วางจำหน่ายในไทยอย่างเป็นทางการแล้ว สำหรับ iPhone รุ่นใหม่ปี 2018 ที่ในปีนี้เปิดตัวกันถึง 3 รุ่นด้วยกัน ได้แก่ iPhone XR, iPhone XS และ iPhone XS Max โดยรุ่นที่ทีมงาน techmoblog จะมารีวิวกันในวันนี้ ก็คือ iPhone XS Max ที่ถือว่า เป็นไอโฟนรุ่นแรกที่มีขนาดหน้าจอใหญ่ที่สุด และราคาแพงที่สุดเท่าที่เคยเปิดตัว iPhone มาเลยก็ว่าได้ แต่ยังคงดีไซน์เดียวกับ iPhone X ด้วยหน้าจอไร้ขอบแบบ All-Screen พร้อมจอบากที่ด้านบน ครอบทับด้วยกระจกทั้งด้านหน้าและด้านหลังตัวเครื่อง และยังคงรองรับคุณสมบัติด้านการกันน้ำกันฝุ่น ตามมาตรฐาน IP68
สำหรับจุดเด่นของ iPhone XS Max ที่เหนือกว่า iPhone รุ่นอื่น นั่นก็คือ หน้าจอแสดงผลขนาดใหญ่ถึง 6.5 นิ้ว แบบ OLED Super Retina HD ความละเอียด 2688 x 1242 พิกเซล ซึ่งถือว่า เป็นรุ่นที่มีขนาดหน้าจอใหญ่ที่สุดและความละเอียดมากสุดในบรรดา iPhone ทุกรุ่นที่ Apple เคยเปิดตัว นอกจากนี้ ยังมาพร้อมกับชิปเซ็ต Apple A12 Bionic รุ่นใหม่ล่าสุด ซึ่งเป็นชิปประมวลผลแบบ Hexa-Core Processor (6-Core) พร้อม Neural Engine เจเนอเรชั่นถัดไป, หน่วยประมวลผลภาพกราฟิก Apple GPU แบบ Quad-Core, หน่วยความจำ RAM ขนาด 4 GB, หน่วยความจำภายในตัวเครื่อง (ROM) ขนาด 64 GB, 256 GB และ 512 GB, แบตเตอรี่ขนาด 3,174 mAh รองรับการชาร์จเร็วและการชาร์จแบบไร้สาย และทำงานบนระบบปฏิบัติการ iOS 12 เวอร์ชันล่าสุด
ด้านการถ่ายภาพนั้น มาพร้อมกับกล้องด้านหน้าแบบ TrueDepth ความละเอียด 7 ล้านพิกเซล พร้อมรูรับแสงขนาด F/2.2 และรองรับการถ่ายภาพ Portrait แบบหน้าชัดหลังเบลอ ที่สามารถปรับขนาดของรูรับแสงได้ตั้งแต่ F/1.4 - F/16 ส่วนกล้องด้านหลัง เป็นกล้องคู่ ประกอบด้วย เลนส์ Wide ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล (รูรับแสง F/1.8) และเลนส์ Telephoto ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล (รูรับแสง F/2.4), รองรับการซูมแบบ 10X Digital Zoom และ 2X Optical Zoom และรองรับการถ่ายภาพ Portrait ที่สามารถปรับขนาดของรูรับแสงได้เช่นเดียวกับกล้องด้านหน้า
เรียกได้ว่า แค่สเปกในเบื้องต้นนั้น ก็ถือว่า iPhone XS Max เป็นไอโฟนอีกรุ่นที่มีความน่าสนใจไม่น้อย ส่วนการใช้งานจริงจะเป็นอย่างไรนั้น มาพิสูจน์ไปพร้อม ๆ กันกับ รีวิว iPhone XS Max โดยทีมงาน techmoblog ครับ
>> สเปก iPhone XS Max อย่างละเอียด คลิกที่นี่
iPhone XS Max มาพร้อมกับดีไซน์จอไร้ขอบแบบ All-Screen และจอบากที่ด้านบน โดยมีขนาดหน้าจออยู่ที่ 6.5 นิ้ว แบบ OLED Multi-Touch (Super Retina HD Display) ความละเอียด 2688 x 1242 พิกเซล (458 ppi) ส่วนขนาดตัวเครื่องอยู่ที่ 157.5 x 77.4 x 7.7 มิลลิเมตร และน้ำหนัก 208 กรัม ซึ่งเมื่อเทียบกับ iPhone X จะเห็นว่ามีขนาดตัวเครื่องใหญ่กว่าเล็กน้อย
ด้านบนของหน้าจอแสดงผล ประกอบด้วย กล้องด้านหน้าแบบ TrueDepth ความละเอียด 7 ล้านพิกเซล (รูรับแสง F/2.2), ลำโพงสำหรับสนทนา, ตัวฉายจุดแสง (Dot Projector), กล้องอินฟราเรด และอิลลูมิเนเตอร์มุมกว้าง สำหรับสร้างโครงสร้างของใบหน้า และจดจำใบหน้าได้อย่างแม่นยำ ซึ่งกล้องด้านหน้าของ iPhone XS Max รองรับการถ่ายภาพ Portrait ที่สามารถปรับขนาดของรูรับแสงได้แบบ Real-time ตั้งแต่ F/1.4 - F/16
โดยจากรูปข้างต้นจะเห็นว่า ถ้าหากเลือกภาพวอลเปเปอร์โทนสีเข้ม หรือพื้นหลังเป็นสีดำ จะกลมกลืนไปกับส่วนที่เป็นจอบาก เหมือนกับว่าจอบากถูกซ่อนอยู่
ด้านล่างของหน้าจอแสดงผล ไม่มีปุ่มควบคุมการทำงาน และไม่มีปุ่ม Home เช่นเดียวกับ iPhone X โดยผู้ใช้สามารถควบคุมการทำงานต่าง ๆ ได้ด้วยท่าทาง (Gestures)
ด้านขวาของตัวเครื่อง ประกอบด้วย เส้นเสาสัญญาณ (ซ้าย-ขวา), ปุ่ม Power สำหรับเปิด-ปิดตัวเครื่อง, ล็อกหน้าจอแสดงผล หรือเปิดใช้งาน Siri และถาดใส่ซิมการ์ด ส่วนด้านซ้ายของตัวเครื่อง เป็นเส้นเสาสัญญาณ (ซ้าย-ขวา), ปุ่มปิดเสียง และปุ่มปรับระดับเสียง โดย iPhone XS Max รองรับการใช้งาน 2 ซิมการ์ดแบบ nanoSIM และ eSIM
ด้านบนของตัวเครื่อง ประกอบด้วย เส้นเสาสัญญาณ ส่วนด้านล่างของตัวเครื่อง ประกอบด้วย เส้นเสาสัญญาณ, ไมโครโฟนหลักสำหรับสนทนา, พอร์ต Lightning และลำโพงเสียงแบบสเตอริโอ
ด้านหลังตัวเครื่อง เป็นกล้องคู่แนวตั้ง ประกอบด้วย เลนส์ Wide ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล (รูรับแสง F/1.8) และเลนส์ Telephoto ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล (รูรับแสง F/2.4) พร้อมระบบกันภาพสั่น Dual OIS ส่วนไฟแฟลชเป็นแบบ Quad-LED ทั้งหมด 4 ดวง นอกจากนี้ ยังมีไมโครโฟนสำหรับตัดเสียงรบกวนซึ่งอยู่ใกล้ ๆ กับไฟแฟลชอีกด้วย
สำหรับอุปกรณ์ที่ให้มาในชุดจำหน่ายมาตรฐาน ประกอบด้วย ตัวเครื่อง iPhone XS Max, Adapter, สาย Lightning, หูฟัง EarPods, เข็มจิ้มถาดใส่ซิมการ์ด และคู่มือการใช้งาน โดยรุ่นนี้ไม่มีการแถมตัวแปลงพอร์ต Lightning เป็นพอร์ตหูฟังขนาด 3.5 มิลลิเมตร มาให้เหมือน iPhone X แล้ว แต่บน Store มีวางจำหน่ายแยกต่างหากในราคา 390 บาท
iPhone XS Max ยังรองรับการชาร์จไร้สายตามมาตรฐานของ Qi Standard ซึ่งสามารถใช้งานกับแท่นชาร์จยี่ห้อใดก็ได้ แต่แท่นชาร์จไร้สายไม่ได้แถมมาให้ในชุดจำหน่ายมาตรฐาน ผู้ใช้จะต้องซื้อเพิ่มเอง
ด้วยดีไซน์ของ iPhone XS Max ที่เป็นตัวเครื่องแบบกระจก ซึ่งมีโอกาสที่จะแตกร้าวได้ง่ายในกรณีที่ทำตัวเครื่องตก อีกทั้งราคาค่าตัวที่ค่อนข้างสูง ฉะนั้นจำเป็นต้องหาอุปกรณ์เสริมมาช่วยปกป้องตัวเครื่อง ซึ่งทางแบรนด์ Focus ก็มีกระจกกันรอยสำหรับ iPhone XS Max มาวางจำหน่ายแล้วเช่นกัน
โดย Focus Full Frame เป็นกระจกกันรอยแบบเต็มจอรุ่นใหม่ที่มาพร้อมกับคุณสมบัติความแกร่งที่ระดับ 9H ปกป้องได้เต็มหน้าจอ, ป้องกันการเกิดรอยขีดข่วน และเมื่อติดแล้วยังคงสามารถสัมผัสใช้งานได้อย่างลื่นไหล โดยที่ยังคงสีสันและความคมชัดเหมือนเดิม อีกทั้งในกรณีที่เผลอทำหล่นและตกกระแทกจนทำให้กระจกกันรอยเกิดความเสียหาย ก็จะไม่แตกกระจายและไม่บาดมือ เรียกได้ว่า กระจกกันรอย Focus Full Frame เป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำหรับผู้ใช้ iPhone XS Max โดยมีวางจำหน่ายแล้ววันนี้ทั้งการสั่งซื้อแบบออนไลน์ รวมถึงร้านตัวแทนจำหน่ายทั่วประเทศ
สำหรับ iPhone XS Max ที่ทีมงานนำมารีวิวกันในวันนี้ เป็น iPhone XS Max สีเทา (Space Gray) ขนาด 64 GB และทำงานบนระบบปฏิบัติการ iOS 12.1 เวอร์ชันล่าสุด (ในขณะที่ทำการรีวิว) โดยทั้ง iPhone XS และ iPhone XS Max จะมีตัวเครื่องสีทอง (Gold) ให้เลือกเพิ่มอีก 1 สี ต่างจาก iPhone X ที่มีแค่ 2 สีให้เลือก นั่นก็คือ สีเงิน (Silver) และสีเทา (Space Gray)
โดยอินเทอร์เฟสในหน้า Home Screen บน iPhone XS Max จะเหมือนกับ iPhone รุ่นอื่น ๆ ที่ทำงานบน iOS 12 แต่จะมีการใช้งานบางอย่างที่แตกต่างออกไปบ้าง เนื่องจากไม่มีปุ่ม Home แล้วนั่นเอง ซึ่งการสั่งการบน iPhone XS Max นั้น จะใช้การสั่งการด้วยท่าทาง (Gesture) เป็นหลัก ยกตัวอย่างเช่น ปัดขึ้นครั้งเดียวจากด้านล่าง เพื่อกลับสู่หน้า Home หรือปัดขึ้นเหมือนการกลับไปยังหน้า Home แต่ให้หยุดค้างไว้สักครู่ จะปรากฏหน้า Multitasking ขึ้นมา เป็นต้น
ในกรณีที่ผู้ใช้ไม่เคยใช้งาน iPhone X มาก่อน การใช้งานบางอย่างจะต้องเรียนรู้กันใหม่ เพราะถือว่าแตกต่างจาก iPhone 8 และรุ่นที่ต่ำกว่าพอสมควร ไม่ว่าจะเป็น
ด้าน Control Center บน iPhone XS Max ให้ปัดลงจากมุมบนขวา และสามารถเลือกเมนูตั้งค่าการใช้งานให้ปรากฏบน Control Center ได้มากขึ้น โดยเข้าไปตั้งค่าได้ที่ Settings > Control Center > Customize อีกทั้งยังสามารถใช้ฟังก์ชัน 3D Touch หรือการกดหนักบนไอคอนต่าง ๆ เพื่อให้สามารถเข้าถึงการตั้งค่าที่ละเอียดขึ้นได้จากหน้า Control Center โดยไม่จำเป็นต้องเปิดแอปฯ นั้น ๆ ก่อน
Notification Center ให้ปัดลงจากมุมบนซ้าย โดยในส่วนนี้จะแสดงข้อมูลของ นาฬิกา, วันที่ และการแจ้งเตือนต่าง ๆ ปัดซ้ายเพื่อลบข้อความนั้นออก หรือเปิดดูข้อความและตอบกลับ ส่วนการปัดขวาจะเป็นการเปิดแอปฯ เพื่ออ่านข้อความดังกล่าวแบบเต็ม ๆ
ถ้าหากต้องการลบข้อความทั้งหมดออก ให้กดหนัก ๆ ที่เครื่องหมายกากบาทจนปรากฏคำว่า Clear All Notification
จากหน้า Home Screen การปัดจากซ้ายไปขวาจะเป็นหน้าแสดง Widget ต่าง ๆ สามารถเลือก Widget เพิ่มเติมได้ที่ปุ่ม Edit (ด้านล่าง)
iPhone XS Max รองรับฟีเจอร์การสแกนใบหน้า (Face ID) แบบเดียวกับ iPhone X แต่บน iOS 12 ผู้ใช้สามารถตั้งค่า Face ID ได้ถึง 2 ใบหน้าด้วยกัน แต่จะต้องทำการตั้งค่าใบหน้าแรกให้เสร็จสิ้นเสียก่อน ด้วยการเข้าไปที่ Settings > Face ID & Passcode > Set Up Face ID ซึ่งผู้ใช้จะต้องเปิดใช้งาน Passcode ควบคู่กันไปด้วย
และเมื่อตั้งค่าใบหน้าแรกเสร็จเรียบร้อยแล้ว จะเห็นคำว่า Set Up an Alternate Appearance (ตั้งค่ารูปลักษณ์อีกแบบ) ให้คลิกเพื่อทำการตั้งค่า Face ID ใบหน้าที่สอง ซึ่งมีวิธีการเหมือนกับ Face ID แรก เพียงเท่านี้ก็สามารถปลดล็อกตัวเครื่องได้ด้วย Face ID ทั้ง 2 ใบหน้าที่ได้ทำการตั้งค่าเอาไว้ ซึ่งสามารถปลดล็อกได้ง่ายแม้ว่าจะอยู่ในที่แสงน้อย, ที่มืด รวมถึงสามารถปลดล็อกได้แม้ว่าจะสวมแว่นตาอยู่ (ทั้งแว่นสายตาและแว่นกันแดด)
นอกจากนี้ Face ID ยังสามารถใช้ร่วมกับ iTunes & App Store, Safari Autofill รวมถึงแอปฯ อื่น ๆ ที่รองรับการใช้งาน Face ID ได้ เรียกได้ว่า สะดวกและปลอดภัยมากเลยทีเดียว
อีกทั้งฟีเจอร์และลูกเล่นที่น่าสนใจบน iPhone XS Max นั่นก็คือ Animoji ที่มีให้ใช้งานกันตั้งแต่รุ่น iPhone X รวมถึงลูกเล่นใหม่ล่าสุดอย่าง Memoji กับการสร้าง avatar ให้เป็นรูปใบหน้าของผู้ใช้ ซึ่งสามารถเลือกรูปหน้า, สีผิว, ทรงผม, ดวงตา และอื่น ๆ โดยวิธีการสร้าง Memoji นั้น ให้เข้าไปที่แอป Messages > สร้างข้อความใหม่ > แตะที่ไอคอน Memoji > New Memoji เมื่อสร้าง Memoji เสร็จแล้วก็สามารถส่งให้เพื่อนได้เลยผ่านแอปฯ Messages
รองรับโหมดประหยัดพลังงาน (Low Power Mode) รวมถึงสามารถตรวจสอบสถานะของแบตเตอรี่ได้ที่เมนู Battery Health ซึ่งจะเป็นการกรองในเบื้องต้นว่า ถึงเวลาที่จะเปลี่ยนแบตเตอรี่แล้วหรือยัง
ด้านความบันเทิงนั้น มี Apple Music ซึ่งเป็นบริการสตรีมมิ่งเพลงสำหรับการฟังแบบออนไลน์ โดยสามารถทดลองใช้งานได้ฟรี 3 เดือน และถ้าหากถูกใจสามารถสมัครเพื่อใช้งานแบบรายเดือนได้ เพียงเดือนละ 129 บาท หรือจะเป็นแพ็กเกจแบบครอบครัว เดือนละ 199 บาท รองรับสูงสุด 5 เครื่อง
Screen Time ฟีเจอร์ที่ควบคุมการใช้งาน iPhone ไม่ว่าจะเป็น การจำกัดการเข้าถึงแอปพลิเคชัน, กำหนดระยะเวลาในการเข้าใช้งาน รวมถึงตั้งค่าความเป็นส่วนตัว ซึ่งฟีเจอร์นี้จะช่วยควบคุมให้ใช้งาน iPhone ในระยะเวลาที่เหมาะสม และช่วยลดอาการติดมือถือหรือติดโซเชียลได้
ในด้านการเล่นเกมนั้น เรียกได้ว่า ตอบโจทย์การเล่นเกมที่มีภาพกราฟิกแบบ 3D หรือกราฟิกในระดับสูงได้เป็นอย่างดี สามารถใช้งานได้อย่างลื่นไหล, ไม่สะดุด, ไม่กระดุก โดยตัวเครื่องจะมีการสะสมความร้อนเมื่อใช้งานอย่างต่อเนื่อง แต่ไม่เป็นปัญหาต่อการใช้งานแต่อย่างใด
ลองทดสอบ Benchmark กันบ้าง ซึ่งจากการทดสอบด้วยโปรแกรม AnTuTu สามารถทำคะแนนได้สูงถึง 366,470 คะแนน ส่วนการทดสอบด้วยโปรแกรม Geekbench 4 ทำได้ 4,811 คะแนน และ 11,438 คะแนน สำหรับการทดสอบแบบ Single-Core และ Multi-Core ตามลำดับ
สำหรับกล้องด้านหน้าบน iPhone XS Max ยังคงเป็นกล้อง TrueDepth ความละเอียด 7 ล้านพิกเซล พร้อมรูรับแสงขนาด F/2.2 และไฟแฟลชแบบ Retina Flash แบบเดียวกับ iPhone X, รองรับการถ่ายภาพแบบ Live Photos รวมถึงโหมดถ่ายภาพ Portrait แต่สิ่งที่เพิ่มเข้ามาบน iPhone XS Max ก็คือ โหมดถ่ายภาพ Portrait นั้น สามารถปรับขนาดของรูรับแสงได้ตั้งแต่ F/1.4 - F/16 ซึ่งสามารถปรับได้เลยในขณะถ่ายภาพ หรือปรับหลังจากถ่ายภาพเสร็จแล้วได้
นอกเหนือจากการถ่ายภาพ Portrait แบบปกติแล้ว ยังสามารถถ่ายภาพ Portrait แบบจัดแสงพร้อมเอฟเฟกต์ได้ 5 แบบด้วยกัน ได้แก่ Natural Light, Studio Light, Contour Light, Stage Light และ Stage Light Mono
ส่วนกล้องด้านหลัง เป็นกล้องคู่ (Dual-Camera) แนวตั้ง แบบเดียวกับ iPhone X ประกอบด้วย เลนส์ Wide ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล (รูรับแสง F/1.8) และเลนส์ Telephoto ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล (รูรับแสง F/2.4) พร้อมโหมดถ่ายภาพให้เลือก ได้แก่ Time-Lapse, Slo-Mo, Video, Photo, Portrait, Square และ Pano นอกจากนี้ ยังสามารถเลือกใส่ฟิลเตอร์ให้กับภาพถ่ายได้อีก 10 แบบ
ในส่วนของโหมดถ่ายภาพ Portrait จะเหมือนกับกล้องด้านหน้า นั่นก็คือ สามารถปรับขนาดของรูรับแสงได้ตั้งแต่ F/1.4 - F/16 รวมถึงรองรับการถ่ายภาพ Portrait แบบจัดแสงพร้อมเอฟเฟกต์ได้ 5 แบบ ได้แก่ Natural Light, Studio Light, Contour Light, Stage Light และ Stage Light Mono
สำหรับการถ่ายวิดีโอ รองรับความละเอียดสูงสุดที่ระดับ 4K (60 fps) ส่วนการถ่าย Slo-Mo รองรับความละเอียดสูงสุดที่ 1080p (240 fps)
ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องด้านหน้า โหมด Portrait รูรับแสง F/1.4
ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องด้านหน้า โหมด Portrait รูรับแสง F/4.5
ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องด้านหน้า โหมด Portrait รูรับแสง F/16
ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องคู่ด้านหลัง โหมด Photo
ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องคู่ด้านหลัง โหมด Photo
ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องคู่ด้านหลัง โหมด Photo
ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องคู่ด้านหลัง โหมด Photo
ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องคู่ด้านหลัง โหมด Photo
ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องคู่ด้านหลัง โหมด Photo
ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องคู่ด้านหลัง โหมด Portrait
ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องคู่ด้านหลัง โหมด Portrait
ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องคู่ด้านหลัง โหมด Portrait
ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องคู่ด้านหลัง โหมด Portrait
ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องคู่ด้านหลัง โหมด Portrait
ถึงแม้ว่าดีไซน์ของ iPhone XS Max จะยังคงเหมือนกับรุ่น iPhone X แต่จากการทดสอบใช้งานในเบื้องต้นนั้น โดยรวมแล้วยังคงความพรีเมียมสมชื่อกับ iPhone ตัวท็อปเหมือนเช่นเคย ซึ่งรุ่นนี้ถือว่า เป็น iPhone ที่มีขนาดหน้าจอใหญ่ที่สุดเท่าที่ Apple เคยเปิดตัวมาเลยก็ว่าได้ โดยมาพร้อมกับหน้าจอแสดงผลกว้าง 6.5 นิ้ว แบบ OLED Multi-Touch (Super Retina HD Display) ความละเอียด 2688 x 1242 พิกเซล พร้อมทั้งรองรับขอบเขตสีที่กว้างมากขึ้น ทำให้แสดงสีสันได้อย่างแม่นยำและคมชัด อีกทั้งหน้าจอที่ใหญ่ขึ้นทำให้การแสดงผลต่าง ๆ เต็มตามากขึ้นอีกด้วย
โดยดีไซน์ตัวเครื่องของ iPhone XS Max ยังคงเป็นแบบหน้าจอไร้ขอบ ไร้ปุ่ม Home แบบ All-Screen ครอบทับด้วยกระจกทั้งด้านหน้าและด้านหลังตัวเครื่อง พร้อมกรอบตัวเครื่องแบบ Stainless Steel ที่มีความแข็งแกร่ง ผสมผสานกับคุณสมบัติด้านการกันน้ำและกันฝุ่น ที่ได้รับการอัปเกรดให้เป็นระดับ IP68 (iPhone X กันน้ำกันฝุ่นตามมาตรฐาน IP67) สามารถอยู่ในน้ำที่มีความลึกไม่เกิน 2 เมตร ภายในระยะเวลาสูงสุด 30 นาที
ด้านกล้องถ่ายรูป ถือว่าเป็นจุดขายของ iPhone XS Max รุ่นนี้เลยก็ว่าได้ โดยมาพร้อมกับกล้องด้านหน้าแบบ TrueDepth ความละเอียด 7 ล้านพิกเซล, รูรับแสง F/2.2 และไฟแฟลชแบบ Retina Flash ซึ่งกล้องด้านหน้าบน iPhone XS Max รองรับการถ่ายภาพ Portrait แบบหน้าชัดหลังเบลอแบบเดียวกับ iPhone X แต่อัปเกรดให้สามารถปรับขนาดของรูรับแสงได้ตั้งแต่ F/1.4 - F/16 รวมถึงรองรับโหมดการจัดแสงภาพถ่ายบุคคล (Portrait Lighting) พร้อมเอฟเฟกต์ 5 แบบ (Natural, Studio, Contour, Stage, Stage Mono)
ส่วนกล้องด้านหลัง เป็นกล้องคู่ (Dual-Camera) ซึ่งประกอบด้วย เลนส์ Wide ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล (รูรับแสง F/1.8) และเลนส์ Telephoto ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล (รูรับแสง F/2.4) พร้อมรองรับการถ่ายภาพ Live Photos, โหมด Portrait ที่สามารถปรับขนาดของรูรับแสงได้ตั้งแต่ F/1.4 - F/16, โหมดการจัดแสงภาพถ่ายบุคคล (Portrait Lighting) พร้อมเอฟเฟกต์ 5 แบบ (Natural, Studio, Contour, Stage, Stage Mono), ระบบป้องกันภาพสั่นคู่แบบ Dual-OIS, รองรับการซูม 2x Optical Zoom และ 10x Digital Zoom รวมถึงรองรับการถ่ายวิดีโอที่ความละเอียดสูงสุดระดับ 4K
ในด้านการประมวลผล เรียกได้ว่า ได้รับการอัปเกรดให้ดีขึ้นกว่ารุ่นก่อนหน้า โดยมาพร้อมกับชิปเซ็ต Apple A12 Bionic แบบ Hexa-Core Processor และ Neural Engine เจเนอเรชั่นถัดไป, หน่วยประมวลผลภาพกราฟิก Apple GPU (4-core graphics) ประมวลผลได้เร็วขึ้นกว่ารุ่นก่อนถึง 50%, หน่วยความจำ RAM ขนาด 4 GB และหน่วยความจำภายในตัวเครื่องขนาด 64 GB, 256 GB และ 512 GB นอกจากนี้ ยังรองรับการใช้งานบนเครือข่าย 4G LTE Cat.16, รองรับเทคโนโลยี NFC รวมถึง Apple Pay อีกด้วย
โดย iPhone XS Max วางจำหน่ายอย่างเป็นทางการในไทยแล้ววันนี้ มีให้เลือกทั้งหมด 3 สีด้วยกัน ได้แก่ สีเงิน (Silver), สีเทา (Space Gray) และสีทอง (Gold) สามารถหาซื้อได้ทั้งผ่านทาง Apple Online Store, Apple Iconsiam, ผู้ให้บริการเครือข่ายทั้ง 3 รายหลักในไทย รวมถึงตัวแทนจำหน่ายทั่วประเทศ ส่วนราคาของ iPhone XS Max ในไทย มีรายละเอียดดังนี้
จุดเด่นของ iPhone XS Max
จุดที่ต้องพิจารณาเพิ่มเติม
------------------------------------
บทความรีวิวโดย : techmoblog.com
Update : 21/02/2019
หน้าหลัก (Main) |
(สินค้า IT) ออกใหม่ |
|
FOLLOW US |