นอกเหนือจาก iOS 11 ที่เปิดตัวในงาน WWDC 2017 แล้ว ยังมีการเปิดตัว macOS เวอร์ชันใหม่สำหรับอุปกรณ์ตระกูล Mac อีกด้วย ซึ่งในปีนี้ macOS เวอร์ชันใหม่ มีชื่อว่า macOS High Sierra ซึ่งเป็นเวอร์ชันที่มาเติมเต็มเวอร์ชันเดิมอย่าง Sierra ให้สมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น โดยมาพร้อมกับเทคโนโลยีสุดล้ำ และปรับปรุงแอปฯ ยอดนิยมต่าง ๆ ให้ใช้งานได้ง่ายขึ้น และสะดวกขึ้นกว่าเดิม รวมไปถึงการใช้ความสามารถของ Machine Learning มาสร้างคอนเทนต์แบบ VR ที่สมจริงมากขึ้นบน Mac อีกด้วย
มาดูกันดีกว่าว่า macOS High Sierra มาพร้อมกับเทคโนโลยีใหม่ ๆ อะไรบ้าง
Apple File System (APFS)
- มาพร้อมกับประสิทธิภาพการทำงาน ความปลอดภัย และความเสถียรของข้อมูลที่ดียิ่งขึ้น
- ช่วยปกป้องข้อมูลเมื่อเกิดเหตุไฟฟ้าดับหรือระบบล่ม
- รักษาความปลอดภัยให้กับไฟล์ด้วยการเข้ารหัส
- ยังคงสามารถอ่านและเขียนข้อมูลกับไดรฟ์และข้อมูลที่ฟอร์แมตในรูปแบบเดิมอย่าง HFS ได้ราบรื่น
High-Efficiency Video Coding (HEVC)
- รองรับมาตรฐาน HEVC (H.265) ช่วยยกระดับคุณภาพการสตรีมและเล่นไฟล์วีดีโอระดับ 4K ให้ดีขึ้นกว่าเดิม
- ทำให้ไฟล์มีขนาดเล็กลงถึง 40% เมื่อเทียบกับมาตรฐาน H.264 ที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน
- สามารถสตรีมวีดีโอคุณภาพสูงได้ (จากเดิมทำได้เฉพาะระดับ HD)
Metal 2
- มาพร้อม API ที่ดียิ่งขึ้นและประสิทธิภาพการทำงานที่สูงกว่าเดิม ช่วยให้นักพัฒนาสามารถเพิ่มความเร็วให้กับแอปฯ ของตนเองได้
- รองรับการเรียนรู้ของระบบ ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่ใช้ในการรู้จำเสียงพูด, การประมวลผลภาษาอย่างเป็นธรรมชาติ และระบบภาพของคอมพิวเตอร์
- เมื่อรวม Thunderbolt 3 เข้ากับ Metal 2 ทำให้สามารถดึงประสิทธิภาพของ GPU ภายนอกมาใช้ได้
- External Graphics Developer Kit ทำให้นักพัฒนามีครบทุกอย่างที่จำเป็นทั้งฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์สำหรับปรับแต่งแอปฯ ให้ทำงานได้อย่างเต็มที่
Virtual Reality
ครั้งแรกบนระบบปฏิบัติการ macOS เมื่อ macOS High Sierra รองรับการสร้างคอนเทนต์ VR แล้ว โดยอาศัยประสิทธิภาพความแรงของ Metal 2 และฮาร์ดแวร์ล่าสุดของ Mac ทำให้สามารถสร้างเกม หรือคอนเทนต์แบบ 3D ได้อย่างสมจริงมากขึ้น โดยรองรับกับอุปกรณ์อื่น อย่างเช่น HTC Vive รวมไปถึงแอปพลิเคชันอย่าง Final Cut Pro X, SteamVR, Epic Unreal 4 Editor และ Unity Editor
Photos
- เพิ่มแถบด้านข้างสำหรับแสดงอัลบั้มและเครื่องมือจัดระเบียบ
- เมนู แก้ไข ออกแบบใหม่ พร้อมเครื่องมือใหม่อย่าง Curves สำหรับปรับแต่งสีสันและ contrast และ Selective Colour สำหรับเพิ่มสีสันให้กับสีใดสีหนึ่ง
- ใส่เอฟเฟกต์ให้กับ Live Photos ได้ (เหมือน iOS 11)
- รองรับแอปฯ ปรับแต่งภาพภายนอกแล้ว อย่างเช่น Photoshop, Pixelmator และอื่น ๆ
- สามารถสั่งพิมพ์ภาพจากบริการต่าง ๆ ได้ เช่น Animoto, ifolor, Shutterfly, WhiteWall และ Wix จากในแอปฯ Photos ได้ทันที
การปรับปรุงในด้านอื่น ๆ
- บน Safari เพิ่มฟีเจอร์ Intelligent Tracking Prevention หรือการป้องกันการติดตามในขั้นสูง โดยใช้การเรียนรู้ของระบบเพื่อระบุและลบข้อมูลการติดตามที่ผู้โฆษณาใช้ในการติดตามกิจกรรมการใช้เว็บของผู้ใช้
- Autoplay Blocking ปิดไม่ให้เล่นวีดีโออัตโนมัติบน Safari
- Reader โหมดตัวอ่านเปิดใช้อัตโนมัติ ในรูปแบบที่เรียบง่าย สะอาดตา
- Siri ปรับเสียงพูดให้เป็นธรรมชาติมากขึ้น และเรียนรู้ความชอบของผู้ใช้ขณะฟังเพลงบน Apple Music
- Spotlight แสดงข้อมูลสถานะเที่ยวบิน และแผนที่เส้นทางการบินของเที่ยวบินนั้น ๆ
- แชร์ไฟล์ที่เก็บไว้บน iCloud Drive ได้ง่ายขึ้นด้วยลิงก์ ผู้ที่ได้รับเชิญก็แค่คลิกลิงก์และเริ่มทำงานต่อได้เลย
- โน้ตไหนสำคัญ ใช้บ่อย สามารถปักหมุดให้อยู่ด้านบนสุดได้
- แอปฯ Notes สามารถใส่ตารางได้แล้ว
- อีเมล ค้นหาได้ง่ายขึ้น ด้วยการเพิ่มหมวดยอดนิยม แสดงอีเมลที่ถูกค้นหาบ่อย
macOS High Sierra เปิดให้ดาวน์โหลดเมื่อใด
สำหรับนักพัฒนา สามารถดาวน์โหลด macOS High Sierra เวอร์ชัน Beta ไปทดสอบได้แล้ววันนี้ที่ https://developer.apple.com และจะเปิดแบบ Public Beta ให้ผู้ใช้ Mac ได้ดาวน์โหลดในช่วงปลายเดือนมิถุนายนนี้ ก่อนจะเปิดให้อัปเดตฟรีผ่านทาง Mac App Store ภายในฤดูใบไม้ร่วงปีนี้ โดยอุปกรณ์ที่รองรับการอัปเดต macOS High Sierra ได้แก่
- MacBook Air, MacBook Pro, Mac mini และ Mac Pro รุ่นปี 2010 หรือสูงกว่า
- MacBook และ iMac รุ่น Late 2009 หรือสูงกว่า
---------------------------------------
ที่มา : apple.com
แปลและเรียบเรียง : techmoblog.com
Update : 06/06/2017
Apple
Macbook
macOS
WWDC 2017
IT
macOS High Sierra