เมื่อช่วงปีที่ผ่านมา ทาง มหาจักร ดีเวลอปเมนท์ จำกัด ได้นำลำโพงพกพาแบรนด์ JBL โฉมใหม่กว่า 10 รุ่น เข้ามาเปิดตัวและวางจำหน่ายในประเทศไทยอย่างเป็นทางการ ซึ่งหนึ่งในลำโพงพกพาที่น่าสนใจไม่ใช่น้อยนั่นก็คือ JBL Clip 2, JBL Flip 2 และ JBL Charge 3 เนื่องจากมาพร้อมกับสีสันสดใส พลังเสียงที่ดังกระหึ่ม พร้อมยกระดับการใช้งานด้วยมาตรฐานกันน้ำ IPX7 ซึ่งสามารถกันน้ำได้ลึกสุด 1 เมตร เป็นเวลานาน 30 นาที
ซึ่งเมื่อเร็วๆ นี้ ก็ได้มีการนำเข้ารุ่น Special Edition ของลำโพงพกพาทั้ง 3 รุ่นด้านต้น มาวางจำหน่ายในประเทศไทยด้วย โดยมาพร้อมกับจุดเด่นอย่างลวดลายการออกแบบที่แปลกตาไปจากของเดิม แต่ยังคงประสิทธิภาพการใช้งานเหมือนรุ่น Original เอาไว้แบบครบถ้วน โดยภายในวันนี้ทางทีมงาน techmoblog จะพาทุกท่านไปรับชมกันดูหน่อยว่า ลำโพงพกพา JBL Clip 2, JBL Flip 2 และ JBL Charge 3 จะมีจุดเด่นอย่างไร และมีฟีเจอร์เด็ดอะไรบ้าง หากพร้อมแล้ว เราไปติดตามพร้อมๆ กันเลยดีกว่าครับ
รีวิว JBL Clip 2 : ดีไซน์ และการออกแบบ
เริ่มต้นที่น้องเล็กสุดอย่าง JBL Clip 2 กันก่อน สำหรับ JBL Clip 2 ที่ทีมงานได้นำมารีวิวให้ชมในวันนี้เป็นลายพิเศษที่มีชื่อเรียกว่า “Squad” โดยรุ่นนี้ปรับตะขอเกี่ยวจากรุ่นเก่าให้เป็นโลหะเพื่อเสริมความทนทานมากยิ่งขึ้น ส่วนการออกแบบโดยรวมยังมาพร้อมกับดีไซน์ทรงกลมเช่นเดิม โดย JBL Clip 2 มีขนาดตัวเครื่องอยู่ที่ 141 x 94 x 42 มม. น้ำหนักรวม 184 กรัม ซึ่งถือว่าขนาดพอดีมือ ไม่ใหญ่จนเกินไป สามารถพกพาติดตัวอย่างง่ายดาย
ด้านซ้ายของตัวเครื่องมีปุ่มควบคุมต่างๆ ประกอบไปด้วย ปุ่มเพิ่มเสียง, ปุ่มรับสายโทรศัพท์ (ใช้งานเป็นปุ่มหยุด-เล่นเพลงด้วย) และปุ่มลดเสียง
ด้านขวาของตัวเครื่อง ประกอบด้วย ปุ่มเปิด-ปิด Bluetooth, พอร์ตเชื่อมต่อแบบ microUSB สำหรับชาร์จแบตเตอรี่เข้ากับตัวลำโพง และปุ่ม Power เปิด-ปิดเครื่อง
ส่วนที่ด้านหลังของตัวเครื่อง จะมีสายหูฟังแบบ 3.5 มม. ที่จัดเก็บมาให้อย่างเป็นระเบียบ ซึ่งผู้ใช้สามารถนำไปต่อเข้ากับสมาร์ทโฟน หรืออุปกรณ์อื่นที่ไม่มี Bluetooth ได้
คุณสมบัติของ JBL Clip 2
รีวิว JBL Flip 3 : ดีไซน์ และการออกแบบ
ข้ามมาที่ลำโพงแบบพกพาที่เน้นในเรื่องพลังเสียงกันบ้าง โดย JBL Flip 3 รุ่นพิเศษนี้มีชื่อเรียกว่า "Mosaic" โดยมาพร้อมกับจุดเด่นด้านงานออกแบบทรงกระบอก ขนาดใกล้เคียงขวดน้ำ พร้อมระบบ Dual Passive Raditors ที่ถูกติดตั้งอยู่บริเวณทั้ง 2 ด้านเพื่อช่วยขับเสียงเบสให้มีความชัดเจนยิ่งขึ้น โดยตัวเครื่องจะมีรูปร่างคล้ายกับพี่ใหญ่อย่าง JBL Charge 3 แต่ย่อส่วนให้มีขนาดเล็กกว่า พกพาสะดวกขึ้น และยังคงฟีเจอร์เด่นด้านพลังเสียง และความสามารถกันน้ำเอาไว้แบบครบถ้วน
มีเชือกร้อยเอาไว้ที่ด้านบน ทำให้หิ้วไปได้สบายๆ
ที่ด้านบนของตัวเครื่อง มีปุ่มควบคุมต่างๆ ประกอบด้วย ปุ่มพาวเวอร์เปิด-ปิดเครื่อง, ปุ่ม JBL Connect สำหรับเชื่อมต่อเข้ากับลำโพง JBL รุ่นอื่นที่รองรับ, ไฟแสดงสถานะแบบ LED, พอร์ตเชื่อมต่อแบบ microUSB สำหรับชาร์จแบตเตอรี่ให้ลำโพง และช่องเสียบหูฟังขนาด 3.5 มม.
ส่วนด้านล่าง จะมีปุ่มควบคุมอีกชุดหนึ่ง ได้แก่ ปุ่มเปิด-ปิด Bluetooth, ปุ่มลดเสียง, ปุ่มเพิ่มเสียง และปุ่มรับสายโทรศัพท์ (ใช้งานเป็นปุ่มเล่น-หยุดเพลงด้วย)
ส่วนด้านข้างตัวเครื่องจะเป็นจุดเด่นของรุ่นนี้นั่นก็คือ Dual Passive Radiators สำหรับขับเสียงเบส ซึ่งจุดนี้เองที่ช่วยให้ JBL Flip 2 สามารถเร่งพลังเบสให้มีน้ำหนัก และคมชัด
นอกจากนี้ JBL Flip 2 ยังมีไมโครโฟนติดตั้งมาให้ภายในตัว ทำให้ผู้ใช้สามารถสั่งการ Siri หรือ Google Now ด้วยการพูดใส่ลำโพงได้เลยทันที รวมทั้ง ยังสามารถพูดคุยโทรศัพท์ผ่านลำโพงได้ด้วย
คุณสมบัติของ JBL Flip 3
รีวิว JBL Charge 3 : ดีไซน์ และการออกแบบ
สำหรับลำโพง JBL Charge 3 นับว่าเป็นรุ่นต่อยอดจากรุ่น JBL Charge 2+ ที่เปิดตัวไปเมื่อช่วงปีที่ผ่านมา โดยยังคงยึดคุณสมบัติเด่นด้วยการกันน้ำตามมาตรฐาน IPX7 แต่ได้มีการปรับเปลี่ยนดีไซน์ตัวเครื่องให้มีความสวยงามมากยิ่งขึ้น โดยรุ่น Special Edition ที่ทางทีมงานได้รับมาวันนี้ เป็นลายที่มีชื่อว่า "Zap"
ด้านบนของตัวเครื่อง ประกอบไปด้วยปุ่มควบคุมการใช้งานต่างๆ ได้แก่ ปุ่มเปิด-ปิด Bluetooth, ปุ่มลดเสียง, ปุ่ม Power เปิด-ปิดเครื่อง, ปุ่ม JBL Connect สำหรับเชื่อมต่อกับลำโพง JBL รุ่นอื่นๆ ที่รองรับ, ปุ่มเพิ่มเสียง และปุ่มเล่น-หยุด
ด้านพอร์ตเชื่อมต่อก็จัดมาให้แบบครบครัน ประกอบด้วย ช่องหูฟังขนาด 3.5 มม. , พอร์ต microUSB สำหรับชาร์จไฟเข้าเครื่อง และพอร์ต USB Type-A
สำหรับด้านข้างของตัวเครื่องที่เป็นสีเงินนั้น คือระบบ Dual Passive Radiators ที่ช่วยขับเสียงเบส
โดยความพิเศษของ JBL Charge 3 นอกเหนือจากจะมาพร้อมกับตัวเครื่องไซส์ใหญ่ และคุณสมบัติกันน้ำแล้ว ยังมีจุดเด่นอีกหนึ่งอย่างนั่นก็คือ การเปลี่ยนร่างเป็น Powerbank เพื่อชาร์จแบตเตอรี่ให้แก่สมาร์ทโฟน ทำให้ไม่ต้องกังวลเรื่องแบตหมดระหว่างฟังเพลงได้ นอกจากนี้ ยังมีไมโครโฟนติดตั้งเอาไว้ภายในตัวเหมือนกับรุ่นน้อง JBL Flip 2 ทำให้ผู้ใช้งานสามารถพูดคุยโทรศัพท์ หรือสั่งการ Siri ผ่านการพูดใส่ลำโพงได้ด้วย
คุณสมบัติของ JBL Charge 3
ทดสอบการใช้งานเบื้องต้น
สำหรับการใช้งานลำโพงพกพา JBL ทั้ง 3 รุ่นถือว่าใช้งานง่ายพอสมควร โดยเริ่มแรกผู้ใช้จะต้องกดปุ่ม Power ก่อน หลังจากนั้นให้กดปุ่ม Bluetooth บนลำโพง 1 ครั้ง และเชื่อมต่อโทรศัพท์เข้ากับ Bluetooth ของลำโพง ซึ่งหากปุ่ม Power แสดงไฟสีขาว และมีเสียงดังขึ้น ถือว่าจับคู่เสร็จสิ้น พร้อมใช้งานครับ
อีกหนึ่งความพิเศษของ JBL Flip 3 และ JBL Charge 3 คือ ฟีเจอร์ JBL Connect ซึ่งจะช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถเชื่อมต่อลำโพงของ JBL เข้าหากันได้แบบไร้สาย เพื่อช่วยขยายเสียงให้ดังกระหึ่มมากยิ่งขึ้น โดยการใช้งานฟีเจอร์นี้ก็ไม่ยุ่งยาก เพียงแค่กดปุ่ม JBL Connect ของลำโพงทั้ง 2 ตัวที่เราต้องการเชื่อมเข้าหากัน ซึ่งหากจับคู่สำเร็จจะมีเสียงดังขึ้น พร้อมแสดงไฟสถานะสีขาวที่ปุ่ม JBL Connect ซึ่งจากที่ทีมงานทดสอบนั้น เสียงที่ออกมาจากลำโพงเมื่อใช้ฟีเจอร์ JBL Connect ไม่มีอาการดีเลย์ให้เห็น ซึ่งหากใครต้องการใช้งานในพื้นที่กว้าง แต่กลัวเสียงดังไม่ถึง ฟีเจอร์ดังกล่าวช่วยลบจุดอ่อนนี้ได้เป็นอย่างดี
อย่างที่กล่าวไปแล้วด้านต้นว่า ลำโพงพกพาทั้ง 3 รุ่นนี้ มาพร้อมกับความพิเศษด้วยคุณสมบัติกันน้ำตามมาตรฐาน IPX7 ซึ่งจากที่ทีมงานทดสอบก็พบว่า สามารถกันละอองน้ำได้เป็นอย่างดี โดยถึงแม้ว่าน้ำจะซึมเข้าบริเวณผ้าที่หุ้มลำโพงไปบ้าง แต่ผู้ใช้สามารถเช็ดออกได้อย่างง่ายๆ และนำไปใช้งานต่อได้ทันที ทำให้เหมาะแก่การนำไปใช้ฟังริมสระน้ำ หรือพกพาไปนอกสถานที่ได้แบบไม่ต้องเป็นห่วงครับ
บทสรุป
เรียกได้ว่าลำโพงพกพาทั้ง 3 รุ่นนี้สามารถตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของแต่ละบุคคลได้แตกต่างกันออกไป ซึ่งในภาพรวมแล้ว จุดเด่นของทั้ง 3 รุ่นอยู่ที่การเชื่อมต่อเข้ากับสมาร์ทโฟนได้อย่างง่ายดาย ไม่ต้องติดตั้งแอปพลิเคชันเสริมให้ยุงยาก ซึ่งหากใครที่ต้องการลำโพงตัวเล็กๆ เพื่อขยายเสียงจากสมาร์ทโฟนให้ดังขึ้น แต่ไม่อยากพกพาให้ยุ่งยาก JBL Clip 2 สามารถตอบโจทย์ในจุดนี้ได้เป็นอย่างดี เนื่องจากมาพร้อมขนาดกะทัดรัด และตะขอเกี่ยวนั่นเอง ด้านแนวเสียงของ JBL Clip 2 จะออกไปในแนว Flat ทำให้เหมาะกับการฟังเพลงหลากหลายแนว นอกจากนี้ ยังเหมาะกับการนำไปใช้ขยายเสียงให้แก่สมาร์ทโฟน หรือลำโพงแล็ปท็อปได้เป็นอย่างดี โดย JBL Clip 2 เปิดราคาในประทศไทยที่ 2,490 บาท
ส่วน JBL Flip 3 มาพร้อมกับความโดดเด่นด้านพลังเสียงที่ดังกระหึ่ม พร้อมเสียงเบสที่ชัดเป็นลูก ไม่ปรากฏอาการเบลอ หรือบวมให้เห็น ซึ่งน่าจะถูกอกถูกใจผู้ที่ชื่นชอบฟังเพลงที่เน้นเสียงเบสเช่น EDM พอสมควร อย่างไรก็ดี เสียงกลางของทั้ง 2 รุ่นค่อนข้างถอยไปซักนิด แต่คาดว่าน่าจะเข้าที่เข้าทางมากขึ้นหลังพ้นช่วงเบิร์น นอกจากนี้ยังมาพร้อมกับสีสันสดใส พร้อมดีไซน์ที่พาพาได้ง่าย ซึ่งน่าจะถูกอกถูกใจคุณสาวๆ ไม่ใช่น้อย โดย JBL Flip 3 เปิดราคาในประเทศไทยที่ 4,390 บาท
ด้าน JBL Charge 3 พี่ใหญ่สุดที่ทีมงานนำมารีวิวในวันนี้ มาพร้อมกับแนวเสียงที่ใกล้เคียงกับรุ่นเล็กอย่าง JBL Flip 2 แต่มีจุดแข็งที่พลังเสียงที่มีก้องกังวานกว่า และมีเสียงเบสที่มี impact กว่า นอกจากนี้ ยังสามารถนำไปใช้งานเป็น Powerbank เพื่อชาร์จแบตเตอร์รี่ให้แก่สมาร์ทโฟน และแท็ปเล็ตได้อีกด้วย ทำให้ไม่ต้องกังวลว่าสมาร์ทโฟนจะแบตหมดกลางทางระหว่างฟังเพลง โดย JBL Charge 3 เปิดราคาในประเทศไทยที่ 6,590 บาท ซึ่งผู้ที่สนใจสามารถหาซื้อลำโพง JBL ทั้ง 3 รุ่นได้ที่ร้านค้าชั้นนำทั่วไป หรือผ่านทางเว็บไซต์ mahajaklife ที่ลิงก์ด้านล่างครับ
https://www.mahajaklife.com/prd_list.php?brand=2&cate_id=60
---------------------------------------
บทความรีวิวโดย : techmoblog.com
Update : 13/03/2017
หน้าหลัก (Main) |
(สินค้า IT) ออกใหม่ |
|
FOLLOW US |