หน้าแรก >> ข่าวทั้งหมด >> อ่านบทความ/ข่าว

จงเป็นส่วนหนึ่งในสิ่งที่ยิ่งใหญ่และมีความหมาย - สรุปสุนทรพจน์ของ Mark Zuckerberg ที่มหาวิทยาลัย Harvard

เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา Mark Zuckerberg ได้มีโอกาสกลับไปเยือนมหาวิทยาลัย Harvard ในฐานะวิทยากรรับเชิญเพื่อกล่าวสุนทรพจน์ให้กับเหล่าบัณฑิตจบใหม่ และเป็นผู้กล่าวสุนทรพจน์ที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ของ Harvard ข้อคิดที่เขานำมาแบ่งปันกับหนุ่มสาว Generation Y ที่กำลังจะออกไปสร้างอนาคตเหล่านี้คือ "การสร้างโลกที่ทุกคนสำนึกในเป้าหมาย"

แล้ว "การสำนึกในเป้าหมาย" (Sense of purpose) คืออะไร?

หลังจากที่ Facebook กลายเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ มีบริษัทอื่นๆ เข้ามาขอซื้อกิจการด้วยเงินมหาศาล ใครต่อใครต่างบอกเขาว่าถ้าไม่ขาย เขาจะต้องเสียใจไปตลอดชีวิต แต่สุดท้ายเขาก็ไม่ยอมขาย เพราะเขา “สำนึกในเป้าหมาย” อย่างชัดเจนแล้วว่า เขาอยากจะเข้าถึงผู้คนให้ได้มากกว่านี้ และสิ่งที่เขาทำอยู่จะเปลี่ยนวิธีที่ทุกๆ คนรู้จักโลกนี้ได้แน่นอน

หากเขาตัดสินใจขายบริษัทโดยไม่สำนึกในเป้าหมายที่เหนือกว่าก้อนเงิน Facebook คงไม่มีวันเกิดขึ้นจริงแน่นอน

แต่การที่คุณมีสำนึกในเป้าหมายอยู่คนเดียวนั้นมันยังไม่พอที่เปลี่ยนแปลงอะไรได้ คุณต้องทำให้คนอื่นสำนึกในเป้าหมายของพวกเขาด้วย เพื่อที่คุณ และทุกๆ คนบนโลกใบนี้จะได้ประสบความสำเร็จไปด้วยกัน ซึ่งมีอยู่ 3 วิธีที่เราจะทำได้ และต้องทำ

 

1. จงเป็นส่วนหนึ่งในสิ่งที่ยิ่งใหญ่และมีความหมาย

ครั้งหนึ่ง John F. Kenedy อดีตประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกา เคยไปเยือน NASA และเห็นภารโรงถือไม้กวาดเดินมา ท่านเลยถามเขาว่ากำลังทำอะไรอยู่ เขาตอบว่า “ท่านประธานาธิบดีครับ ผมกำลังช่วยส่งคนขึ้นไปบนดวงจันทร์อยู่”

คนกว่า 3 แสนคนรวมถึงภารโรงคนนั้น ทำงานร่วมกันเพื่อที่จะส่งคนๆ เดียวขึ้นไปเหยียบดวงจันทร์ ภารกิจที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้ไม่ได้มอบแค่ “เป้าหมาย” แก่พวกเขา แต่มันทำให้คนทั้งประเทศมีสำนึกและภูมิใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ มันคือความรู้สึกเหมือนการได้ทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่ให้สำเร็จไปด้วยกัน และไม่มีใครไม่เป็นที่ต้องการ

แล้วเราจะริเริ่มสิ่งใหม่ที่ยิ่งใหญ่และมีความหมายเช่นนี้ได้อย่างไร? แน่นอนว่าการเริ่มต้นไม่ใช่เรื่องง่าย การจะต่อยอดจนประสบความสำเร็จยิ่งไม่ง่าย แต่ความจริงก็คือ ไม่มีใครหรอกที่จะทำสำเร็จตั้งแต่แรก ไอเดียทุกอย่างต้องผ่านการลองผิดลองถูก และมันจะชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ เมื่อคุณทำงานกับมัน สิ่งที่คุณต้องทำมีเพียงอย่างเดียวคือ “เริ่มลงมือ”

เมื่อเราลงมือทำอะไรสักอย่างหนึ่งที่ยิ่งใหญ่ จะต้องมีใครสักคนหาว่าคุณบ้า และวิพากษ์วิจารณ์สารพัด ไม่ใช่เรื่องที่ต้องกังวล เพราะมันจะมีคนแบบนี้มาคอยถ่วงคุณเสมอเป็นธรรมดา

นอกจากคนที่คอยถ่วงคุณด้วยวาจา อุปสรรคหนึ่งที่ทำให้คน Gen Y อย่างเราไม่กล้าริเริ่มสิ่งใหม่ คือค่านิยมที่ปลูกฝังให้เรากลัวความล้มเหลว ทั้งที่ความจริงแล้วไม่ว่าคุณจะทำอะไรก็ตามมันก็มีผลพวงตามมาในอนาคตทั้งนั้น ไม่ว่าจะทำเรื่องเล็กหรือใหญ่ ดีหรือไม่ดี ความผิดพลาดเป็นเรื่องธรรมดา เป็นเพียงบันไดก้าวหนึ่งที่คุณต้องเหยียบมันขึ้นไปสู่จุดสูงสุด กว่าจะมาเป็น Facebook ในวันนี้ Mark เคยสร้างเกม สร้างระบบแชท ทำสื่อการเรียน และทำเครื่องเล่นดนตรีมาก่อน J.K. Rowling ถูกปฏิเสธถึง 12 ครั้งก่อนจะได้ตีพิมพ์หนังสือ Harry Potter แม้กระทั่ง Beyonce ยังต้องทำเพลงเป็นร้อยๆ เพลงกว่าจะกลายเป็นดาวเด่นในวงการอย่างทุกวันนี้ได้

ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ล้วนเกิดจากการที่เรามีอิสระในการทำพลาดซ้ำๆ ได้ เราต้องลองผิดลองถูกจนกว่าจะไปถึงจุดนั้น แต่สังคมของเราในตอนนี้กลับสนใจแต่ความสำเร็จมากเกินไป โดยที่ไม่เปิดโอกาสให้เราทดลองทำสิ่งใหม่ได้ง่ายๆ และลองผิดลองถูกกับมันเลย

เพราะฉะนั้น เรามาทำการใหญ่กัน มาทำให้อนาคตที่ว่านี้เกิดขึ้นจริงกันดีกว่า เพื่อที่ทุกคนจะได้มีบทบาทที่มีความหมาย และเป็นส่วนหนึ่งของความสำเร็จอันใหญ่ยิ่ง

การเป็นส่วนหนึ่งของสิ่งที่มีความหมายนี้เอง คือขั้นแรกในการสร้างโลกใหม่ โลกที่ทุกๆ คนสำนึกในจุดมุ่งหมายของตนอย่างเต็มล้น

 

2. กำหนด “ความเท่าเทียม” ให้ทุกคนไล่ตามจุดมุ่งหมายได้อย่างอิสระ

ไอเดียอย่างเดียวไม่พอที่จะทำให้คุณประสบความสำเร็จ คุณต้อง “โชคดี” ด้วย เพราะการไล่ตามจุดมุ่งหมายต้องเอาตัวเข้าแลกเสมอ ในขณะที่ทุกคนมีต้นทุนชีวิตไม่เท่ากัน คนจำนวนมากไม่มีต้นทุนมากพอที่จะทำตามความฝันได้ เพราะพวกเขาไม่มีฟูกมารองรับเมื่อเขาล้มเหลว ซึ่งมันไม่ยุติธรรมเอาเสียเลย ดังนั้นสิ่งที่คน Gen Y ต้องทำ คือการสร้างความเท่าเทียมให้เกิดขึ้นในสังคม


Mark และภรรยาร่วมกันก่อตั้งมูลนิธิ Chan Zuckerberg Initiative เพื่อมอบโอกาสให้แก่เด็กๆ ทั่วโลก

การมอบโอกาสให้ผู้อื่นเพื่อสร้างความเท่าเทียมไม่จำเป็นต้องเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่เสมอไป เงินจำนวนเพียงเล็กน้อย หรือการอุทิศเวลาส่วนตัวของคุณสัก 1-2 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ก็เพียงพอที่จะช่วยเหลือผู้อื่นให้มีศักยภาพมากขึ้นได้แล้ว

Mark เองเคยถูกภรรยาคะยั้นคะยอให้ไปเป็นครูสอนหนังสืออยู่พักหนึ่ง ทีแรกเขาก็ปฏิเสธไปเพราะมีงานในบริษัทอยู่แล้ว แต่สุดท้ายก็ทนเสียงรบเร้าของภรรยาไม่ไหว จนในที่สุดเขาต้องไปเป็นครูสอนหนังสือวิชาผู้ประกอบการในโรงเรียนท้องถิ่นแห่งหนึ่ง

Mark สอนนักเรียนเรื่องการพัฒนาสินค้าและการทำการตลาด ในขณะเดียวกัน นักเรียนก็สอนเขาเรื่องความรู้สึกของคนที่ตกเป็นเป้าการเหยียดชาติพันธุ์ และถูกดูหมิ่นเพราะมีคนในครอบครัวติดคุก Mark เล่าประสบการณ์ในวัยเรียน ในขณะที่เด็กๆ เหล่านั้น ฝันว่าสักวันหนึ่งจะได้เข้าวิทยาลัยเหมือนคนอื่นบ้าง ตลอด 5 ปีที่เขาสอนอยู่ที่นั่น เขาทานข้าวเย็นกับเด็กๆ ทุกเดือน และในที่สุดเด็กๆ พวกนั้นก็ได้เข้าเรียนในวิทยาลัย เป็นรุ่นแรกของครอบครัวที่ได้เรียนหนังสือถึงขั้นนี้ เขาเปลี่ยนชีวิตเด็กๆ ได้ พร้อมกับได้เรียนรู้มุมมองใหม่ๆ มากมาย

เรามีเวลาช่วยเหลือผู้อื่นเสมอ เพื่อให้พวกเขามีอิสระที่จะไล่ตามเป้าหมายของตัวเองได้อย่างทัดเทียมกัน และเมื่อเขาเหล่านั้นเปลี่ยนความฝันอันยิ่งใหญ่ให้เป็นความจริงได้ ผลดีก็จะตกอยู่เรา และคนอื่นๆ ด้วยเช่นกัน

 

3. เริ่มสร้างชุมชนที่ “สำนึกในเป้าหมาย” ไปด้วยกัน

สำหรับคน Gen Y คำว่า “ทุกคน”หมายถึง “ทุกคนบนโลก” ดังนั้นหากพูดถึง “ชุมชน” ก็ต้องเป็น “ชุมชนระดับโลก” เช่นกัน

โอกาสที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของคน Gen Y คือระดับโลก และปัญหาที่เราต้องเผชิญนั้นมีความท้าทายยิ่งกว่ายุุคก่อนๆ ลำพังเพียงแค่คนกลุ่มเดียว ประเทศเดียว ไม่อาจเอาชนะสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงไปหรือโรคร้ายต่างๆ ได้ เราจึงต้องร่วมมือกันในทุกระดับชั้นอย่างไม่แบ่งแยก ไม่ใช่แค่การจับมือกันระหว่างเมือง หรือร่วมมือกันในระดับประเทศ แต่เป็นการรวมเป็นหนึ่งเดียวกันของทุกหน่วยชุมชนทั่วทั้งโลกใบนี้

อย่างไรก็ดี กระบวนการโลกาภิวัตน์ทำให้หลายคนบนโลกนี้ถูกทิ้งไว้ข้างหลัง การให้ความช่วยเหลือพวกเขาเหล่านั้นคงจะเป็นเรื่องยาก หากเรายังรู้สึกไม่ดีเวลาอยู่ในบ้านและสังคมของเราเอง ดังนั้นสิ่งแรกที่เราต้องทำก่อนที่จะเปลี่ยนแปลงโลกใบนี้ คือเริ่มสร้างชุมชนที่ “สำนึกในเป้าหมายของตนเอง” ในที่ที่คุณอยู่ ที่นี่ เดี๋ยวนี้

เราทุกคนล้วนมีความหมายต่อชุมชนที่เราอยู่ ไม่ว่าสังคมของคุณจะเป็นบ้าน หรือทีมกีฬา อะไรก็ตามเหล่านี้ล้วนทำให้คุณตระหนักได้ว่า คุณเป็นส่วนหนึ่งของสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่า และทำให้เราเข้มแข็งจนก้าวข้ามขีดจำกัดของตัวเองได้

 

ชมสุนทรพจน์ฉบับเต็มได้ด้านล่าง

“คุณเห็นความเปลี่ยนแปลงของโลกที่ชัดเจนจนคุณแน่ใจว่าต้องมีใครสักคนไปเปลี่ยนมันแน่ๆ แต่ไม่เลย คุณนั่นแหละที่จะต้องไปเปลี่ยนมัน” - Mark Zuckerberg

 

--------------------------------
ที่มา : Global News

บทความโดย : techmoblog.com

Update : 01/06/2017

Inspire





Cookie Consent

Our website uses cookies to provide your browsing experience and relavent informations.Before continuing to use our website, you agree & accept of our Cookie Policy & Privacy