จากการเปิดตัวของ ไอโฟนรุ่นแรก เมื่อปี 2007 ปัจจุบันถือว่า iPhone เปิดตัวมาครบ 10 ปีแล้ว โดยเมื่อเดือนกันยายน ปี 2017 ที่ผ่านมา Apple ได้เปิดตัว iPhone ทั้งหมด 3 รุ่นด้วยกัน ได้แก่ iPhone 8, iPhone 8 Plus และ iPhone X ซึ่งเป็นรุ่นพิเศษเฉลิมฉลองครบรอบ 10 ปีไอโฟน อีกทั้งยังเป็นรุ่นที่ราคาแพงที่สุด และได้รับความสนใจจากผู้ใช้ไม่น้อยเลยทีเดียว
สำหรับ iPhone X นั้น ถือว่าเป็นรุ่นที่พลิกโฉมดีไซน์แบบครั้งใหญ่เลยก็ว่าได้ ด้วยรูปลักษณ์ภายนอกที่ได้รับการออกแบบใหม่ทั้งหมด โดยเป็นดีไซน์แบบ Metal-Glass ที่ครอบทับด้วยกระจกที่ช่วยทำให้ตัวเครื่องดูพรีเมียมมากขึ้น และกรอบตัวเครื่องแบบ Stainless Steel พร้อมคุณสมบัติในการป้องกันน้ำและป้องกันฝุ่นตามมาตรฐาน IP67, หน้าจอแสดงผลแบบชิดขอบ ขนาด 5.8 นิ้ว แบบ OLED Super Retina HD ความละเอียด 2436 x 1125 พิกเซล (อัตราส่วน 18:9) ซึ่งถือว่าเป็นไอโฟนรุ่นแรกที่ใช้หน้าจอแสดงผลแบบ OLED, ชิปเซ็ต Apple A11 Bionic แบบ Hexa-Core Processor ความเร็ว 2.39 GHz พร้อมหน่วยประมวลผลร่วม M11 Motion Coprocessor และเทคโนโลยี Neural Engine, หน่วยความจำ RAM ขนาด 3 GB, เทคโนโลยี Face ID มาตรฐานด้านความปลอดภัยแบบใหม่กับระบบจดจำใบหน้า อีกทั้งยังรองรับระบบชาร์จเร็ว และการชาร์จแบบไร้สาย
ด้านกล้องถ่ายรูป ถือว่าเป็นจุดขายหลักของ iPhone X เลยก็ว่าได้ โดยกล้องด้านหน้า เป็นกล้อง TrueDepth ความละเอียด 7 ล้านพิกเซล, ขนาดรูรับแสงกว้างสูงสุด F/2.2, ไฟแฟลชแบบ Retina Flash และรองรับโหมด Portrait ถ่ายภาพแบบหน้าชัดหลังเบลอ ส่วนกล้องด้านหลัง เป็นกล้องคู่ (Dual-Camera) ดีไซน์แนวตั้ง ประกอบด้วย เลนส์ Wide และเลนส์ Telephoto ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล, ขนาดรูรับแสงกว้างสูงสุด F/1.8 และ F/2.4, ระบบป้องกันภาพสั่นไหวแบบคู่ (Dual OIS) และไฟแฟลชแบบ Quad-LED
นอกจากนี้ iPhone X ยังรองรับเทคโนโลยี AR (Augmented Reality) อย่างเต็มรูปแบบ ที่ช่วยเพิ่มลูกเล่นด้านการใช้งานใหม่ ๆ ได้มากขึ้น อีกทั้งปัจจุบันแอปพลิเคชันด้าน AR ก็มีให้เลือกดาวน์โหลดอย่างมากมายบน App Store
มาดูกันดีกว่าว่า iPhone X จะมีความน่าสนใจมากน้อยแค่ไหน, แตกต่างจาก iPhone รุ่นอื่น ๆ อย่างไร และคุ้มค่าที่จะเปลี่ยนมาใช้งานหรือไม่ มาพิสูจน์ไปพร้อม ๆ กันกับ รีวิว iPhone X โดยทีมงาน techmoblog
>> สเปก iPhone X อย่างละเอียด คลิกที่นี่
สำหรับ iPhone X นั้น ถือว่าเป็นไอโฟนรุ่นแรกที่ Apple เลือกใช้หน้าจอแบบ OLED รวมถึงดีไซน์แบบจอชิดขอบ และกรอบตัวเครื่องแบบ Stainless Steel โดยมาพร้อมกับหน้าจอขนาด 5.8 นิ้ว แบบ Super Retina HD ความละเอียด 2436 x 1125 พิกเซล และเทคโนโลยี True Tone Display แบบเดียวกับ iPad Pro ที่ช่วยปรับสภาพสีและแสงบนหน้าจอให้สอดคล้องกับสภาพแวดล้อมที่ใช้งาน ทำให้ได้ภาพที่ดูเป็นธรรมชาตินั่นเอง
ถึงแม้ว่า ดีไซน์ของ iPhone X จะเป็นแบบจอชิดขอบ แต่ด้านบนของหน้าจอแสดงผลนั้น จะมีพื้นที่ว่างที่ส่วนใหญ่จะเรียกกันว่า รอยบาก โดยพื้นที่ส่วนนี้จะประกอบไปด้วยเซ็นเซอร์ต่าง ๆ และกล้องด้านหน้า ซึ่งกล้องด้านหน้านั้น มาพร้อมกับความละเอียด 7 ล้านพิกเซล และเทคโนโลยีที่เรียกว่า TrueDepth, ตัวฉายจุดแสง, กล้องอินฟราเรด และอิลลูมิเนเตอร์มุมกว้าง สำหรับสร้างโครงสร้างของใบหน้า และจดจำใบหน้าได้อย่างแม่นยำ ซึ่ง iPhone X เป็นรุ่นแรกที่รองรับระบบการสแกนใบหน้าหรือ Face ID อีกด้วย
ส่วนด้านล่างของหน้าจอแสดงผล ปกติแล้วจะเป็นตำแหน่งของ Touch ID แต่บน iPhone X ได้ตัด Touch ID หรือเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือออก และแทนที่ด้วยระบบสแกนใบหน้า (Face ID) แทน ทำให้ iPhone X สามารถแสดงผลได้แบบเต็มจอนั่นเอง
ด้านขวาของตัวเครื่อง ประกอบด้วย ปุ่ม Power สำหรับเปิด-ปิดตัวเครื่อง หรือล็อกหน้าจอแสดง และถาดใส่ซิมการ์ดแบบ nanoSIM ส่วนด้านซ้ายของตัวเครื่อง เป็นปุ่มปิดเสียง และปุ่มปรับระดับเสียง
ด้านบนของตัวเครื่อง ไม่มีพอร์ตหรือปุ่มควบคุมการทำงาน ส่วนด้านล่างของตัวเครื่อง ประกอบด้วย ไมโครโฟนหลักสำหรับสนทนา, พอร์ต Lightning และลำโพงเสียงแบบสเตอริโอ
iPhone X มาพร้อมกล้องคู่ในดีไซน์แนวตั้ง ประกอบด้วยเลนส์ Wide ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล รูรับแสง F/1.8 และเลนส์ Telephoto ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล รูรับแสง F/2.4 พร้อมไฟแฟลชแบบ Quad-LED และระบบกันสั่นคู่ (Dual OIS) ซึ่งตัวกล้องจะมีลักษณะนูนเล็กน้อย โดยด้านหลังตัวเครื่องนั้น เป็นกระจก ION-X แบบเดียวกับที่ใช้บน Apple Watch
สำหรับอุปกรณ์มาตรฐานภายในกล่อง ประกอบด้วย ตัวเครื่อง iPhone X, Adapter, สาย Lightning, หูฟัง EarPods พอร์ต Lightning, ตัวแปลงพอร์ต Lightning เป็นพอร์ตหูฟังขนาด 3.5 มิลลิเมตร และคู่มือการใช้งาน
ด้วยดีไซน์ตัวเครื่องแบบกระจก ทำให้ iPhone X รองรับการชาร์จแบบไร้สายตามมาตรฐานของ Qi Standard ทำให้ iPhone X สามารถใช้งานกับแท่นชาร์จยี่ห้อใดก็ได้ ไม่จำเป็นต้องเป็นของแบรนด์ Apple เพียงแบรนด์เดียว ซึ่งแท่นชาร์จไร้สายไม่ได้แถมมาให้ในชุดมาตรฐาน ผู้ใช้จะต้องซื้อเพิ่มเอง
ด้วยดีไซน์ของ iPhone X ที่เป็นตัวเครื่องแบบกระจก ซึ่งมีโอกาสที่จะแตกร้าวได้ง่ายในกรณีที่ทำตัวเครื่องตก อีกทั้งราคาค่าตัวที่ค่อนข้างสูง ฉะนั้นจำเป็นต้องหาอุปกรณ์เสริมมาช่วยปกป้องตัวเครื่อง ไม่ว่าจะเป็น กระจกกันรอย รวมถึงการใส่เคส ซึ่งปัจจุบันก็มีให้เลือกหลายแบบหลายยี่ห้อเช่นกัน อย่างเช่น Focus Full Frame Tempered Glass ซึ่งเป็นกระจกกันรอยของแบรนด์ Focus นั่นเอง โดยมีจุดเด่นหลายส่วนด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็น การปกป้องได้เต็มจอ, หมดปัญหาเรื่องฝุ่นเข้าบริเวณช่องเซ็นเซอร์ ทั้งนี้ยังเคลือบสารพิเศษในแผ่นกระจกกันรอย ทำให้ทัชลื่นไหลไม่สะดุด ตอบโจทย์ทุกการใช้งาน
นอกจากกระจกกันรอยแล้ว เคส iPhone ยังเป็นอีกหนึ่งตัวช่วยในการปกป้องไม่ให้ตัวเครื่องได้รับความเสียหายจากการตกกระแทก ซึ่งทาง Apple เองก็มีเคสสำหรับ iPhone มาวางจำหน่ายแล้วเช่นกัน โดยเคส iPhone X ข้างต้นนั้นเป็นแบบซิลิโคน ด้านในมีการบุขนป้องกันไม่ให้ตัวเครื่องเป็นรอยขณะสวมใส่ ซึ่งเคสรุ่นนี้มีให้เลือกหลายสีเลยทีเดียว
มาเริ่มกันตั้งแต่หน้า Lockscreen กันก่อน จะเห็นว่าถ้าหากยังไม่ได้ทำการสแกนใบหน้าเพื่อปลดล็อก ข้อความต่าง ๆ ที่ปรากฏในหน้า Lockscreen นั้น จะบอกแค่ว่ามีข้อความแจ้งเตือนจากแอปฯ ใดบ้าง แต่จะไม่มีรายละเอียดของการแจ้งเตือนนั้น ๆ ซึ่งจำเป็นต้องสแกนใบหน้าปลดล็อกเสียก่อนจึงจะสามารถเห็นรายละเอียดต่าง ๆ ได้ ถือว่ามีความเป็นส่วนตัวในระดับหนึ่ง แตกต่างจาก iPhone รุ่นอื่น ๆ ที่ใคร ๆ ก็สามารถดูข้อความแจ้งเตือนจากหน้า Lockscreen ได้
สำหรับการปลดล็อก Face ID หรือการสแกนใบหน้า สามารถทำได้ 2 แบบก็คือ สแกนใบหน้าก่อนแล้วค่อยปัดหน้าจอขึ้นเพื่อปลดล็อก หรือปัดหน้าจอขึ้นก่อนแล้วค่อยสแกนใบหน้าเพื่อปลดล็อก แต่ถ้าหากสแกนใบหน้าไม่ผ่าน จะบังคับให้ใส่ Passcode แทน
iPhone X รุ่นที่นำมารีวิวนี้ มีขนาดความจุอยู่ที่ 64 GB และทำงานบนระบบปฏิบัติการ iOS 11.2.5 เวอร์ชันล่าสุด (ณ วันที่ทำการรีวิว) ซึ่งอินเทอร์เฟสในหน้า Homescreen จะเหมือนกับ iPhone รุ่นอื่น ๆ แต่จะมีการใช้งานบางอย่างที่แตกต่างออกไปบ้างเนื่องจาก iPhone X ไม่มีปุ่ม Home ไม่ว่าจะเป็น
ปัดขึ้นครั้งเดียวจากด้านล่าง เพื่อกลับสู่หน้า Home
สำหรับ Multitasking ให้ปัดขึ้นเหมือนการกลับไปยังหน้า Home แต่ให้หยุดค้างไว้สักครู่ จะปรากฏหน้า Multitask ขึ้นมา สามารถเลื่อนซ้ายขวาเลือกสลับไปยังแอปพลิเคชันอื่นได้ ส่วนการปิดแอปพลิเคชันให้กดค้างที่แอปฯ นั้นจนกว่าจะขึ้นรูปเครื่องหมายลบ
Control Center ให้ปัดลงจากมุมบนขวา โดยบน iOS 11 นั้น สามารถเลือกเมนูตั้งค่าการใช้งานให้ปรากฏบน Control Center ได้มากขึ้น โดยเข้าไปตั้งค่าได้ที่ Settings > Control Center > Customize ส่วน iPhone ตั้งแต่ iPhone 6S เป็นต้นไป สามารถใช้ฟังก์ชัน 3D Touch หรือการกดหนักบนไอคอนต่าง ๆ เพื่อให้สามารถเข้าถึงการตั้งค่าที่ละเอียดขึ้นได้จากหน้า Control Center โดยไม่จำเป็นต้องเปิดแอปฯ นั้น ๆ ก่อน
นอกเหนือจากการใช้งานในข้างต้นแล้ว ยังมีการใช้งานบางอย่างที่ผู้ใช้ iPhone จำเป็นต้องเรียนรู้ใหม่ ไม่ว่าจะเป็น
Notification Center ให้ปัดลงจากมุมบนซ้าย โดยในส่วนนี้จะแสดงข้อมูลของ นาฬิกา, วันที่ และการแจ้งเตือนต่าง ๆ ปัดซ้ายเพื่อลบข้อความนั้นออก หรือเปิดอ่านข้อความและตอบกลับ ส่วนการปัดขวาจะเป็นการเปิดแอปฯ เพื่ออ่านข้อความนั้น
ถ้าหากต้องการลบข้อความทั้งหมดออก ให้กดหนัก ๆ ที่เครื่องหมายกากบาทจนปรากฏคำว่า Clear All Notification
จากหน้า Homescreen การปัดจากซ้ายไปขวาจะเป็นหน้าแสดง Widget ต่าง ๆ สามารถเลือก Widget เพิ่มเติมได้ที่ปุ่ม Edit (ด้านล่าง)
มาถึงจุดขายของ iPhone X รุ่นนี้กันบ้าง นั่นก็คือ Face ID หรือระบบการสแกนใบหน้า ซึ่ง 1 เครื่องตั้งค่าได้ 1 Face ID ด้วยการเข้าไปที่ Settings > Face ID & Passcode > Set Up Face ID
สำหรับการตั้งค่า Face ID นั้น ให้กล้องจับใบหน้าเจ้าของเครื่องให้อยู่ในกรอบที่กำหนด จากนั้นให้หมุนศีรษะเป็นวงกลม เพื่อเป็นการบันทึกทุกมุมมองของใบหน้าเจ้าของเครื่องนั่นเอง
จากการทดสอบปลดล็อก Face ID พบว่า สามารถปลดล็อกได้อย่างรวดเร็วและสะดวกมากกว่า Touch ID (สแกนลายนิ้วมือ) เนื่องจากแค่ยก iPhone X ขึ้นมาสแกนใบหน้าก็ปลดล็อกได้ในเวลารวดเร็ว รวมถึงสามารถสแกนได้ในที่แสงน้อยและที่มืด ในกรณีที่สวมแว่นตาก็สามารถสแกนได้เช่นกัน ส่วนตัวแล้วชื่นชอบมากกว่าการปลดล็อกด้วยลายนิ้วมือ เนื่องจากผู้ทดสอบเป็นคนที่มีเส้นลายนิ้วมือค่อนข้างบาง ทำให้การสแกนลายนิ้วมือในบางครั้งไม่ผ่านและไม่สามารถปลดล็อกหน้าจอได้ จำเป็นต้องใส่รหัส Passcode
อย่างไรก็ดี Face ID ยังมีจุดที่ยังขัดใจอยู่บ้างตรงที่เมื่อสแกนใบหน้าผ่านเรียบร้อยแล้ว ผู้ใช้จะต้องปัดหน้าจอขึ้นเพื่อเข้าสู่หน้า Homescreen เอง ซึ่งถ้าหากสแกนใบหน้าเพื่อปลดล็อกแล้วเข้าสู่หน้า Homescreen ให้อัตโนมัติ คงจะสะดวกมากกว่านี้ รวมถึงการวาง iPhone X ในแนวราบ (เช่น บนโต๊ะ) ถ้าหากจะสแกนใบหน้าจะต้องยื่นหน้าให้ได้มุมถึงจะสแกนได้
โดย Face ID นอกจากจะใช้ปลดล็อกตัวเครื่องแล้ว ยังสามารถใช้ร่วมกับ iTunes & App Store, Safari Autofill รวมถึงแอปฯ อื่น ๆ ที่รองรับการใช้งาน Face ID ได้
อีกหนึ่งลูกเล่นที่ถือว่าเป็นจุดเด่นอีกอย่างบน iPhone X ก็คือ Animoji ด้วยการใช้กล้องหน้า TrueDepth ทำงานร่วมกับชิปเซ็ต Apple A11 Bionic เพื่อบันทึกและวิเคราะห์การเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อบนใบหน้าที่แตกต่างกันกว่า 50 รูปแบบ แล้วจำลองการแสดงออกทางใบหน้าเหล่านั้นบน Animoji ที่เคลื่อนไหวได้ 12 แบบ เช่น แพนด้า, ยูนิคอร์น และหุ่นยนต์ โดยสามารถบันทึกและส่งข้อความ Animoji ผ่านทางแอปฯ iMessage ที่ติดตั้งมาให้แล้วบน iPhone X โดยใช้เสียงของตนเอง และยังสามารถยิ้ม, ขมวดคิ้ว และอื่น ๆ อีกมากมาย
ในส่วนของการแสดงผลนั้น ปัจจุบันมีหลายแอปพลิเคชันที่รองรับการแสดงผลแบบเต็มจอบน iPhone X แล้ว ทั้ง Facebook, LINE, Instagram รวมไปถึงเกมยอดฮิตอย่าง ROV ก็รองรับ iPhone X แล้วเช่นกัน
สำหรับการทดสอบ Benchmark ด้วยแอปพลิเคชัน AnTuTu ได้คะแนนอยู่ที่ 217,629 คะแนน ซึ่งถือว่าทำคะแนนได้ดีเลยทีเดียว
สำหรับอินเทอร์เฟสของกล้องถ่ายรูปบน iPhone X นั้น เหมือนกับ iPhone รุ่นอื่น ๆ โดยมีโหมดการถ่ายภาพให้เลือกทั้งหมด 7 โหมดด้วยกัน ได้แก่ Time-Lapse, Slo-Mo, Video, Photo, Protrait, Square และ Pano ส่วนเมนูด้านบนนั้น ประกอบด้วย ไฟแฟลช, HDR, Live Photo, ตั้งเวลาถ่ายภาพ และฟิลเตอร์
โดยฟิลเตอร์นั้น มีให้เลือกทั้งหมด 10 แบบด้วยกัน ได้แก่ Original, Vivid, Vivid Warm, Vivid Cool, Dramatic, Dramatic Warm, Dramatic Cool, Mono, Silvertone และ Noir
iPhone X รองรับการถ่ายภาพแบบ Portrait Mode (หน้าชัดหลังเบลอ) ทั้งกล้องด้านหน้าและด้านหลัง ซึ่งลูกเล่นที่เพิ่มเข้ามาก็คือ สามารถเลือกจัดแสงให้เหมาะสมกับสถานการณ์ต่าง ๆ ซึ่งมีให้เลือก 5 แบบด้วยกัน ได้แก่ Natural Light, Studio Light, Contour Light, Stage Light และ Stage Light Mono
สำหรับการถ่ายวิดีโอแบบปกติ รองรับสูงสุดที่ระดับ 4K 60 fps ส่วนวิดีโอแบบ Slo-Mo รองรับสูงสุดที่ระดับ 1080p 240 fps
ด้าน Format เลือกได้ 2 แบบ ได้แก่ ความละเอียดสูง (High Efficiency) และใช้งานทั่วไป (Most Compatible)
ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องด้านหน้า (Portrait Mode)
ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องด้านหลัง (Portrait Mode) จัดแสงแบบ Natural Light และ Studio Light
ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องด้านหลัง (Portrait Mode) จัดแสงแบบ Contour Light และ Stage Light
ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องด้านหลัง (Portrait Mode) จัดแสงแบบ Stage Light Mono
ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องด้านหลัง
ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องด้านหลัง
ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องด้านหลัง
ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องด้านหลัง
ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องด้านหลัง
ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องด้านหลัง
ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องด้านหลัง
ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องด้านหลัง
ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องด้านหลัง
ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องด้านหลัง
ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องด้านหลัง
สำหรับ iPhone X นั้นถือว่า อัดแน่นไปด้วยนวัตกรรมสุดล้ำ และดีที่สุดเท่าที่ Apple เคยทำมาอย่างมากมาย เริ่มกันตั้งแต่รูปลักษณ์ภายนอกตัวเครื่องที่ได้รับการออกแบบใหม่ ด้วยดีไซน์แบบ Metal-Glass กรอบตัวเครื่องแบบ Stainless Steel และครอบทับด้วยกระจกทั้งด้านหน้าและด้านหลัง ที่ทำให้ iPhone X รองรับฟีเจอร์การชาร์จแบบไร้สาย รวมถึงคุณสมบัติในการป้องกันน้ำและป้องกันฝุ่นตามมาตรฐาน IP67
ด้านหน้าจอแสดงผลนั้น iPhone X ถือว่าเป็น iPhone รุ่นแรกที่ใช้หน้าจอแสดงผลแบบ OLED โดยเป็นดีไซน์แบบชิดขอบ ขนาด 5.8 นิ้ว (Super Retina HD) ความละเอียด 2436 x 1125 พิกเซล (อัตราส่วน 18:9) พร้อมเคลือบสารกันรอยนิ้วมือ และเทคโนโลยี True Tone Display แบบเดียวกับ iPad Pro ที่ช่วยปรับสภาพสีและแสงบนหน้าจอให้สอดคล้องกับสภาพแวดล้อมที่ใช้งาน ทำให้ได้ภาพที่ดูเป็นธรรมชาตินั่นเอง
ด้านการประมวลผล มาพร้อมกับชิปเซ็ต Apple A11 Bionic แบบ Hexa-Core Processor ความเร็ว 2.39 GHz, หน่วยประมวลผลร่วม M11 Motion Coprocessor, เทคโนโลยี Neural Engine, หน่วยความจำ RAM ขนาด 3 GB และทำงานบนระบบปฏิบัติการ iOS 11 ที่มีลูกเล่นให้ใช้งานกันอย่างมากมาย
ส่วนของใหม่บน iPhone X ที่ไม่พูดถึงคงไม่ได้เช่นกัน นั่นก็คือ เทคโนโลยี Face ID หรือระบบการสแกนใบหน้า ที่เป็นการยกระดับความปลอดภัยอีกขั้น โดยระบบ Face ID บน iPhone X นั้นเข้ามาแทน Touch ID (สแกนลายนิ้วมือเดิม) ซึ่งจะอาศัยการทำงานของกล้อง TrueDepth ด้านหน้า และวิเคราะห์จุดแสงที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่ากว่า 30,000 จุด เพื่อสร้างแผนผังโครงสร้างใบหน้าในแนวลึกอย่างแม่นยำ ซึ่งการใช้งาน Face ID นั้นถือว่าสะดวกมาก เพียงแค่ยก iPhone X ขึ้นมาพร้อมกับปัดขึ้น ก็สามารถปลดล็อกได้อย่างรวดเร็ว
ด้านกล้องถ่ายรูปนั้น มาพร้อมกับกล้องด้านหน้า เป็นกล้อง TrueDepth ความละเอียด 7 ล้านพิกเซล, ขนาดรูรับแสงกว้างสูงสุด F/2.2, ไฟแฟลชแบบ Retina Flash และรองรับโหมด Portrait ถ่ายภาพแบบหน้าชัดหลังเบลอ ส่วนกล้องด้านหลัง เป็นกล้องคู่ (Dual-Camera) ดีไซน์แนวตั้ง ประกอบด้วย เลนส์ Wide และเลนส์ Telephoto ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล, ขนาดรูรับแสงกว้างสูงสุด F/1.8 และ F/2.4, ระบบป้องกันภาพสั่นไหวแบบคู่ (Dual OIS) และไฟแฟลชแบบ Quad-LED
อีกหนึ่งลูกเล่นที่ใช้ความสามารถของกล้อง TrueDepth อีกเช่นกัน นั่นก็คือ Animoji ที่มีให้เลือก 12 แบบ ซึ่งจะทำงานร่วมกับชิปเซ็ต Apple A11 Bionic เพื่อบันทึกและวิเคราะห์การเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อบนใบหน้าที่แตกต่างกันกว่า 50 รูปแบบ
iPhone X มีให้เลือก 2 สีด้วยกัน ได้แก่ สีเงิน (Silver) และสีเทาสเปซเกรย์ (Space Gray) ราคาเริ่มต้นอยู่ที่ 40,500 บาท สำหรับขนาดความจุ 64 GB และ 46,500 บาท สำหรับขนาดความจุ 256 GB ซึ่งทางผู้ให้บริการเครือข่าย 3 ค่ายหลักในไทย ซึ่งได้แก่ dtac, AIS และ TrueMove H ก็มีโปรโมชั่นพร้อมแพ็กเกจ iPhone X เช่นเดียวกัน สามารถสอบถามได้ที่ตัวแทนจำหน่ายใกล้บ้าน
จุดเด่นของ iPhone X
จุดที่ต้องพิจารณาเพิ่มเติม
------------------------------------
บทความรีวิวโดย : techmoblog.com
Update : 12/02/2018
หน้าหลัก (Main) |
(สินค้า IT) ออกใหม่ |
|
FOLLOW US |