต และกล้องถ่ายรูปด้านหลัง รวมไปถึงฟีเจอร์การใช้งานต่าง ๆ ทำให้ iPhone SE กลายเป็นสมาร์ทโฟนหน้าจอเล็กรุ่นคุณภาพ ด้วยหน้าจอขนาดเล็ก จับได้กระชับมือ พร้อมประสิทธิภาพด้านการทำงานเทียบเท่ารุ่นเรือธง
ถ้าหากมองกันที่รูปลักษณ์ภายนอก ระหว่าง iPhone SE กับ iPhone 5S คงต้องบอกว่า แทบจะแยกกันไม่ออก เนื่องจากทั้งขนาดและน้ำหนักตัวเครื่องใกล้เคียงกันมาก แต่สิ่งที่ทำให้สามารถแยกความแตกต่างระหว่าง 2 รุ่นนี้ได้ก็คือ ตัวอักษร iPhone SE ที่สกรีนที่ด้านหลังตัวเครื่อง, ขอบตัวเครื่องแบบผิวด้าน และตัวเครื่องสี Rose Gold ซึ่งน่าจะเป็นสีที่คนส่วนใหญ่เลือก เนื่องจากเป็นสิ่งที่ทำให้เห็นความแตกต่างจาก iPhone 5S รุ่นเดิมได้มากที่สุดนั่นเอง
สำหรับคุณสมบัติของ iPhone SE เบื้องต้นนั้น ยังคงเหมือนกับ iPhone 5S นั่นก็คือ หน้าจอแสดงผลกว้าง 4 นิ้ว แบบ แบบ Retina Display IPS LCD ความละเอียด 1136 x 640 พิกเซล, กล้องด้านหน้าแบบ FaceTime ความละเอียด 1.2 ล้านพิกเซล และ Touch ID เซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือที่ปุ่ม Home แต่ในส่วนของชิปเซ็ตและการประมวลผลนั้น เทียบเท่า iPhone 6S เลยทีเดียว ทั้ง ชิปเซ็ต Apple A9 แบบ Dual-Core Processor, หน่วยความจำ RAM ขนาด 2 GB, กล้องด้านหลังแบบ iSight ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล และไฟแฟลชแบบ True-Tone Flash
โดย iPhone SE จะมีความน่าใช้มากน้อยแค่ไหน มาพิสูจน์พร้อม ๆ กันกับ รีวิว iPhone SE โดยทีมงาน techmoblog ครับ
>> สเปค iPhone SE อย่างละเอียด คลิกที่นี่
สำหรับหน้าจอแสดงผลของ iPhone SE นั้น ยังคงเหมือนกับรุ่นพี่อย่าง iPhone 5S นั่นก็คือ หน้าจอแสดงผลกว้าง 4.0 นิ้ว แบบ Retina Display IPS LCD (LED-Backlit) ความละเอียด 1136 x 640 พิกเซล ขนาดตัวเครื่องเท่ากันที่ 123.8 x 58.6 x 7.6 มิลลิเมตร ส่วนน้ำหนักนั้น iPhone SE หนักกว่าเพียง 1 กรัมเท่านั้น อยู่ที่ 113 กรัม ซึ่งถ้าหากมองกันที่ด้านหน้าตัวเครื่อง แทบจะแยกความแตกต่างระหว่าง iPhone SE กับ iPhone 5S ไม่ออกเลยทีเดียว
ด้านบนของหน้าจอแสดงผล ประกอบด้วย เซ็นเซอร์ Proximity, เซ็นเซอร์ Ambient Light, กล้องด้านหน้าแบบ FaceTime ความละเอียด 1.2 ล้านพิกเซล และลำโพงสำหรับสนทนา
ด้านล่างของหน้าจอแสดงผล เป็นปุ่ม Home ซึ่งมีเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือ หรือ Touch ID ฝังอยู่ภายใน โดยเป็น Touch ID รุ่นที่ 1 แตกต่างจาก iPhone 6S ที่ได้รับการปรับปรุงใหม่ เป็น Touch ID รุ่นที่ 2 แต่ในด้านการใช้งานโดยรวม ก็ถือว่า สแกนได้รวดเร็วและแม่นยำเช่นกัน
ด้านขวาของตัวเครื่อง ประกอบด้วย ถาดใส่ซิมการ์ดแบบ nanoSIM ส่วนด้านซ้ายของตัวเครื่อง เป็นปุ่มปิดเสียง และปุ่มปรับระดับเสียง
ด้านบนตัวเครื่อง เป็นปุ่ม Power สำหรับเปิด-ปิดตัวเครื่อง หรือล็อกหน้าจอแสดงผล ส่วนด้านล่างของตัวเครื่อง ประกอบด้วย ช่องหูฟังขนาด 3.5 มิลลิเมตร, ไมโครโฟนตัวหลัก, พอร์ต Lightning Connector และลำโพงเสียง
ด้านหลังตัวเครื่อง ประกอบด้วย กล้องด้านหลังแบบ iSight ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล, ไมโครโฟนตัวที่สองสำหรับตัดเสียงรบกวน และไฟแฟลชแบบ True Tone Flash
นอกจากนี้ ด้านหลังตัวเครื่อง ยังระบุคำว่า iPhone SE อย่างชัดเจน ซึ่งถือว่า เป็นสิ่งที่ทำให้แยกความแตกต่างระหว่าง iPhone 5S กับ iPhone SE ได้
สำหรับอุปกรณ์ภายในกล่อง ประกอบด้วย หูฟังแบบ EarPods, Adapter สำหรับชาร์จไฟ, สาย Lightning to USB, เข็มสำหรับจิ้มถาดใส่ซิมการ์ด และคู่มือการใช้งาน
อุปกรณ์เสริมที่ผู้ใช้ iPhone ส่วนใหญ่มองหานั่นก็คือ เคส นั่นเอง ซึ่ง แอปเปิล ก็มีเคสสำหรับ iPhone SE เช่นกัน กับ iPhone SE Leather Case หรือเคสหนังสำหรับ iPhone SE
โดยด้านในตัวเคส จะเป็นวัสดุคล้ายกำมะหยี่ ซึ่งมีความนุ่ม และไม่ทำให้ตัวเครื่องเป็นรอยเมื่อสวมใส่ ส่วนตัวเคส เป็นหนังฉีดย้อมสีที่ผ่านกรรมวิธีฟอกสุดพิเศษจากทาง แอปเปิล
เมื่อนำมาสวมใส่กับตัวเครื่อง ทำให้ iPhone SE ดูหนาขึ้นเล็กน้อย แต่ก็ยังมีขนาดที่กะทัดรัด และจับได้กระชับมือเหมือนเช่นเคย โดยราคาของ iPhone SE Leather Case เคสหนังสำหรับ iPhone SE อยู่ที่ 1,700 บาท ซึ่งถือว่า มีราคาที่สูงพอสมควร
iPhone SE รุ่นที่ทำการทดสอบนั้น เป็นรุ่นที่มาพร้อมกับหน่วยความจำภายในตัวเครื่องขนาด 64 GB และทำงานบนระบบปฏิบัติการ iOS 9.3.2 เวอร์ชันล่าสุด
อินเทอร์เฟสแบบ iOS นั้น ไม่สามารถปรับเปลี่ยนรูปแบบ หรือเพิ่ม Widget ได้เหมือนกับ Android
การปัดจากด้านซ้ายไปขวาสุด จะเป็นฟังก์ชันการค้นหา
การเลื่อนจากขอบหน้าบนหน้าจอลงมา จะเป็น Notification แจ้งเตือนข้อมูลต่าง ๆ รวมไปถึงสามารถอัปเดตข้อมูลล่าสุดได้ อย่างเช่น สภาพอากาศ หรือราคาหุ้น
ส่วนการปัดจากขอบจอด้านล่าง จะเป็น Control Center ตั้งค่าการใช้งานต่าง ๆ เช่น เปิด-ปิด Airplane Mode, เปิด-ปิด Wi-Fi, เปิด-ปิด Bluetooth, เปิด-ปิดโหมด Do Not Disturb, ปรับความสว่างของหน้าจอ, ควบคุมการเล่นเพลง นอกจากนี้ ยังมีเมนูลัดสำหรับเข้าใช้งานในส่วนอื่น ๆ เช่น ไฟฉาย, นาฬิกา, โหมด Night Shift, เครื่องคิดเลข และกล้องถ่ายรูป
iPhone SE รองรับการใช้งานร่วมกับ Apple Watch อย่างเต็มรูปแบบ
อีกทั้งยังมีแอปพลิเคชันสำหรับ Apple Watch ให้เลือกดาวน์โหลดมาใช้งานอย่างมากมาย
สำหรับการเพิ่มลายนิ้วมือ ให้เข้าไปสแกนลายนิ้วมือได้ที่ Settings > Touch ID & Passcode เลือก Add a Fingerprint จากนั้นทำตามขั้นตอนที่ปรากฏ
Low Power Mode โหมดประหยัดพลังงาน ด้วยการปิดใช้งานแอปพลิเคชันที่ไม่จำเป็น เพื่อยืดอายุแบตเตอรี่ให้ใช้ได้นานขึ้นกว่าเดิม
App Store รองรับสกุลเงินเป็น ไทยบาท แล้ว
ในแอปพลิเคชัน Photos สามารถปรับแต่งและแก้ไขรูปถ่ายได้ ด้วยการคลิกที่ปุ่ม Edit จากรูปที่ต้องการแก้ไข ซึ่งจะมีเมนูสำหรับปรับแต่ง 3 ส่วนด้วยกัน ส่วนแรกก็คือ การ crop หรือหมุนภาพตามองศาที่ต้องการ
ถัดมาคือ การใส่เอฟเฟกต์ให้กับภาพถ่าย
และสุดท้าย เป็นการปรับแสง, ปรับสี และโทนขาวดำ
ทดสอบ Benchmark ด้วยโปรแกรม AnTuTu v6.1 ซึ่ง iPhone SE รุ่นนี้ มาพร้อมกับชิปเซ็ต Apple A9 แบบ Dual-Core Processor, หน่วยประมวลผลภาพกราฟิก PowerVR GT7600 และหน่วยความจำ RAM ขนาด 2 GB โดยสามารถทำได้ 127,873 คะแนน ถือว่า แรงไม่เบาเลยทีเดียว
สำหรับโหมดการถ่ายภาพบน iPhone SE มีให้เลือกใช้ 6 แบบด้วยกัน ได้แก่ Time-Lapse, Slo-Mo, Video, Photo, Square และ Pano ซึ่ง iPhone SE รุ่นนี้ รองรับฟีเจอร์ Live Photos แบบเดียวกับ iPhone 6S อีกด้วย โดยกล้องด้านหน้า ความละเอียดอยู่ที่ 1.2 ล้านพิกเซล พร้อมไฟแฟลชแบบ Retina Flash และกล้องด้านหลัง ความละเอียดอยู่ที่ 12 ล้านพิกเซล พร้อมไฟแฟลชแบบ True Tone Flash
อย่างไรก็ดี iPhone SE ไม่มีโหมด Beauty เหมือนกับ มือถือ Android แต่ผู้ใช้สามารถดาวน์โหลดแอปพลิเคชันปรับแต่งภาพมาใช้งานเพิ่มเติมได้
ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องด้านหลัง
ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องด้านหลัง
ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องด้านหลัง
ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องด้านหลัง
สำหรับ iPhone SE นั้น ถือว่า เหมาะสมอย่างมากกับผู้ที่อยากจะใช้งาน iPhone แต่มีงบประมาณที่ไม่มากนัก รวมไปถึงผู้ที่ต้องการ iPhone ขนาดกะทัดรัด พกพาได้อย่างสะดวกเหมือนกับ iPhone 5S ที่สามารถใช้งานด้วยมือข้างเดียว แต่ iPhone SE นั้น ไม่เหมาะกับผู้ที่ชอบใช้งานสมาร์ทโฟนหน้าจอใหญ่ เนื่องจากปัจจุบัน สมาร์ทโฟนหน้าจอใหญ่ ถือว่าเป็นรุ่นที่ได้รับความนิยม การเปลี่ยนจาก มือถือจอใหญ่ มาใช้ มือถือจอเล็กอย่าง iPhone SE ซึ่งมีขนาดหน้าจออยู่ที่ 4 นิ้ว จะเกิดความอึดอัดเล็กน้อย เนื่องจากหน้าจอมีขนาดเล็ก ทำให้มีพื้นที่ในการแสดงผลจำกัดนั่นเอง
โดยทีมงาน techmoblog เป็นบุคคลหนึ่งที่เปลี่ยนจากการใช้ iPhone หน้าจอขนาด 4 นิ้ว มาเป็นรุ่นหน้าจอใหญ่ 5.5 นิ้ว อย่าง iPhone 6 Plus ซึ่งความเห็นส่วนตัวนั้น ต้องขอบอกว่า iPhone หน้าจอใหญ่ ใช้งานได้สะดวกกว่ามาก โดยเฉพาะในเรื่องการพิมพ์ทำได้ถนัดกว่า เนื่องจากมีพื้นที่มากกว่า และเมื่อกลับมาจับ iPhone จอเล็กอย่าง iPhone SE อีกครั้ง แม้ว่าตัวเครื่องจะมีขนาดเล็ก จับได้ถนัดมือกว่า แต่ในด้านการใช้งานแล้ว ไม่ค่อยสะดวกนัก เนื่องจากเคยชินกับการใช้งาน iPhone จอใหญ่ไปเสียแล้ว แต่ยอมรับว่า iPhone SE พกพาได้สะดวกกว่าจริง
แน่นอนว่า ผู้ที่มีงบประมาณที่จำกัด และมองหา iPhone สเปคแรง ราคาไม่แพง iPhone SE รุ่นนี้ คงจะตอบโจทย์มากที่สุด แต่สำหรับผู้ที่ต้องการ iPhone รุ่นเรือธงจริง ๆ โดยไม่จำกัดในเรื่องขนาด และราคา iPhone 6S กับ iPhone 6S Plus เป็นทางเลือกที่ดีที่สุดครับ
สำหรับราคา iPhone SE นั้น เริ่มต้นที่ 16,800 บาท สำหรับขนาด 16 GB และ 20,800 บาท สำหรับขนาด 64 GB มีให้เลือกทั้งหมด 4 สีด้วยกัน ได้แก่ Silver, Gold, Space Gray และ Rose Gold วางจำหน่ายแล้ววันนี้ ทั้งทาง Apple Online Store หรือตัวแทนจำหน่ายอย่าง iStudio และโปรโมชั่นสุดคุ้มจากผู้ให้บริการเครือข่าย 3 รายใหญ่ในไทย ทั้ง dtac, AIS และ TrueMove H
จุดเด่นของ iPhone SE
จุดที่ต้องพิจารณาเพิ่มเติม
---------------------------------------
บทความรีวิวโดย : techmoblog.com
Update : 21/06/2016
หน้าหลัก (Main) |
(สินค้า IT) ออกใหม่ |
|
FOLLOW US |