เปรียบเทียบ iPhone XS และ Samsung Galaxy Note 9 สองเรือธงพรีเมียมแห่งปี จะมีจุดเด่นต่างกันอย่างไร เทียบให้ดูชัดๆ ที่นี่

เปิดตัวตามนัดครับสำหรับ iPhone Xs, iPhone Xs Max และ iPhone Xc ที่หลายๆ คนรอคอย โดยคราวนี้ทั้ง 3 รุ่นมาในดีไซน์จอไร้ขอบพร้อมรอยบากแบบ iPhone X นับว่าตอนนี้ดีไซน์จอไร้ขอบได้กลายเป็นมาตรฐานใหม่ของ iPhone อย่างเต็มตัว และเมื่อเราพูดถึง iPhone รุ่นใหม่ เราจะต้องนึกถึงคู่แข่งสำคัญอย่าง Samsung Galaxy Note 9 อย่างแน่นอน ซึ่งก็มาพร้อมกับสเปกจัดเต็มไม่แพ้กัน โดยเฉพาะปากกา S Pen รุ่นใหม่ที่ถือเป็นไม้เด็ดของ Galaxy Note 9 เลยก็ว่าได้ และสำหรับในวันนี้ทางทีมงาน Techmoblog จึงได้นำสมาร์ทโฟนทั้งสองรุ่นมาเปรียบเทียบสเปกและฟีเจอร์กันแบบหมัดต่อหมัดอีกเช่นเคย ทั้งสองรุ่นจะมีความแตกต่างกันอย่างไรเราไปดูกันเลยครับ

(คลิกเพื่อดูรูปใหญ่)

เปรียบเทียบ ดีไซน์ภายนอก

แม้ว่าการออกแบบของทั้งสองรุ่นจะยึดแนวคิดจอไร้ขอบเป็นหลัก แต่ก็มีเอกลักษณ์ต่างกันอย่างชัดเจน โดย iPhone Xs จะเป็นดีไซน์ไร้ขอบที่หน้าจอแสดงผลขยายออกไปจนชิดกับเฟรมของตัวเครื่องทั้ง 4 ด้าน แต่ด้านบนจะมีแถบเซ็นเซอร์ยื่นเข้ามา หรือที่เราเรียกกันว่า “รอยบาก” ซึ่งแถบเซ็นเซอร์นี้เป็นที่อยู่ของกล้องหน้าและเซ็นเซอร์สแกนใบหน้าแบบ 3 มิติ (Face ID) ในส่วนของตัวบอดี้เป็นงานประกอบแบบโลหะผสานกระจก ล้อมด้วยเฟรมสแตนเลสสตีลเงางาม พร้อมด้วยคุณสมบัติกันน้ำมาตรฐาน IP68 กันน้ำได้ลึกสุด 1.5 เมตร นาน 30 นาทีนอกจากนี้ฝาหลังที่เป็นกระจกยังทำให้ iPhone Xs รองรับระบบชาร์จแบตเตอรีไร้สายอีกด้วย

สำหรับ Samsung Galaxy Note 9 นั้นใช้ดีไซน์หน้าจอแบบ Infinity Display ที่มีขอบจอด้านบนและด้านล่างเหลืออยู่เล็กน้อย มีขอบโค้งซ้าย-ขวา และไม่มีแถบเซ็นเซอร์ใดๆ ยื่นเข้ามา จึงมีดีไซน์ที่ดูสมมาตรมากกว่า iPhone Xs ส่วนตัวเครื่องเป็นดีไซน์แบบโลหะผสานกระจกเช่นกัน แต่เฟรมจะเป็นวัสดุอลูมีเนียมที่มีผิวด้าน ให้ความรู้สึกที่แตกต่างจาก iPhone Xs ตัวเครื่องมีคุณสมบัติกันน้ำมาตรฐาน IP68 สามารถกันน้ำลึก 1.5 เมตรได้นาน 30 นาที และยังรองรับระบบชาร์จไร้สายได้ด้วยเช่นกัน

เปรียบเทียบ หน้าจอแสดงผล

iPhone Xs เลือกใช้หน้าจอแบบ OLED ขนาด 5.8 นิ้ว ความละเอียดระดับ 2436 x 1125 พิกเซลเช่นเดียวกับรุ่นที่แล้ว คุณสมบัติเฉพาะของหน้าจอ iPhone ตั้งแต่รุ่น 6s เป็นต้นมา จนมาถึง iPhone Xs คือเทคโนโลยีแยกแยะแรงสัมผัส 3D Touch ที่ตอบสนองการใช้งานได้หลายแบบตามแรงกดของผู้ใช้ และทำให้ผู้ใช้เข้าถึงฟังก์ชันบางอย่างได้อย่างรวดเร็ว

ขณะเดียวกัน Samsung Galaxy Note 8 เลือกใช้หน้าจอแบบ Super AMOLED ขนาด 6.3 นิ้ว พร้อมเสริมความแข็งแกร่งด้วยกระจก Gorilla Glass 5 เพื่อป้องกันความเสียหายจากการตกกระแทก นอกจากนี้ ยังมาพร้อมกับฟีเจอร์ Always On Display ที่สามารถแสดงวันที่ เวลา และการแจ้งเตือนแอปพลิเคชันต่างๆ ในเบื้องต้น ได้แม้ว่าผู้ใช้งานจะดับหน้าจอไปแล้ว ทำให้ไม่ต้องเปิดหน้าจอขึ้นมาบ่อยๆ เป็นการประหยัดแบตเตอรี่ไปด้วยในตัว

เปรียบเทียบ หน่วยประมวลผล, RAM, ROM

iPhone Xs มาพร้อมกับชิปเซ็ตรุ่นใหม่ล่าสุด Apple A12 Bionic ซึ่งมีประสิทธิภาพในการประมวลผลสูงกว่าชิปเซ็ต A11 ในรุ่นที่แล้วพอสมควร เพราะมีการเพิ่มหน่วยประมวลผล Neural Engine เข้ามาอีก 8 แกน และยังเป็นชิปเซ็ตรุ่นแรกๆ ของวงการที่ผลิตบนสถาปัตยากรรม 7 นาโนเมตรอีกด้วย โดยใน iPhone Xs ชิปเซ็ต A12 Bionic จะทำงานร่วมกับ RAM 4GB และมีหน่วยความจำภายในให้เลือก 3 ขนาด ประกอบด้วย 64GB, 256GB และ 512GB แต่ยังไม่รองรับหน่วยความจำเสริมแบบ microSD Card เช่นเดิม

สำหรับ Samsung Galaxy Note 9 นั้นมาพร้อมกับชิปเซ็ตตัวแรงอย่าง Octa-Core Exynos 9810 ซึ่งเป็นรุ่นท็อปสุดของ Samsung และผลิตบนสถาปัตยากรรม 10 นาโนเมตร โดยยังจับคู่มากับหน่วยความจำ RAM สูงสุด 8GB และ ROM สูงสุดถึง 512GB เช่นกัน แต่จะได้เปรียบกว่า iPhone Xs ตรงที่สามารถใส่การ์ด microSD เพิ่มหน่วยความจำได้อีก 256GB แต่ทั้งนี้ ความจุ 512GB ก็ถือว่ามากเกินพอสำหรับการใช้งานทั่วไปอยู่แล้ว หน่วยความจำเสริมจึงอาจไม่จำเป็นเท่าไหร่ครับ

อย่างไรก็ดี ถึงแม้ Samsung Galaxy Note 9 จะมีหน่วยความจำ RAM และ ROM สูงกว่า แต่ก็ยังฟันธงไม่ได้ว่าจะมีประสิทธิภาพการประมวลผลสูงกว่า เพราะประสิทธิภาพที่แท้จริงนั้นขึ้นอยู่กับปัจจัยอื่นๆ อีกหลายอย่างด้วยกัน จึงต้องรอดูผลทดสอบเชิงลึกของสมาร์ทโฟนทั้ง 2 รุ่นกันอีกทีครับ

เปรียบเทียบ กล้องดิจิทัล

กล้องดิจิทัลเป็นจุดขายสำคัญของทั้ง iPhone Xs และ Galaxy Note 9 โดยที่ทั้งสองรุ่นยังคงใช้ระบบกล้องคู่ด้านหลังและกล้องเดี่ยวด้านหน้าเช่นเดิม แต่จะมีเทคโนโลยีภายในที่ต่างกัน โดยกล้องคู่ของ iPhone Xs ประกอบด้วยเลนส์มุมกว้าง และเลนส์ทางลึก ความละเอียด 12 ล้านพิกเซลทั้งคู่ พร้อมระบบกันสั่นทั้งสองเลนส์ (Dual-OIS) โดยรวมยังมีคุณสมบัติเหมือนกับรุ่นที่แล้วไม่ว่าจะเป็นการถ่ายรูปบุคคล (Portrait) หรือการถ่ายวิดีโอความละเอียด 4K 60fps แต่จะอัปเกรดให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นด้วยพลังการประมวลผลของ Apple A12 Bionic ที่แรงกว่าเดิม และ Image Signal Processor (ISP) ตัวใหม่ และที่น่าสนใจคือสามารถบันทึกวิดีโอให้มีเสียงแบบสเตอริโอได้ด้วย

อีกด้านหนึ่ง กล้องคู่ของ Samsung Galaxy Note 9 ก็เป็นเลนส์มุมกว้างและเลนส์ทางลึกความละเอียด 12 ล้านพิกเซล พร้อมระบบ Dual OIS เช่นกัน และแน่นอนว่ายังรองรับการถ่ายภาพ Portrait ผ่านโหมด Live Focus อีกด้วย นับว่ามีคุณสมบัติใกล้เคียงกันมาก แต่ความพิเศษของกล้องคู่บน Galaxy Note 9 คือการปรับรูรับแสงได้ 2 ขนาดผ่านฟีเจอร์ Adaptive Aperture ซึ่งจะปรับให้เหมาะสมโดยอัตโนมัติตามสภาพแสง ช่วยให้ภาพไม่จ้า หรือมืดเกินไป ซึ่งหากจะเปรียบเทียบให้เห็นความแตกต่างชัดเจน คงต้องนำทั้งสองรุ่นมาทดสอบถ่ายภาพเปรียบเทียบกัน แต่หากดูจากสเปกและฟีเจอร์ นับว่าทั้งคู่อยู่ในระดับที่สูสีกันครับ

เปรียบเทียบฟีเจอร์การใช้งาน

ในส่วนของฟีเจอร์การใช้งานนั้น iPhone Xs และ Samsung Galaxy Note 9 มีความแตกต่างกันอย่างชัดเจน หากไม่นับการใช้งานทั่วไปอย่างการเล่น Facebook, ท่องเว็บ หรือเล่นเกมแล้ว Samsung Galaxy Note 9 น่าจะเหมาะกับการใช้งานในระดับธุรกิจ หรือการทำงานเอกสารมากกว่า เพราะมีปากกา S Pen ที่สามารถแก้ไขงาน เขียนโน้ต ทำพรีเซนเทชัน และอื่นๆ อีกหลายอย่าง และยังมี Galaxy Gifts เอาไว้แลกซื้อสินค้าหลายอย่างในราคาพิเศษ ซึ่งคุ้มค่าในระยะยาว ส่วน iPhone Xs นั้นน่าจะเหมาะกับการใช้งานทั่วไปและการเล่นเกมมากกว่า เพราะมาพร้อมกับเทคโนโลยี ARkit 2 และชิปเซ็ต A12 Bionic ที่แรงกว่าเก่า ทำให้รองรับเกมประเภท AR ได้ดียิ่งขึ้น ที่น่าสนใจคือมักจะมีเกมแนว AR และเกมชั้นดีมาวางจำหน่ายหรือดาวน์โหลดฟรีกันแบบ exclusive ใน Apple Store เท่านั้นอีกด้วย

ความแตกต่างอีกอย่างหนึ่งของ iPhone Xs และ Samsung Galaxy Note 9 คือฟังก์ชันการรักษาความปลอดภัย โดย iPhone Xs จะใช้ระบบสแกนใบหน้า 3 มิติ Face ID ที่ได้รับการปรับปรุงให้แม่นยำและสแกนได้รวดเร็วขึ้น มาใช้ในการยืนยันตัวตนผู้ใช้เพียงระบบเดียว ในขณะที่ Galaxy Note 9 มีทางเลือกให้มากกว่า คือมีทัังการสแกนลายนิ้วมือ, การสแกนม่านตา, การสแกนใบหน้า และ การสแกนใบหน้าพร้อมม่านตาซึ่งรัดกุมกว่าการสแกนใบหน้าหรือม่านตาเพียงอย่างเดียว ทำให้ผู้ใช้มีตัวเลือกในการยืนยันตัวตนหลายทาง  ซึ่งในจุดนี้คงขึ้นอยู่กับผู้ใช้ว่าสะดวกใช้งานแบบไหนมากกว่ากันครับ

-------------------------------------
บทความโดย : techmoblog.com

Update : 14/09/2018