วางจำหน่ายในไทยอย่างเป็นทางการแล้ว สำหรับ Samsung Galaxy A6 และ Samsung Galaxy A6+ สมาร์ทโฟนน้องใหม่ในตระกูล Galaxy A ที่เคาะราคาในไทยได้อย่างน่าสนใจเลยทีเดียว โดยจุดเด่นของทั้ง Samsung Galaxy A6 l A6+ ก็คือ ดีไซน์จอแบบ Full Front Display อัตราส่วน 18:5:9, ไฟแฟลชที่กล้องด้านหน้าแบบ 3-Step Lightning ปรับความสว่างได้ 3 ระดับ, รองรับเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือและการสแกนใบหน้า นอกจากนี้ ยังรองรับ Bixby ผู้ช่วยอัจฉริยะจาก Samsung อีกด้วย เรียกได้ว่า คุณสมบัติเบื้องต้นนั้น ไม่แพ้รุ่นเรือธงกันเลยทีเดียว
แม้ว่าคุณสมบัติโดยรวมของทั้ง Samsung Galaxy A6 และ Galaxy A6+ นั้น จะค่อนข้างใกล้เคียงกัน แต่ Samsung Galaxy A6+ จะมีความพิเศษกว่าในหลาย ๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็น ขนาดหน้าจอแสดงผล, ความละเอียดของหน้าจอแสดงผล, ชิปเซ็ต, หน่วยความจำ RAM, กล้องถ่ายรูป รวมถึงขนาดแบตเตอรี่ ที่มีประสิทธิภาพเหนือกว่า Samsung Galaxy A6 ซึ่งกล้องด้านหลังบน Samsung Galaxy A6+ นั้น เป็นกล้องคู่ (Dual-Camera) พร้อมรองรับฟีเจอร์ Live Focus สำหรับถ่ายภาพแบบหน้าชัดหลังเบลอ รวมถึงฟีเจอร์ Art Bokeh แบบเดียวกับมือถือเรือธงของค่ายอย่าง Samsung Galaxy S9+ อีกด้วย
สำหรับราคาของ Samsung Galaxy A6 ในไทย อยู่ที่ 8,900 บาท ส่วน Samsung Galaxy A6+ นั้น อยู่ที่ 10,900 บาท เรียกได้ว่า เปิดราคามาได้อย่างน่าสนใจเมื่อเทียบกับสเปกและฟีเจอร์ต่าง ๆ ซึ่งทั้ง Samsung Galaxy A6 l A6+ จะมีความคุ้มค่าสมราคาค่าตัวหรือไม่ วันนี้เป็นโอกาสอันดีที่ทีมงาน techmoblog จะมารีวิว Samsung Galaxy A6 l A6+ ให้ชมกัน มาพิสูจน์ไปพร้อม ๆ กันครับ
สำหรับ Samsung Galaxy A6-Series ทั้ง Samsung Galaxy A6 กับ Samsung Galaxy A6+ จะใช้ดีไซน์หน้าจอแบบเดียวกับ Samsung Galaxy A8 ที่มีอัตราส่วนหน้าจออยู่ที่ 18:5:9 ซึ่งทาง Samsung เรียกหน้าจอแบบนี้ว่า Full Front Display แตกต่างจากหน้าจอ Infinity Display บนรุ่นเรือธงอย่าง Samsung Galaxy S9 ตรงที่ไม่ใช่หน้าจอแบบขอบโค้งนั่นเอง
ด้านบนของหน้าจอแสดงผล ประกอบด้วย กล้องด้านหน้า ความละเอียด 16 ล้านพิกเซล รูรับแสง F/1.9, ลำโพงสำหรับสนทนา, เซ็นเซอร์ต่าง ๆ และไฟแฟลชที่สามารถปรับความสว่างได้ 3 ระดับ ส่วนกล้องด้านหน้าบน Samsung Galaxy A6+ จะมีความละเอียดอยู่ที่ 24 ล้านพิกเซล
ด้านล่างของตัวเครื่องจะเป็นแถบควบคุมการทำงานแบบสัมผัส (On-Screen) ประกอบด้วย ปุ่ม Recent Apps, ปุ่ม Home และปุ่มย้อนกลับ
ด้านขวาของตัวเครื่อง ประกอบด้วย ปุ่ม Power สำหรับเปิด-ปิดตัวเครื่อง หรือล็อกหน้าจอแสดงผล และลำโพงเสียง ส่วนด้านซ้ายของตัวเครื่อง ประกอบด้วย ปุ่มปรับระดับเสียง, ถาดใส่ซิมการ์ดที่ 1, ถาดใส่ซิมการ์ดที่ 2 และ microSD Card รองรับสูงสุด 256 GB ซึ่งสามารถใส่ซิมการ์ดที่ 1, 2 และ microSD Card ได้พร้อมกัน
ด้านบนตัวเครื่องไม่มีปุ่มหรือพอร์ตใด ๆ ส่วนด้านล่างตัวเครื่อง ประกอบด้วย พอร์ตการเชื่อมต่อแบบ microUSB, ไมโครโฟน และช่องหูฟังขนาดมาตรฐาน 3.5 มิลลิเมตร
โดยทั้ง Samsung Galaxy A6 และ Samsung Galaxy A6+ ใช้วัสดุตัวเครื่องแบบ Metal Unibody ที่ให้ความรู้สึกแข็งแกร่งขณะจับถือ ด้านบนและด้านล่างเป็นเส้นเสาสัญญาณ โดย Samsung Galaxy A6 เป็นกล้องเดี่ยว ความละเอียด 16 ล้านพิกเซล ส่วน Samsung Galaxy A6+ เป็นกล้องคู่ ความละเอียด 16+5 ล้านพิกเซล ซึ่งทั้ง 2 รุ่นมาพร้อมกับไฟแฟลชแบบ LED และเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือที่ด้านล่างตัวกล้อง
ถึงแม้ว่า Samsung Galaxy A6+ จะมีดีไซน์เหมือนกับ Samsung Galaxy A6 แต่ก็มีสเปกบางอย่างที่แตกต่างออกไป สรุปได้ทั้งหมด 7 ข้อด้วยกัน รายละเอียดดังนี้
ทั้ง Samsung Galaxy A6 และ Galaxy A6+ ทำงานบนระบบปฏิบัติการ Android 8.0 (Oreo) และอินเทอร์เฟส Samsung Experience เวอร์ชัน 9.0
สามารถเลือกปรับเปลี่ยนรูปแบบการใช้งานได้ตามความต้องการ ไม่ว่าจะเป็น วอลเปเปอร์, ธีม, Widget รวมถึงการตั้งค่าหน้าจอ Home Screen
การปัดจากบนลงล่าง จะเป็นส่วนของ Notification Center รวมการแจ้งเตือนต่าง ๆ และ Toggle Switch หรือคีย์ลัดตั้งค่าการใช้งานในตัวเครื่อง ไม่ว่าจะเป็น Wi-Fi, Bluetooth, Airplance Mode, ไฟฉาย และอื่น ๆ
Samsung Galaxy A6 และ Samsung Galaxy A6+ มาพร้อมกับการปลดล็อกด้วยการสแกนใบหน้า และสามารถปลดล็อกด้วยการสแกนลายนิ้วมือที่ด้านหลังตัวเครื่องได้ นอกจากนี้ ระบบสแกนลายนิ้วมือนอกจากจะใช้ปลดล็อกตัวเครื่องแล้ว ยังสามารถใช้ในการล็อกอินเข้าสู่เว็บไซต์และแอปพลิเคชันอื่นได้อีกด้วย
รองรับ Multi Window หรือการเปิด 2 แอปพลิเคชันพร้อมกันในหน้าจอเดียว
Dual Messenger รองรับการใช้งาน 2 บัญชีแยกกันในแอปฯ เดียว อย่างเช่น Facebook หรือ LINE เป็นต้น
ถึงแม้ว่าตัวบอดี้ของ Samsung Galaxy A6 กับ Samsung Galaxy A6+ จะไม่มีปุ่ม Bixby มาให้แบบรุ่นเรือธง แต่ตัวระบบก็มีการติดตั้ง Bixby มาให้ใช้งานเช่นกัน นอกจากนี้ ยังรองรับ Bixby Vision ด้วยการนำกล้องไปส่องวัตถุที่ต้องการค้นหาข้อมูล ระบบก็จะปรากฏข้อมูลที่ต้องการมาให้อัตโนมัติ
สำหรับแอปพลิเคชันและบริการต่าง ๆ จากทั้งของ Samsung, Google รวมถึง Microsoft ถูกติดตั้งมาให้พร้อมใช้งานแล้วในตัวเครื่อง ไม่จำเป็นต้องดาวน์โหลดเพิ่มเติมแต่อย่างใด
นอกจากนี้ ทั้ง Samsung Galaxy A6 กับ Samsung Galaxy A6+ ยังมีวิทยุ FM ในตัว โดยจะต้องเชื่อมต่อหูฟังเสียก่อนจึงจะสามารถใช้งานได้
Always On Display ฟีเจอร์แสดงวัน, เวลา, เปอร์เซ็นต์ของแบตเตอรี่ รวมถึงการแจ้งเตือนต่าง ๆ แบบเรียลไทม์โดยที่ผู้ใช้ไม่ต้องปลดล็อกตัวเครื่องก่อน ซึ่งฟีเจอร์นี้ไม่สิ้นเปลืองพลังงานแบตเตอรี่อีกด้วย
ทดสอบประสิทธิภาพตัวเครื่องกับการเล่นเกมอย่าง PUBG Mobile กันบ้าง ซึ่งทั้ง Samsung Galaxy A6 มาพร้อมกับชิปเซ็ต Exynos 7870 แบบ Octa-Core Processor ความเร็ว 1.6 GHz และหน่วยความจำ RAM ขนาด 3 GB ส่วน Samsung Galaxy A6+ มาพร้อมกับชิปเซ็ต Qualcomm Snapdragon 450 แบบ Octa-Core Processor ความเร็ว 1.8 GHz และหน่วยความจำ RAM ขนาด 4 GB จากการทดสอบพบว่า ทั้ง 2 รุ่นเล่นเกมได้อย่างลื่นไหล โดย Samsung Galaxy A6+ จะสะดวกในการเล่นเกมมากกว่า เนื่องจากหน้าจอมีขนาดใหญ่กว่านั่นเอง
สำหรับการทดสอบ Benchmark ด้วยโปรแกรม Geekbench 4 บน Samsung Galaxy A6 ทำได้ 722 คะแนน และ 3,531 คะแนน สำหรับการทดสอบแบบ Single-Core กับ Multi-Core ตามลำดับ ส่วนการทดสอบด้วยโปรแกรม AnTuTu ทำได้ 62,866 คะแนน
ส่วน Samsung Galaxy A6+ เมื่อทำการทดสอบด้วยโปรแกรม Geekbench 4 ทำได้ 747 คะแนน และ 3,901 คะแนน สำหรับการทดสอบแบบ Single-Core กับ Multi-Core ตามลำดับ ส่วนการทดสอบด้วยโปรแกรม AnTuTu ทำได้ 69,478 คะแนน ซึ่งได้คะแนนมากกว่า Samsung Galaxy A6 เนื่องจาก Galaxy A6+ มีสเปกดีกว่านั่นเอง
ส่วนระบบมัลติทัช รองรับที่ 10 จุดทั้ง 2 รุ่น
ในส่วนของกล้องถ่ายรูปด้านหน้านั้น ทั้ง Samsung Galaxy A6 กับ Samsung Galaxy A6+ มาพร้อมกับไฟแฟลช LED ที่กล้องด้านหน้า ที่สามารถปรับความสว่างได้ 3 ระดับ รองรับการถ่ายภาพในที่แสงน้อย โดย Samsung Galaxy A6 มาพร้อมกับกล้องด้านหน้า ความละเอียด 24 ล้านพิกเซล ส่วน Samsung Galaxy A6 มาพร้อมกับกล้องด้านหน้า ความละเอียด 16 ล้านพิกเซล รูรับแสง F/1.9 ทั้ง 2 รุ่น
สำหรับโหมดการถ่ายภาพสำหรับกล้องด้านหน้านั้น มีให้เลือก 3 โหมดด้วยกัน ได้แก่ ถ่ายภาพตนเอง, ถ่ายภาพตนเองมุมกว้าง และเสียง & ช็อต โดยโหมดถ่ายภาพตนเอง สามารถปรับสีผิว, หน้าเพรียว และตาโต ได้สูงสุดที่ 8 ระดับ
นอกจากนี้ ทั้ง 2 รุ่น ยังมีโหมด Focus Selfie สำหรับถ่ายภาพแบบหน้าชัดหลังเบลอ พร้อมกับปรับความเรียบเนียนของผิว และสีผิวได้สูงสุด 8 ระดับเช่นกัน
เพิ่มลูกเล่นให้กับภาพถ่ายด้วย สติกเกอร์ ที่มีให้เลือกหลายแบบ
สำหรับกล้องด้านหลังบน Samsung Galaxy A6 ความละเอียดอยู่ที่ 16 ล้านพิกเซล ส่วน Samsung Galaxy A6+ จะเป็นกล้องคู่ ความละเอียด 16+5 ล้านพิกเซล โดยทั้ง 2 รุ่นมีโหมดการถ่ายภาพเหมือนกัน ซึ่งได้แก่ อัตโนมัติ, โปร, Panorama, ถ่ายต่อเนื่อง, กลางคืน และอื่น ๆ นอกจากนี้ ยังสามารถใส่ฟิลเตอร์ให้กับภาพถ่ายได้
สำหรับ Samsung Galaxy A6+ จะมีโหมด Live Focus ถ่ายภาพแบบหน้าชัดหลังเบลอที่กล้องด้านหลังด้วยเช่นกัน ซึ่งสามารถปรับความเบลอของฉากหลังได้ในภายหลัง แต่บน Samsung Galaxy A6 จะไม่มีโหมดดังกล่าวที่กล้องด้านหลัง
นอกจากนี้ ยังสามารถตั้งค่าถ่ายภาพได้หลายส่วนด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็น ขนาดรูปภาพ, ขนาดวิดีโอ, จับเวลา, แท็กสถานที่, จุดตัดเก้าช่อง และอื่น ๆ
ตัวอย่างภาพถ่ายด้วยกล้องด้านหน้าบน Galaxy A6+ โหมดเซลฟี่
ตัวอย่างภาพถ่ายด้วยกล้องด้านหน้าบน Galaxy A6+ โหมด Live Focus
ตัวอย่างภาพถ่ายด้วยกล้องด้านหน้าบน Galaxy A6+ โหมดสติกเกอร์
ตัวอย่างภาพถ่ายด้วยกล้องด้านหลังบน Galaxy A6+ โหมดอัตโนมัติ
ตัวอย่างภาพถ่ายด้วยกล้องด้านหลังบน Galaxy A6+ โหมดอัตโนมัติ
ตัวอย่างภาพถ่ายด้วยกล้องด้านหลังบน Galaxy A6+ โหมดอัตโนมัติ
ตัวอย่างภาพถ่ายด้วยกล้องด้านหลังบน Galaxy A6+ โหมด Live Focus
ตัวอย่างภาพถ่ายด้วยกล้องด้านหลังบน Galaxy A6+ โหมด Live Focus
ตัวอย่างภาพถ่ายด้วยกล้องด้านหลังบน Galaxy A6+ โหมด Live Focus
ตัวอย่างภาพถ่ายด้วยกล้องด้านหลังบน Galaxy A6+ โหมด Live Focus
ถึงแม้ว่า ทั้ง Samsung Galaxy A6 และ Samsung Galaxy A6+ จะมีคุณสมบัติที่จัดอยู่ในกลุ่มสมาร์ทโฟนระดับกลาง แต่จากการทดสอบใช้งานข้างต้น จะเห็นว่าได้มีการติดตั้งคุณสมบัติบางอย่างที่มีในรุ่นเรือธงมาไว้ในสมาร์ทโฟนทั้ง 2 รุ่นนี้เช่นกัน ไม่ว่าจะเป็น ดีไซน์ตัวเครื่องแบบ Full Front Display ในอัตราส่วน 18:5:9, ฟังก์ชันการสแกนใบหน้า รวมถึงโหมดการถ่ายภาพหน้าชัดหลังเบลอ (Live Focus) ซึ่งจุดเด่นของรุ่นนี้ก็คือ ไฟแฟลชที่กล้องด้านหน้า สามารถปรับความสว่างได้ถึง 3 ระดับตามการใช้งาน ทำให้สามารถถ่ายภาพในที่แสงน้อยได้อย่างไม่มีปัญหา
สำหรับ Samsung Galaxy A6+ นั้น มีความพิเศษกว่า Samsung Galaxy A6 ในหลาย ๆ ด้านด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็น หน้าจอแสดงผลขนาดใหญ่กว่าถึง 6.0 นิ้ว ความละเอียด 2220 x 1080 พิกเซล, หน่วยความจำ RAM ขนาด 4 GB, แบตเตอรี่ขนาด 3,500 mAh นอกจากนี้ กล้องด้านหลังยังเป็นกล้องคู่ (Dual-Camera) ความละเอียด 16+5 ล้านพิกเซล รองรับฟังก์ชัน Live Focus สำหรับถ่ายภาพแบบหน้าชัดหลังเบลอ ในขณะที่ Samsung Galaxy A6 กล้องด้านหลังเป็นกล้องเดี่ยว ความละเอียด 16 ล้านพิกเซล ไม่รองรับฟังก์ชัน Live Focus
ในส่วนของกล้องด้านหน้านั้น Samsung Galaxy A6+ มีความละเอียดถึง 24 ล้านพิกเซล ในขณะที่กล้องด้านหน้าบน Samsung Galaxy A6 อยู่ที่ 16 ล้านพิกเซล ซึ่งทั้ง 2 รุ่นสามารถปรับความเนียนของผิวได้สูงสุด 8 ระดับ อีกทั้งยังรองรับฟังก์ชัน Live Focus ทั้ง 2 รุ่นอีกด้วย
ส่วนคุณสมบัติอื่น ๆ บน Samsung Galaxy A6 และ Samsung Galaxy A6+ ได้แก่ รองรับฟังก์ชัน Always On Display, ฟังก์ชัน Dual Messenger รองรับการใช้งาน 2 บัญชีแยกกันในแอปฯ เดียว, ฟังก์ชัน Multi Window หรือการเปิด 2 แอปพลิเคชันพร้อมกันในหน้าจอเดียว, รองรับ Bixby ผู้ช่วยอัจฉริยะ และรองรับการใช้งาน 2 ซิมการ์ด ที่สามารถใช้งานทั้งซิมการ์ดที่ 1, ซิมการ์ดที่ 2 และ microUSB ได้พร้อมกัน
สำหรับราคาของ Samsung Galaxy A6 อยู่ที่ 8,900 บาท มีให้เลือก 2 สี ได้แก่ สีดำ และสีทอง ส่วน Samsung Galaxy A6+ อยู่ที่ 10,900 บาท มีให้เลือก 2 สี ได้แก่ สีดำ และสีน้ำเงิน โดยทั้ง 2 รุ่นวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการแล้ววันนี้ สามารถหาซื้อได้ผ่านทาง Samsung Brand Shop หรือร้านตัวแทนจำหน่ายทั่วประเทศ
จุดเด่นของ Samsung Galaxy A6 และ Samsung Galaxy A6+
จุดที่ต้องพิจารณาเพิ่มเติม
ข้อควรทราบ : เครื่อง Samsung Galaxy A6 และ Samsung Galaxy A6+ ในบทความรีวิวนี้ เป็นเพียงเครื่องทดสอบเท่านั้น คุณสมบัติบางอย่างอาจยังไม่สมบูรณ์ 100% และอาจไม่ตรงกับตัวเครื่องที่วางจำหน่ายจริง
------------------------------------
บทความรีวิวโดย : techmoblog.com
Update : 05/06/2018
หน้าหลัก (Main) |
(สินค้า IT) ออกใหม่ |
|
FOLLOW US |