ถ้าหากพูดถึง สมาร์ทวอช (Smartwatch) จากแบรนด์ Samsung หลาย ๆ ท่านจะต้องคุ้นเคยกับซีรี่ส์ Galaxy Watch กันอย่างแน่นอน ซึ่งในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ทาง Samsung ได้เปิดตัว Samsung Galaxy Watch-Series มาแล้วหลายต่อหลายรุ่น และในปีนี้ถือว่าเป็นครั้งแรกที่ทาง Samsung มาลุยตลาด สมาร์ทแบนด์ (Smartband) กันบ้าง กับการเปิดตัวสายรัดข้อมือ Samsung Galaxy Fit ในงาน UNPACKED เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา และล่าสุด Samsung Galaxy Fit ได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการแล้วในประเทศไทย พร้อมกับรุ่นราคาประหยัดอย่าง Samsung Galaxy Fit e
สำหรับ Samsung Galaxy Fit นั้น ถือว่าเป็นอุปกรณ์ในกลุ่ม Wearable จาก Samsung ที่มีขนาดเล็ก, น้ำหนักเบา และกันน้ำได้ อีกทั้งยังเปิดตัวด้วยราคาสุดประหยัด แต่อัดแน่นด้วยคุณสมบัติด้านสุขภาพและการออกกำลังกายแบบครบครันกันเลยทีเดียว โดย Samsung Galaxy Fit นั้น มาพร้อมกับจอสัมผัสขนาด 0.95 นิ้ว แบบ Full Color AMOLED ความละเอียด 120 x 240 พิกเซล และคุณสมบัติในการป้องกันน้ำที่ระดับ 5ATM (50 เมตร) สามารถใส่ว่ายน้ำหรือใส่อาบน้ำได้เลยโดยไม่ต้องถอดออก อีกทั้งยังมีความทนทานเกรด MIL-STD-810G ซึ่งเป็นมาตรฐานทางการทหารของสหรัฐฯ อีกด้วย
ด้านการประมวลผลนั้น มาพร้อมกับชิปเซ็ต MCU Cortex M33F 96MHz / M0+ 16MHz, หน่วยความจำ RAM ขนาด 2 MB, หน่วยความจำ ROM ขนาด 32 MB และแบตเตอรี่ขนาดความจุ 120 mAh ที่ทาง Samsung เผยว่า สามารถสแตนบายด์ได้ยาวนานถึง 7 วันต่อการชาร์จ 1 ครั้ง นอกจากนี้ ยังรองรับการเชื่อมต่อแบบไร้สายกับสมาร์ทโฟน ทั้งมือถือ Android และ iPhone ผ่านทาง Bluetooth เวอร์ชัน 5.0 รวมถึงตั้งค่าการใช้งานต่าง ๆ ได้ผ่านทางแอปพลิเคชัน Galaxy Wearable และ Samsung Health ที่สามารถดาวน์โหลดได้ฟรีทั้งบน Android และ iOS
ขึ้นชื่อว่าเป็นสายรัดข้อมือเพื่อสุขภาพ อีกหนึ่งฟังก์ชันที่ขาดไม่ได้ นั่นก็คือ รูปแบบของการออกกำลังกายต่าง ๆ ที่ Samsung Galaxy Fit มีให้เลือกมากกว่า 90 รูปแบบ อีกทั้งยังสามารถตรวจวัดอัตราการเต้นของหัวใจ, ความดันโลหิต, แคลอรี่, ระดับความเครียด รวมถึงติดตามพฤติกรรมการนอนหลับ เรียกได้ว่า ฟังก์ชันทั้งหมดนี้ทำให้ Samsung Galaxy Fit ถือว่าเป็นอุปกรณ์ที่เกิดมาเพื่อสายรักสุขภาพและการออกกำลังกายอย่างแท้จริง
มาดูกันดีกว่าว่า สายรัดข้อมือเพื่อสุขภาพน้องใหม่รุ่นนี้ จะมีดีไซน์เป็นอย่างไร และตอบโจทย์การใช้งานได้ครอบคลุมแค่ไหน มาพิสูจน์ไปพร้อม ๆ กันกับ รีวิว Samsung Galaxy Fit และ Samsung Galaxy Fit e โดยทีมงาน techmoblog.com
สำหรับแพ็กเกจของ Samsung Galaxy Fit มีขนาดกะทัดรัด ข้างกล่องระบุคุณสมบัติเบื้องต้น ซึ่งได้แก่ ระบบตรวจจับการออกกำลังกาย, แบตเตอรี่ใช้งานได้ยาวนาน และสามารถใส่ว่ายน้ำได้ โดย Samsung Galaxy Fit มาพร้อมกับคุณสมบัติในการป้องกันน้ำที่ระดับ 5ATM สามารถใส่ลงน้ำลึกสูงสุดที่ 50 เมตร
Samsung Galaxy Fit รุ่นที่นำมารีวิวในวันนี้ เป็นตัวเรือนสีเงิน สายรัดข้อมือสีขาว โดยมีขนาดตัวเครื่องอยู่ที่ 18.3 x 45.1 x 11.2 มิลลิเมตร และน้ำหนักเบาเพียง 23 กรัมเท่านั้น ส่วนหน้าจอเป็นแบบสัมผัสขนาด 0.95 นิ้ว แบบ Full Color AMOLED ความละเอียด 120 x 240 พิกเซล
สำหรับสายรัดข้อมือเป็นซิลิโคนที่มีความนุ่มและยืดหยุ่น สามารถปรับได้หลายระดับ และถอดออกได้ ซึ่งวิธีการถอดสายออกก็ไม่ยุ่งยาก เพียงแค่กดที่สลักแล้วผลักลง
ด้านซ้ายของตัวเรือน เป็นปุ่ม Power สำหรับเปิด-ปิดตัวเครื่อง, เปิด-ปิดหน้าจอ หรือกดเพื่อกลับมาหน้าก่อนหน้า ส่วนด้านขวาของตัวเรือน ไม่มีปุ่มควบคุมการทำงานใด ๆ
ด้านหลังตัวเครื่อง ประกอบด้วย เซ็นเซอร์ตรวจจับอัตราการเต้นของหัวใจ (Heart Rate Monitor : HRM), Accelerometer Sensor และ Gyroscope ส่วนภายในเป็นแบตเตอรี่ขนาด 120 mAh
ด้านแท่นชาร์จของ Samsung Galaxy Fit ที่ให้มาในชุดจำหน่ายมาตรฐานนั้น เป็นแท่นชาร์จแบบแม่เหล็ก (NFC Wireless) ซึ่งชาร์จได้ง่ายเพียงแค่วางตัวเรือนบนแท่นชาร์จเท่านั้น โดยการชาร์จเต็ม 100% จะใช้เวลาราว ๆ 2 ชั่วโมง
นอกเหนือจาก Samsung Galaxy Fit แล้ว ในซีรี่ส์นี้ยังมีรุ่นราคาประหยัดเปิดตัวอีกรุ่น ในชื่อ Samsung Galaxy Fit e ซึ่งถือว่า มีดีไซน์โดยรวมที่ใกล้เคียงกันมาก แต่เมื่อนำทั้ง 2 รุ่นมาเปรียบเทียบกัน จะเห็นว่า Samsung Galaxy Fit จะเป็นหน้าจอสี, มีขนาดตัวเรือนที่ใหญ่กว่า และเป็นกรอบแบบอะลูมิเนียม ในขณะที่ Samsung Galaxy Fit e จะเป็นหน้าจอแบบขาวดำ และกรอบเป็นวัสดุโพลีคาร์บอเนต ซึ่ง Samsung Galaxy Fit e จะมีน้ำหนักเบากว่า
Samsung Galaxy Fit e จะไม่มีปุ่ม Power ที่ด้านข้างตัวเครื่องเหมือนกับ Samsung Galaxy Fit โดย Samsung Galaxy Fit e จะทำงานแบบอัตโนมัติ ไม่สามารถสั่งการใด ๆ ผ่านทางตัวเรือนได้ ซึ่งจะใช้การเคาะบนหน้าจอเพื่อดูการแสดงผลต่าง ๆ เท่านั้น เช่น จำนวนก้าวเดิน, อัตราการเต้นของหัวใจ, การนอนหลับ เป็นต้น
สำหรับสายนาฬิกานั้น จะเป็นวัสดุซิลิโคนเหมือนกันทั้ง 2 รุ่น แต่ตรงสายรัดของ Samsung Galaxy Fit e จะเป็นพลาสติก
ด้านหลังตัวเครื่องของทั้ง 2 รุ่น รองรับเซ็นเซอร์ตรวจจับอัตราการเต้นของหัวใจ และ Accelerometer Sensor ซึ่งบน Samsung Galaxy Fit e จะมีขั้วสำหรับชาร์จแบตเตอรี่ปรากฏอยู่
Samsung Galaxy Fit มาพร้อมกับหน้าจอสีแบบสัมผัส ซึ่งสามารถเปลี่ยนดีไซน์ของหน้าปัดได้หลากหลายรูปแบบผ่านทางแอปพลิเคชัน Galaxy Wearable สามารถดาวน์โหลดมาใช้งานได้ฟรีทั้งบน Android และ iOS
การปัดจอจากบนลงล่าง จะเข้าสู่โหมด Quick Panel ซึ่งประกอบด้วย การปรับความสว่างของหน้าจอแสดงผล, โหมด Do Not Disturb (ปิดเสียงและการแจ้งเตือนต่าง ๆ), เปิด-ปิดโหมดล็อกกันน้ำ (Water Lock Mode), ค้นหาสมาร์ทโฟนที่เชื่อมต่อกับ Galaxy Fit, เปิด-ปิดโหมดสั่น และ Goodnight Mode แจ้งเตือนแบบสั่นในขณะนอนหลับ
สำหรับโหมดล็อกกันน้ำ (Water Lock Mode) เมื่อเปิดใช้งานโหมดดังกล่าวแล้ว ตัวเครื่องจะไม่สามารถสั่งการด้วยการสัมผัสได้อีกจนกว่าจะปิดโหมดดังกล่าว ซึ่งการปิดโหมดนี้ ให้กดค้างที่ปุ่ม Power ด้านข้างตัวเรือน
ส่วนการปัดจากซ้ายไปขวา จะเข้าสู่ Widget ต่าง ๆ ที่ได้เลือกเอาไว้ เช่น จำนวนก้าวเดิน, อัตราการเต้นของหัวใจ, ปริมาณแคลอรี่ที่เผาผลาญไป, รูปแบบของการออกกำลังกาย, ระดับความเครียด, ตรวจจับการนอนหลับ, สภาพอากาศ และอื่น ๆ ซึ่ง Widget เหล่านี้สามารถเลือกเปลี่ยนได้ผ่านทางแอปฯ Galaxy Wearable
เมื่อมีสายเรียกเข้า ก็จะมีการแจ้งเตือนไปยัง Samsung Galaxy Fit ด้วยเช่นกัน
มาดูที่แอปพลิเคชันกันบ้าง อย่างที่กล่าวไว้ในตอนต้นว่า Samsung Galaxy Fit รองรับการเชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟนผ่านทาง Bluetooth และสามารถตั้งค่าการใช้งานต่าง ๆ ผ่านทางแอปพลิเคชันที่มีชื่อว่า Galaxy Wearable ที่สามารถดาวน์โหลดมาใช้งานได้ฟรีทั้งบน Android และ iOS ซึ่ง Samsung Galaxy Fit ไม่ได้จำกัดการใช้งานร่วมกับมือถือ Samsung เพียงแค่แบรนด์เดียว แต่รองรับการใช้งานร่วมกับมือถือ Android แบรนด์อื่น ๆ ด้วยเช่นกัน ซึ่งมีข้อจำกัดก็คือ จะต้องเป็นมือถือ Android ที่ทำงานบนระบบปฏิบัติการ Android 5.0 (Lollipop) ขึ้นไป และมีหน่วยความจำ RAM ขนาด 1.5 GB ขึ้นไป ส่วนบน iPhone รองรับบน iPhone 5 ขึ้นไป และทำงานบนระบบปฏิบัติการ iOS 9 ขึ้นไป
เมื่อทำการดาวน์โหลดและติดตั้งแอปพลิเคชัน Galaxy Wearable เรียบร้อยแล้ว ขั้นตอนถัดมาก็คือ การจับคู่สมาร์ทโฟนกับ Samsung Galaxy Fit กับ ด้วยการเลือกอุปกรณ์ที่ต้องการเชื่อมต่อ ในที่นี้ก็คือ Galaxy Fit จากนั้นทำตามขั้นตอนที่ปรากฏเป็นอันเสร็จสิ้น
แอปพลิเคชัน Galaxy Wearable สามารถตั้งค่าการทำงานบน Samsung Galaxy Fit ได้หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น ตรวจสอบปริมาณแบตเตอรี่ที่เหลืออยู่, การปลุก, สภาพอากาศ, การตอบกลับด่วน, การแจ้งเตือน, Widget, ระบบสั่น, จอภาพ, การ backup และสามารถเลือกหน้าปัดนาฬิกาได้ผ่านทางแอปพลิเคชันเช่นกัน ซึ่งจะเห็นว่า มีให้เลือกมากมายหลายรูปแบบเลยทีเดียว
สำหรับการแจ้งเตือน สามารถเลือกแอปพลิเคชันที่ต้องการให้แจ้งเตือนบน Galaxy Fit ได้ ทั้ง Facebook, Gmail, LINE, สายเรียกเข้า และอื่น ๆ
สามารถเลือกเพิ่ม Widget ให้แสดงบน Galaxy Fit ได้ ไม่ว่าจะเป็น ปริมาณคาเฟอีนที่ดื่มในแต่ละวัน, ปฏิทิน, อัตราการเต้นของหัวใจ, แคลอรี่ที่เผาผลาญไป, จำนวนก้าวเดิน และอื่น ๆ
สามารถเลือกปรับความสว่างของหน้าจอ และหมดเวลาหน้าจอได้ (7 วินาที, 10 วินาที, 15 วินาที, 30 วินาที, 1 นาที และ 5 นาที)
สามารถตั้งค่าการใช้งานขั้นสูงได้ เช่น กดปุ่มด้านข้างค้างไว้, ท่าทางในการปลุก, โหมดห้ามรบกวน, โหมด Goodnight รวมถึงสามารถเปิดใช้งานโหมดล็อกกันน้ำได้ผ่านแอปฯ แต่การปิดโหมดล็อกกันน้ำ จะต้องทำบน Galaxy Fit เท่านั้น
นอกจากนี้ ยังสามารถอัปเดตซอฟท์แวร์ของ Galaxy Fit ผ่านทางแอปพลิเคชัน Galaxy Wearable ได้เช่นกัน
นอกเหนือจาก Galaxy Wearable แล้ว อีกหนึ่งแอปพลิเคชันที่ต้องใช้งานร่วมกับ Samsung Galaxy Fit นั่นก็คือ Samsung Health แอปพลิเคชันด้านสุขภาพที่ผู้ใช้มือถือ Samsung คุ้นเคยกันดีอยู่แล้วนั่นเอง ซึ่งแอปพลิเคชันนี้จะทำการ sync ข้อมูลทั้งหมดจาก Galaxy Fit ไปยังสมาร์ทโฟน พร้อมกับสรุปข้อมูลในด้านต่าง ๆ ให้ผู้ใช้ได้รับทราบว่า การออกกำลังกายในแต่ละวัน มากเกินไปหรือน้อยเกินไปหรือไม่
นอกจากนี้ ยังมีตัวเลือกการออกกำลังกายให้เลือกมากมายกว่า 90 รูปแบบเลยทีเดียว
จากการทดสอบใช้งานในข้างต้น คงจะสรุปได้ว่า Samsung Galaxy Fit เป็นสายรัดข้อมือที่ออกแบบมาเพื่อคนรักสุขภาพและการออกกำลังกายโดยเฉพาะเลยก็ว่าได้ ด้วยดีไซน์ที่มีขนาดกะทัดรัด น้ำหนักเบาเพียง 23 กรัม และหน้าจอสีแบบสัมผัสขนาด 0.95 นิ้ว แบบ Full Color AMOLED ความละเอียด 120 x 240 พิกเซล อีกทั้งยังสามารถสวมใส่ว่ายน้ำได้ ด้วยคุณสมบัติในการป้องกันน้ำที่มาตรฐาน 5ATM ที่ระดับลึกสุด 50 เมตร พร้อมโหมดล็อกกันน้ำ (Water Lock Mode) ป้องกันการโต้ตอบที่ไม่ได้ตั้งใจเมื่ออยู่ใต้น้ำ
Samsung Galaxy Fit ตอบสนองต่อการใช้งานต่าง ๆ ด้วยชิปเซ็ต MCU Cortex M33F 96MHz / M0+ 16MHz, หน่วยความจำ RAM ขนาด 2 MB, หน่วยความจำ ROM ขนาด 32 MB และแบตเตอรี่ขนาดความจุ 120 mAh ที่ทาง Samsung เผยว่า สามารถสแตนบายด์ได้ยาวนานถึง 7 วันต่อการชาร์จ 1 ครั้ง อีกทั้งตัวเครื่องยังมีการติดตั้งเซ็นเซอร์สำหรับตรวจวัดอัตราการเต้นของหัวใจ รวมถึงวัดความดันโลหิต, แคลอรี่, ระดับความเครียด, พฤติกรรมการนอนหลับ และยังรองรับรูปแบบของการออกกำลังกายต่าง ๆ ที่มีให้เลือกมากกว่า 90 รูปแบบเลยทีเดียว
นอกจากนี้ Samsung Galaxy Fit ยังรองรับการเชื่อมต่อแบบไร้สายกับสมาร์ทโฟน ทั้งมือถือ Android และ iPhone ผ่านทาง Bluetooth เวอร์ชัน 5.0 ซึ่งรองรับการใช้งานร่วมกับมือถือ Android ทุกแบรนด์ที่ทำงานบนระบบปฏิบัติการ Android 5.0 (Lollipop) ขึ้นไป และมีหน่วยความจำ RAM ขนาด 1.5 GB ขึ้นไป ส่วนบน iPhone รองรับบน iPhone 5 ขึ้นไป และทำงานบนระบบปฏิบัติการ iOS 9 ขึ้นไป โดยสามารถตั้งค่าการใช้งานต่าง ๆ ได้ผ่านทางแอปพลิเคชัน Galaxy Wearable และ Samsung Health ที่สามารถดาวน์โหลดได้ฟรีทั้งบน Android และ iOS
โดย Samsung Galaxy Fit เคาะราคาในไทยที่ 3,290 บาท ตัวเรือนมีให้เลือก 2 สี ได้แก่ สีดำ และสีเงิน เตรียมวางจำหน่ายในไทยในวันที่ 11 กรกฏาคม 2019 นี้ ส่วนรุ่นราคาประหยัดอย่าง Samsung Galaxy Fit e เคาะราคาในไทยที่ 1,290 บาท โดยผู้ที่สนใจสามารถทดลองใช้งานกันได้ที่ Samsung Brand Shop ทุกสาขา
จุดเด่นของ Samsung Galaxy Fit
จุดที่ต้องพิจารณาเพิ่มเติม
ข้อควรทราบ : เครื่อง Samsung Galaxy Fit ในบทความรีวิวนี้ เป็นเพียงเครื่องทดสอบเท่านั้น คุณสมบัติบางอย่างอาจยังไม่สมบูรณ์ 100% และอาจไม่ตรงกับตัวเครื่องที่วางจำหน่ายจริง
---------------------------------------
บทความรีวิวโดย : techmoblog.com
Update : 19/08/2019
หน้าหลัก (Main) |
(สินค้า IT) ออกใหม่ |
|
FOLLOW US |