นับตั้งแต่การเปิดตัวของ Samsung Galaxy S10 l S10+ ซึ่งเป็นสมาร์ทโฟนตัวท็อปในช่วงต้นปี 2019 ที่ผ่านมา ที่ถือว่าได้รวมนวัตกรรมและฟีเจอร์ใหม่ ๆ ของวงการสมาร์ทโฟนมาใส่ไว้ในรุ่นนี้เกือบทั้งหมด ทำให้สมาร์ทโฟนเรือธงที่ดีที่สุดของค่าย Samsung Galaxy Note 10 และ Samsung Galaxy Note 10+ ที่เพิ่งเปิดตัวเมื่อไม่นานมานี้ ถูกจับตามองเป็นพิเศษว่า นอกเหนือจากการประมวลผลอันทรงพลังแล้ว ยังมีจุดเด่นใดอีกบ้างที่ทำให้ Samsung Galaxy Note 10 และ Galaxy Note 10+ นี้ เป็นสมาร์ทโฟนรุ่นที่สมการรอคอยมานานนับปี
โดยในปีนี้ถือว่าเป็นปีที่พิเศษอย่างมากสำหรับ Samsung Galaxy Note-Series เพราะเป็นปีแรกที่มีการเปิดตัวสมาร์ทโฟนในซีรี่ส์นี้ถึง 2 รุ่น นั่นก็คือ Samsung Galaxy Note 10 หน้าจอ 6.3 นิ้ว และ Samsung Galaxy Note 10+ หน้าจอ 6.8 นิ้ว ซึ่งทั้ง 2 รุ่นมาพร้อมกับดีไซน์แบบ Cinematic Infinity-O Display หรือดีไซน์หน้าจอเจาะรูสำหรับกล้องด้านหน้าแบบ Punch-Hole เหมือนกับ Samsung Galaxy S10 แต่ต่างกันตรงที่ Samsung Galaxy Note 10 และ Galaxy Note 10+ ขยับตำแหน่งกล้องมาไว้ตรงกลาง และเป็นกล้องตัวเดียว ความละเอียด 10 ล้านพิกเซล (F/2.2) ในขณะที่ Samsung Galaxy S10+ เป็นกล้องคู่หน้า
สำหรับกล้องด้านหลังของ Samsung Galaxy Note 10 และ Galaxy Note 10+ แม้จะเป็นดีไซน์กล้องแบบแนวตั้งเหมือนกัน แต่ต่างกันตรงที่ Samsung Galaxy Note 10 มีกล้องด้านหลัง 3 ตัว ส่วน Samsung Galaxy Note 10+ มีกล้องด้านหลัง 4 ตัว ซึ่งกล้อง 3 ตัวแรกนั้นมีสเปกเหมือนกันทั้ง 2 รุ่น ประกอบด้วย เลนส์ Wide-Angle ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล (F/1.5-F/2.4), เลนส์ Ultra Wide มุมกว้าง 123 องศา ความละเอียด 16 ล้านพิกเซล (F/2.2) และเลนส์ Telephoto ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล (F/2.1) ส่วนเลนส์ตัวที่ 4 ที่มีเฉพาะรุ่น Samsung Galaxy Note 10+ นั่นก็คือ Depth Vision Camera ความละเอียดระดับ VGA สำหรับวัดระยะชัดลึก
อีกหนึ่งฟีเจอร์ที่ถือว่า เป็นไฮไลท์สำคัญบน Samsung Galaxy Note 10 l Note 10+ นั่นก็คือ ปากกา S Pen นั่นเอง ซึ่งเวอร์ชันนี้ได้รับการพัฒนาให้ดีขึ้นเมื่อเทียบกับปากกา S Pen บน Samsung Galaxy Note 9 ด้วยการเพิ่มฟีเจอร์ใหม่ที่มีชื่อว่า Air Action ควบคุมหรือสั่งงานด้วยท่าทาง เช่น หมุนปากกาตามเข็ม-ทวนเข็มนาฬิกา เพื่อซูมภาพเข้า-ออก หรือตวัดปากกาขึ้น-ลง เพื่อเพิ่มเสียง-ลดเสียง เป็นต้น, สะดวกต่อการใช้งานมากขึ้น ด้วยฟีเจอร์แปลงลายมือให้เป็นตัวพิมพ์ ที่สามารถคัดลอกและส่งต่อได้ทันที, AR Doodle ฟีเจอร์สำหรับสายโซเชียลด้วยการวาดภาพ 3 มิติผ่านปากกา S Pen ซึ่งสามารถถ่ายเป็นคลิปวิดีโอสั้น ๆ และโพสต์ลงโซเชียลได้เลย รวมถึง Screen Off Memo ฟีเจอร์ที่สาวก Galaxy Note คุ้นเคย กับการขีดเขียนผ่านหน้าจอได้ทันทีแม้ว่าหน้าจอจะดับอยู่ แต่เวอร์ชันนี้อัปเกรดด้วยการเพิ่มสีปากกามาให้เลือกถึง 5 สี
ในด้านการประมวลผลนั้น ทั้ง 2 รุ่นมาพร้อมกับชิปเซ็ต Exynos 9825 รุ่นใหม่ล่าสุด โดย Samsung Galaxy Note 10 มีให้เลือกรุ่นเดียว นั่นก็คือ RAM 8 GB + ROM 256 GB ส่วน Samsung Galaxy Note 10+ มีให้เลือก 2 รุ่นย่อย ได้แก่ RAM 12 GB + ROM 256 GB กับ RAM 12 GB + ROM 512 GB ซึ่งรองรับการใช้งาน 2 ซิมการ์ดเหมือนกันทั้ง 2 รุ่น
นอกจากนี้ ทั้ง 2 รุ่นยังรองรับระบบชาร์จเร็ว ซึ่ง Samsung Galaxy Note 10+ รองรับระบบชาร์จเร็วสูงสุดที่ 45W ในขณะที่ Samsung Galaxy Note 10 รองรับระบบชาร์จเร็วที่ 25W แต่สายชาร์จและ Adapter ที่ให้มาในกล่องผลิตภัณฑ์ของทั้ง 2 รุ่น รองรับสูงสุดที่ 25W ซึ่งถ้าหากผู้ใช้ต้องการระบบชาร์จเร็วขนาด 45W จะต้องซื้ออุปกรณ์เสริมแยกต่างหาก
มาชมกันดีกว่าว่า มือถือเรือธงป้ายแดงนี้ จะคุ้มค่าสมการรอคอยหรือไม่ กับรีวิว Samsung Galaxy Note 10 l Note 10+ โดยทีมงาน techmoblog.com
Samsung Galaxy Note 10 และ Galaxy Note 10+ มาพร้อมกับดีไซน์หน้าจอที่เรียกว่า Cinematic Infinity-O Display แบบไร้ขอบ พร้อมขนาดตัวเครื่องที่บางลง จับได้ถนัดมือมากขึ้น
โดยขนาดหน้าจอของ Samsung Galaxy Note 10 อยู่ที่ 6.3 นิ้ว ความละเอียด 2280 x 1080 พิกเซล ส่วน Samsung Galaxy Note 10+ จะมีขนาดหน้าจอใหญ่กว่าที่ 6.8 นิ้ว ความละเอียด 3040 x 1440 พิกเซล ซึ่งทั้ง 2 รุ่นมาพร้อมกับเทคโนโลยีหน้าจอแบบ Dynamic AMOLED, รองรับระบบ HDR10+ และ Dynamic Tone Mapping อีกทั้งยังได้รับการรับรองจากสถาบัน VDE Germany ด้วยขอบเขตสีกว้าง 100% ในช่วงสี DCI-P3 ซึ่งจะไม่ลดทอนคุณภาพของภาพและสีที่ปรากฏบนหน้าจอ ส่วนระดับความสว่างของหน้าจอสามารถให้ความสว่างสูงสุดถึง 1,200 nits เลยทีเดียว
นอกจากนี้ หน้าจอแสดงผลบน Samsung Galaxy Note 10 และ Galaxy Note 10+ ยังรองรับฟีเจอร์ลดแสงสีฟ้าที่เป็นอันตรายในระดับพิกเซล โดยไม่ทำให้การแสดงผลของสีบนหน้าจอลดลง อีกทั้งยังผ่านการรับรองจากสถาบัน TUV Rheinland อีกด้วย
ด้านบนของหน้าจอแสดงผล ถูกเจาะรูตรงกลางสำหรับกล้องด้านหน้า ความละเอียด 10 ล้านพิกเซล ซึ่งมีขนาดรูที่เล็กกว่า Samsung Galaxy S10 เรือธงที่เปิดตัวเมื่อช่วงต้นปี และติดตั้งลำโพงสำหรับสนทนาชิดขอบบน ส่วนด้านล่างของหน้าจอแสดงผล เป็นปุ่มควบคุมการทำงานแบบสัมผัสบนหน้าจอ ซึ่งประกอบด้วย ปุ่ม Recent Apps, ปุ่ม Home และปุ่มย้อนกลับ พร้อมรองรับการสแกนลายนิ้วมือใต้จอแบบ Ultrasonic ที่มีความปลอดภัยและความแม่นยำสูงกว่าระบบการสแกนนิ้วใต้จอแบบทั่ว ๆ ไป
ทั้ง Samsung Galaxy Note 10 และ Galaxy Note 10+ มาพร้อมกับตัวเครื่องบางเฉียบเพียง 7.9 มิลลิเมตร และเปลี่ยนตำแหน่งของปุ่มกดด้านข้างตัวเครื่องใหม่ ซึ่งปกติ ปุ่ม Power กับปุ่มปรับระดับเสียงจะอยู่ที่ด้านขวาตัวเครื่อง แต่บน Samsung Galaxy Note 10 และ Galaxy Note 10+ ได้ย้ายปุ่มดังกล่าวไปไว้ด้านซ้ายตัวเครื่องแทน พร้อมกับตัดปุ่ม Bixby ออกไป ซึ่งใครที่เคยใช้งานมือถือ Samsung มาก่อน อาจจะยังไม่คุ้นชินกับการใช้งาน
ด้านบนของตัวเครื่อง ประกอบด้วย ช่องใส่ซิมการ์ด, ลำโพงเสียง และไมโครโฟน ซึ่งทั้ง 2 รุ่นรองรับการใช้งาน 2 ซิมการ์ดแบบ nanoSIM แต่แตกต่างกันตรงที่ Samsung Galaxy Note 10 จะไม่รองรับ microSD Card ในขณะที่ถาดใส่ซิมการ์ดของ Samsung Galaxy Note 10+ จะเป็นแบบ Hybrid Slot ต้องเลือกระหว่างซิมการ์ดที่ 2 กับ microSD Card ไม่สามารถใส่และใช้งานพร้อมกันได้
ด้านล่างของตัวเครื่อง ประกอบด้วยช่องเสียบปากกา S Pen, ลำโพงเสียง, พอร์ต USB-C และไมโครโฟน ซึ่ง Samsung Galaxy Note 10 และ Galaxy Note 10+ ไม่มีช่องสำหรับหูฟังขนาด 3.5 มิลลิเมตรแล้ว โดยหูฟังจาก AKG ที่แถมมาให้ในกล่องผลิตภัณฑ์ จะเป็นพอร์ต USB-C ไม่ต้องหาตัวแปลงมาพ่วงต่ออีก
สำหรับความแตกต่างระหว่าง Samsung Galaxy Note 10 กับ Galaxy Note 10+ อีกจุดที่สังเกตได้ง่าย นั่นก็คือ กล้องด้านหลัง ซึ่ง Samsung Galaxy Note 10 นั้น จะมาพร้อมกับกล้องด้านหลัง 3 ตัว ในขณะที่รุ่นใหญ่อย่าง Samsung Galaxy Note 10+ จะเพิ่มกล้องตัวที่ 4 อย่าง DepthVision Camera สำหรับจับระยะชัดลึกเข้ามา
โดยกล้อง 3 ตัวแรกของทั้ง Samsung Galaxy Note 10 และ Galaxy Note 10+ ประกอบด้วย เลนส์หลัก ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล (F/1.5-F/2.4) พร้อมระบบ OIS, เลนส์ Ultra-Wide มุมมองกว้าง 123 องศา ความละเอียด 16 ล้านพิกเซล และเลนส์ Telephoto ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล (F/2.1) พร้อมระบบ OIS
สำหรับตัวเครื่องสี Aura Glow นั้น ถือว่าเป็นสีที่มีความโดดเด่นมากกว่าสีอื่น ๆ ซึ่งจะให้สีที่แตกต่างกันออกไปตามมุมที่แสงตกกระทบ เรียกได้ว่า เครื่องเดียวแต่มีหลายสีแค่พลิกต่างมุม ส่วนใครที่ชอบโทนสีเรียบ ๆ ก็มีสี Aura Pink ให้เลือกเช่นกัน
มาดูที่กล่องผลิตภัณฑ์ของทั้ง Samsung Galaxy Note 10 และ Galaxy Note 10+ กันบ้าง ซึ่งทั้ง 2 รุ่นมาพร้อมกับกล่องสีดำและรูปปากกา S Pen ตามสีของตัวเครื่อง โดยตัวเครื่องสี Aura Glow นั้น ปากกา S Pen จะเป็นสีน้ำเงิน ส่วนตัวเครื่องสี Aura Pink ปากกา S Pen จะเป็นสีชมพู
สำหรับอุปกรณ์ในชุดจำหน่ายมาตรฐานนั้น ประกอบด้วยเคสซิลิโคนแบบใส เหมาะสำหรับตัวเครื่องสี Aura Glow ที่สามารถโชว์ความสวยของสีตัวเครื่องได้แบบเต็ม ๆ ซึ่งตัวเครื่องได้มีการติดฟิล์มกันรอยมาให้เรียบร้อยแล้ว แต่สำหรับใครที่ต้องการการปกป้องที่เพิ่มขึ้น ก็สามารถเลือกติดกระจกกันรอยเพิ่มได้ โดยในตอนนี้ก็มีให้เลือกหลายยี่ห้อแล้วเช่นกัน
หูฟังจาก AKG แบบ In-Ear พร้อมจุกยาง 2 ขนาด ซึ่งพอร์ตของหูฟังนั้นเป็นแบบ USB-C เนื่องจาก Samsung Galaxy Note 10-Series ไม่มีช่องหูฟังขนาด 3.5 มิลลิเมตรแล้วนั่นเอง
USB-C Power Adapter พร้อมสาย USB-C รองรับระบบชาร์จเร็วที่ 25W ซึ่งบน Samsung Galaxy Note 10+ นั้นรองรับการชาร์จเร็วสูงสุดที่ 45W ฉะนั้น ถ้าหากต้องการชาร์จแบตเตอรี่ให้ไวขึ้น จะต้องซื้อ USB-C Power Adapter ขนาด 45W แยกต่างหาก
หัวปากกา S Pen พร้อมที่คีบสำหรับเปลี่ยน, เข็มสำหรับจิ้มถาดใส่ซิมการ์ด, คู่มือการใช้งาน และใบรับประกันสินค้า
จุดขายหลัก ๆ ของ Samsung Galaxy Note-Series ทุกรุ่น นอกเหนือจากสเปกระดับไฮเอนด์แล้ว ปากกา S Pen ถือว่าเป็นไฮไลท์ของซีรี่ส์นี้เลยก็ว่าได้ ซึ่งปากกา S Pen ได้รับการอัปเกรดแบบครั้งใหญ่บน Samsung Galaxy Note 9 รุ่นปีที่แล้ว กับคุณสมบัติในการเชื่อมต่อผ่าน Bluetooth ทำให้สามารถใช้ปากกา S Pen เป็นรีโมทควบคุมการทำงานต่าง ๆ ได้ แต่ปากกา S Pen บน Samsung Galaxy Note 10 และ Galaxy Note 10+ ล้ำหน้าไปอีกขั้น เพราะสามารถสั่งการผ่านท่าทางได้ ซึ่งฟีเจอร์ใหม่นี้ มีชื่อว่า Air Action นั่นเอง
โดยปากกา S Pen บน Samsung Galaxy Note 10 และ Galaxy Note 10+ ได้มีการติดตั้งเซ็นเซอร์ Gyro แบบ 6 แกนไว้ภายใน ทำให้สามารถสั่งการด้วยท่าทางหรือตวัดปากกาในอากาศผ่านฟีเจอร์ Air Action ซึ่งตัวอย่างของฟีเจอร์ Air Action ได้แก่
นอกเหนือจากคุณสมบัติด้านการสั่งงานด้วยท่าทางแล้ว แอปพลิเคชัน Samsung Notes ยังได้รับการอัปเดตใหม่ สามารถปรับขนาดหัวปากกา, หมึก, ความหนาของลายเส้น รวมถึงสีได้ตามใจชอบ
นอกจากนี้ ยังมาพร้อมกับฟีเจอร์ใหม่ที่สามารถแปลงลายมือให้เป็นตัวอักษร ใช้งานง่ายด้วยการเขียนประโยคหรือข้อความที่ต้องการแปลง จากนั้นให้แตะที่ข้อความ แล้วเลือก แปลงค่า (Convert) เพื่อแปลงเป็นตัวอักษร ซึ่งฟีเจอร์นี้รองรับภาษาไทยอีกด้วย
อีกหนึ่งฟีเจอร์ที่มาใหม่แกะกล่องบนปากกา S Pen นั่นก็คือ AR Doodle กับการใช้ปากกา S Pen วาดลายเส้นสำหรับการถ่ายวิดีโอสั้น ยกตัวอย่างเช่น วาดหนวดแมว-หูแมวบนใบหน้า ไม่ว่าจะหันหน้าไปทางซ้ายหรือขวา หนวดแมว-หูแมวก็จะขยับตาม เป็นการเพิ่มลูกเล่นให้กับคลิปวิดีโอที่ไม่เหมือนใคร
Screen Off Memo ฟีเจอร์ขีดเขียนขณะจอดับ สามารถเลือกเปลี่ยนสีของปากกาได้แล้ว ซึ่งมีให้เลือก 5 สี ได้แก่ สีแดง, สีเขียว, สีเหลือง, สีฟ้า และสีขาว
นอกจากนี้ ผู้ใช้ยังสามารถตั้งค่าการใช้งานปากกา S Pen ได้ ไม่ว่าจะเป็น การกดค้างที่ปุ่มปากกาเพื่อเปิดใช้งานแอปพลิเคชันโปรด (ตามการตั้งค่า) ยกตัวอย่างเช่น กดค้างเพื่อเปิดกล้องถ่ายรูป นอกจากนี้ เมื่อเปิดแอปฯ ดังกล่าวแล้ว ยังสามารถกดสั่งการที่ตัวปากกาได้อีก เช่น แอปฯ กล้องถ่ายรูป กด 1 ครั้งเพื่อถ่ายรูป หรือกด 2 ครั้งเพื่อสลับกล้อง ส่วนในแอปฯ เพลง กด 1 ครั้งเพื่อเล่นเพลง-หยุดเพลง / กด 2 ครั้งเพื่อเล่นเพลงถัดไป หรือจะใช้การควบคุมด้วยท่าทางผ่านฟีเจอร์ Air Action ก็ได้เช่นกัน
ในส่วนของ Air Command ซึ่งเป็นเมนูลัดสำหรับปากกา S Pen ยังคงรองรับเมนูที่ผู้ใช้ Galaxy Note ส่วนใหญ่คุ้นเคยกันเป็นอย่างดีอยู่แล้ว อย่างเช่น สร้างบันทึก (Create Note), ดูบันทึกทั้งหมด (View All Notes), การเลือกอัจฉริยะ (Smart Select), เขียนบนหน้าจอ (Screen Write), Live Message หรือ AR Doodle เป็นต้น ซึ่งผู้ใช้สามารถเพิ่มเมนูลัดที่ใช้งานบ่อยได้ตามการใช้งาน
นอกเหนือจากการขีดเขียนแล้ว ปากกา S Pen บน Samsung Galaxy Note 10 และ Galaxy Note 10+ ยังรองรับการทำงานในด้านอื่น ๆ อีก ไม่ว่าจะเป็น
สำหรับการชาร์จปากกา S Pen บน Samsung Galaxy Note 10 และ Galaxy Note 10+ นั้น ง่าย ๆ เพียงแค่เสียบปากกากลับเข้าไป ซึ่งการชาร์จ 6 นาที สามารถสแตนด์บายได้นานสูงสุดถึง 10 ชั่วโมงเลยทีเดียว
ทั้ง Samsung Galaxy Note 10 และ Galaxy Note 10+ ทำงานบนระบบปฏิบัติการ Android 9.0 (Pie) และปรับแต่งด้วย One UI เวอร์ชัน 1.5 ซึ่งเป็นอินเทอร์เฟสที่ผู้ใช้งานมือถือ Samsung คุ้นเคยกันเป็นอย่างดีอยู่แล้ว
แม้ว่าปุ่ม Bixby เดิมจะถูกตัดออกไป ก็ยังสามารถเรียกใช้งาน Bixby ได้ด้วยการกดปุ่ม Power ค้างไว้ แต่จะส่งผลทำให้การใช้งานในส่วนของเปิด-ปิดตัวเครื่องเปลี่ยนไป จากเดิมที่ต้องกดปุ่ม Power ค้าง ก็จะเปลี่ยนเป็นการกดปุ่มลดระดับเสียงกับปุ่ม Power ค้างไว้ แต่ถ้าหากไม่ได้ใช้งาน Bixby เป็นประจำ ก็สามารถตั้งค่าปุ่มด้านข้างใหม่ได้ ด้วยการเข้าไปที่ การตั้งค่า > คุณสมบัติขั้นสูง > ปุ่มด้านข้าง ด้วยการเลือกการกดค้างเป็นเมนูปิดเครื่องแทน
การปัดลงจากขอบด้านบน จะเป็นฟังก์ชันการแจ้งเตือน และสามารถเข้าเมนูลัดสำหรับตั้งค่าการใช้งานในเบื้องต้นได้ ทั้ง Wi-Fi, Bluetooth, ล็อกการหมุนของหน้าจอ, ปรับความสว่างของหน้าจอ, ไฟฉาย, Airplane Mode รวมถึงกดปิดตัวเครื่องได้จากส่วนนี้ โดยไม่จำเป็นต้องกดปุ่มด้านข้างได้
การปัดจากซ้ายไปขวา จะเป็นการเปิดใช้งานฟีเจอร์ Bixby Home เวอร์ชัน 3.0 ด้านในจะประกอบด้วยคอนเทนต์ต่าง ๆ ที่ผู้ใช้ให้ความสนใจ รวมถึงข้อมูลและกิจกรรมต่าง ๆ ของผู้ใช้จะถูกรวมมาไว้ในหน้าเดียว
สามารถเลือกเปลี่ยนวอลเปเปอร์, ธีมส่วนตัว, ไอคอนส่วนตัว รวมถึง Widget ต่าง ๆ ได้ตามสไตล์การใช้งาน ถ้าหากผู้ใช้รู้สึกว่า รูกล้องด้านหน้าบดบังการใช้งาน สามารถค้นหาวอลเปเปอร์สำหรับซ่อนรูกล้องแบบเนียน ๆ ได้จากส่วนนี้เช่นกัน
ด้านปุ่มควบคุมการทำงานแบบสัมผัส สามารถเลือกสลับตำแหน่งของปุ่ม Recent Apps กับปุ่ม Back ได้ หรือจะเปลี่ยนเป็นการควบคุมการทำงานแบบใช้ท่าทางก็ได้เช่นกัน
การปัดจากขอบด้านขวา จะเป็นการเปิดใช้งาน Apps Edge ซึ่งเป็นเครื่องมือด่วนสำหรับเข้าใช้งานแอปพลิเคชันที่ใช้งานเป็นประจำโดยไม่จำเป็นต้องกดกลับไปยังหน้า Home นอกจากนี้ ยังสามารถเปิดมุมมองแบบป๊อบอัพ ด้วยการลากแอปฯ ที่ต้องการไปยังแถบด้านซ้าย รวมถึงเปลี่ยนแผง Apps Edge ไปเป็นรูปแบบอื่น ๆ ได้ในหน้าการตั้งค่า
โหมดกลางคืน จะเป็นการปรับเปลี่ยนธีมให้เป็นโทนสีดำ เพื่อให้ใช้งานได้สบายตาขึ้นในตอนกลางคืน ซึ่งผู้ใช้สามารถเปิด-ปิดใช้งานได้ด้วยตนเอง หรือตั้งเวลาเปิด-ปิดก็ได้เช่นกัน ด้วยการเข้าไปที่ การตั้งค่า > จอภาพ > โหมดกลางคืน
รองรับฟีเจอร์ Always On Display กับการแสดงวันที่, เวลา รวมถึงข้อความแจ้งเตือนต่าง ๆ บนหน้า Lock Screen ในขณะที่หน้าจอยังดับอยู่
นอกเหนือจากคุณสมบัติในการรองรับเทคโนโลยีชาร์จเร็วขนาด 25W และสูงสุดที่ 45W บน Samsung Galaxy Note 10+ แล้ว ทั้ง 2 รุ่นยังรองรับฟีเจอร์ Wireless PowerShare สำหรับชาร์จแบตเตอรี่ให้กับอุปกรณ์อื่นแบบไร้สาย ด้วยการนำอุปกรณ์มาวางไว้ที่ด้านหลังของสมาร์ทโฟน
Samsung Galaxy Note 10 และ Samsung Galaxy Note 10+ รองรับการทำงานในโหมด Samsung DeX ที่ใช้งานได้ง่ายขึ้นเพียงแค่ใช้สาย USB-C เชื่อมต่อสมาร์ทโฟนกับคอมพิวเตอร์ อีกทั้งยังรองรับการใช้งานทั้งบนคอมพิวเตอร์ PC และ Mac อีกด้วย
โดยการทำงานในโหมด Samsung DeX นั้น ทำให้สามารถใช้งานบนหน้าจอที่ใหญ่ขึ้น (จอคอมพิวเตอร์, จอมอนิเตอร์) และยังสามารถใช้งานบนสมาร์ทโฟนได้ตามปกติ นอกจากนี้ ยังรองรับการทำงานที่หลากหลาย เช่น นำเสนองานผ่านแอปพลิเคชัน PowerPoint บนจอมอนิเตอร์ขนาดใหญ่ และควบคุมการเปลี่ยนสไลด์บนหน้าจอ Samsung Galaxy Note 10 หรือเปิดวิดีโอ YouTube บนจอทีวี แต่ถ้าหากมีสายเข้าก็สามารถกดรับสายบนสมาร์ทโฟนได้โดยที่ยังคงรับชม YouTube ได้อยู่ เป็นต้น
นอกจาก Samsung DeX แล้ว ยังรองรับฟีเจอร์ ลิงก์กับ Windows (Link to Windows) เพื่อเชื่อมต่อ Samsung Galaxy Note 10 กับคอมพิวเตอร์ PC สามารถเข้าถึงรูปภาพ, ข้อความ, การแจ้งเตือน และอื่น ๆ ได้ โดยเข้าไปตั้งค่าการใช้งานที่ การตั้งค่า > คุณสมบัติขั้นสูง > ลิงก์กับ Windows
ในด้านความปลอดภัยและการปลดล็อกตัวเครื่องนั้น รองรับทั้งการสแกนใบหน้า (Face Recognition) และการสแกนลายนิ้วมือบนหน้าจอ
รองรับ Secure Folder (โฟลเดอร์ที่ปลอดภัย) ปกป้องข้อมูลสำคัญของผู้ใช้ด้วยการเข้ารหัส
ฟีเจอร์ Dual Messenger สามารถเชื่อมต่อ 2 บัญชีในแอปฯ เดียวกันได้พร้อมกัน เช่น Facebook, LINE เป็นต้น
Smart Manager แอปพลิเคชันสำหรับดูแลและบำรุงรักษาอุปกรณ์ ซึ่งสามารถปรับการตั้งค่าได้หลายส่วนด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็น แบตเตอรี่, พื้นที่จัดเก็บในภายตัวเครื่อง, เคลียร์ RAM, สถานะความปลอดภัย และควบคุมปริมาณการรับส่งข้อมูลผ่านเครือข่าย
เนื่องจากทั้ง Samsung Galaxy Note 10 และ Galaxy Note 10+ มาพร้อมกับชิปเซ็ตเรือธงรุ่นล่าสุดอย่าง Exynos 9825 ทำให้การเล่นเกมมีความลื่นไหล ซึ่งจากการทดสอบทั้งเกม ROV และ PUBG Mobile พบว่า สามารถปรับกราฟิกได้ที่ระดับสูงสุด อีกทั้งยังไม่มีอาการหน่วงให้เห็น นอกจากนี้ ทั้ง 2 รุ่นยังมาพร้อมกับระบบระบายความร้อน Vapor Chamber ทำให้เล่นเกมได้นานขึ้น และตัวเครื่องไม่ร้อนจัดขณะเล่นเกม รวมถึงลำโพงเสียงคู่พร้อมระบบเสียงแบบ Dolby Atmos ทำให้การเล่นเกมสนุกมากขึ้นไปอีก
มาดูคะแนนทดสอบ Benchmark บน Samsung Galaxy Note 10+ กันบ้าง ซึ่งรุ่นนี้มาพร้อมกับชิปเซ็ต Exynos 9825 และหน่วยความจำ RAM ขนาด 12 GB โดยการทดสอบด้วยโปรแกรม Geekbench 4 ทำได้ 4,527 คะแนน (Single-Core) และ 10,438 คะแนน (Multi-Core) ส่วนการทดสอบด้วยโปรแกรม AnTuTu ทำได้ 349,873 คะแนน
ด้าน Samsung Galaxy Note 10 รุ่นนี้ มาพร้อมกับชิปเซ็ต Exynos 9825 และหน่วยความจำ RAM ขนาด 8 GB โดยการทดสอบด้วยโปรแกรม Geekbench 4 ทำได้ 4,530 คะแนน (Single-Core) และ 10,094 คะแนน (Multi-Core) ส่วนการทดสอบด้วยโปรแกรม AnTuTu ทำได้ 347,344 คะแนน
สำหรับเซ็นเซอร์ที่รองรับบน Samsung Galaxy Note 10 และ Galaxy Note 10+ ก็ได้แก่ Accelerometer Sensor, Light Sensor, Orientation Sensor, Proximity Sensor, Gyroscope Sensor, Sound Sensor, Magnetic Sensor และ Pressure Sensor
สำหรับกล้องด้านหน้าของทั้ง Samsung Galaxy Note 10 และ Galaxy Note 10+ จะถูกฝังไว้กึ่งกลางของหน้าจอแสดงผล คล้ายกับบน Samsung Galaxy S10-Series แต่ต่างกันตรงที่รูกล้องมีขนาดที่เล็กกว่า ส่งผลทำให้ได้พื้นที่ในการแสดงผลเพิ่มขึ้นเล็กน้อย ซึ่งกล้องด้านหน้าของทั้ง 2 รุ่นมีความละเอียดเท่ากันที่ 10 ล้านพิกเซล และรูรับแสงกว้างสูงสุดที่ F/2.2
โดยกล้องด้านหน้า มีโหมดให้เลือกถ่ายภาพมากมาย ไม่ว่าจะเป็น กลางคืน, Live Focus (หน้าชัดหลังเบลอ), รูปถ่าย, วิดีโอ, วิดีโอ Live Focus และ Hyperlapse ซึ่งรองรับฟีเจอร์ Beauty สามารถปรับแต่งใบหน้าได้ 4 รูปแบบ ได้แก่ ผิวเนียน, ปรับสีผิว, หน้าเรียว และตาโต ได้สูงสุด 8 ระดับ
สำหรับการถ่ายวิดีโอโหมด Live Focus นั้น ถือว่าเป็นฟีเจอร์ใหม่ที่มาตอบโจทย์สายโซเชียลได้เป็นอย่างดี โดยประกอบด้วยลูกเล่นทั้งหมด 4 อย่าง ได้แก่ การเบลอฉากหลัง สามารถปรับได้สูงสุด 7 ระดับ ทำให้ตัวบุคคลมีความโดดเด่นขึ้น, เพิ่มเอฟเฟกต์โบเก้วงกลมขนาดใหญ่, เปลี่ยนฉากหลังเป็นสีขาวดำ และเอฟเฟกต์วิดีโอแบบย้อนยุค
โหมด Live Focus สามารถเปลี่ยนเอฟเฟกต์การเบลอของฉากหลังได้ถึง 5 แบบ ได้แก่ เบลอ, วงกลมขนาดใหญ่, สปิน, ซูม และ Color Point
สำหรับกล้องด้านหลังของ Samsung Galaxy Note 10 และ Galaxy Note 10+ ประกอบด้วย เลนส์หลัก ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล (F/1.5-F/2.4) พร้อมระบบ OIS, เลนส์ Ultra-Wide มุมมองกว้าง 123 องศา ความละเอียด 16 ล้านพิกเซล และเลนส์ Telephoto ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล (F/2.1) พร้อมระบบ OIS แต่สำหรับบน Samsung Galaxy Note 10+ จะพิเศษกว่าตรงที่มีเลนส์ DepthVision Camera ช่วยจับระยะชัดลึก ทำให้การถ่ายภาพแบบหน้าชัดหลังเบลอมีมิติมากกว่า และเบลอฉากหลังกับวัตถุได้เนียนกว่าเดิม
ส่วนการสลับเลนส์นั้น สามารถทำได้ด้วยการกดที่ไอคอนรูปต้นไม้ ซึ่งรูปต้นไม้ 3 ต้น หมายถึง เลนส์ Ultra Wide, รูปต้นไม้ 2 ต้น หมายถึง เลนส์ Wide (เลนส์หลัก) และรูปต้นไม้ 1 ต้น หมายถึง เลนส์ Telephoto (ซูม 2 เท่า)
โหมด Live Focus หรือการถ่ายภาพแบบหน้าชัดหลังเบลอ มีฟังก์ชันการใช้งานเหมือนกับกล้องด้านหน้า สามารถเลือกใส่เอฟเฟกต์การละลายหลังได้ 5 แบบ ได้แก่ เบลอ, วงกลมขนาดใหญ่, สปิน, ซูม และ Color Point ปรับได้สูงสุดที่ 7 ระดับ
สำหรับเลนส์ DepthVision Camera ซึ่งเป็นเลนส์ตัวที่ 4 บน Samsung Galaxy Note 10+ นอกจากจะช่วยด้านการถ่ายภาพแล้ว ยังช่วยรองรับการใช้งานด้าน AR ด้วยเช่นกัน อย่างเช่น แอปฯ Quick Measure สำหรับวัดขนาดของสิ่งของต่าง ๆ ก็สามารถใช้ Samsung Galaxy Note 10+ ช่วยวัดขนาดแบบคร่าว ๆ ได้โดยไม่จำเป็นต้องมีไม้บรรทัด
ด้านการถ่ายวิดีโอนั้น ทั้ง Samsung Galaxy Note 10 และ Galaxy Note 10+ รองรับการถ่ายวิดีโอที่ความละเอียดสูงสุดระดับ 4K ทั้งกล้องด้านหน้าและกล้องด้านหลัง อีกทั้งยังมาพร้อมกับโหมด Super Steady ที่สามารถถ่ายวิดีโอมุมกว้างพร้อมระบบกันสั่นได้อีกด้วย
ตัวอย่างภาพถ่าย
ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องด้านหน้าของ Samsung Galaxy Note 10+ โหมดรูปภาพ (Beauty ระดับ 4)
ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องด้านหน้าของ Samsung Galaxy Note 10+ โหมดรูปภาพ (Beauty ระดับ 4)
ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องด้านหน้าของ Samsung Galaxy Note 10+ โหมดรูปภาพ (Beauty ระดับ 8)
ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องด้านหน้าของ Samsung Galaxy Note 10+ โหมดรูปภาพ (Beauty ระดับ 8)
ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องด้านหน้าของ Samsung Galaxy Note 10+ โหมด Live Focus ที่สามารถเปลี่ยนเอฟเฟกต์ของฉากหลังได้ 5 แบบ (เบลอ, วงกลมขนาดใหญ่, สปิน, ซูม และ Color Point)
ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องด้านหลังของ Samsung Galaxy Note 10+ โหมด Live Focus ที่สามารถเปลี่ยนเอฟเฟกต์ของฉากหลังได้ 5 แบบ (เบลอ, วงกลมขนาดใหญ่, สปิน, ซูม และ Color Point)
ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องด้านหลังของ Samsung Galaxy Note 10 โหมด Live Focus ที่สามารถเปลี่ยนเอฟเฟกต์ของฉากหลังได้ 5 แบบ (เบลอ, วงกลมขนาดใหญ่, สปิน, ซูม และ Color Point)
ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องด้านหลังของ Samsung Galaxy Note 10+ โหมดรูปถ่าย เลนส์ Ultra-Wide
ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องด้านหลังของ Samsung Galaxy Note 10+ โหมดรูปถ่าย เลนส์ Ultra-Wide
ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องด้านหลังของ Samsung Galaxy Note 10+ โหมดรูปถ่าย เลนส์ Ultra-Wide
ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องด้านหลังของ Samsung Galaxy Note 10+ โหมดรูปถ่าย เลนส์ Ultra-Wide
ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องด้านหลังของ Samsung Galaxy Note 10+ โหมดรูปถ่าย เลนส์ Ultra-Wide
ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องด้านหลังของ Samsung Galaxy Note 10+ โหมดรูปถ่าย เลนส์ Ultra-Wide
ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องด้านหลังของ Samsung Galaxy Note 10+ โหมดรูปถ่าย เลนส์ปกติ
ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องด้านหลังของ Samsung Galaxy Note 10+ โหมดรูปถ่าย เลนส์ปกติ
ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องด้านหลังของ Samsung Galaxy Note 10+ โหมดรูปถ่าย เลนส์ปกติ
ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องด้านหลังของ Samsung Galaxy Note 10+ โหมดรูปถ่าย เลนส์ปกติ
ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องด้านหลังของ Samsung Galaxy Note 10+ โหมด Live Focus
ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องด้านหลังของ Samsung Galaxy Note 10+ โหมด Live Focus
ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องด้านหลังของ Samsung Galaxy Note 10+ โหมดอาหาร
ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องด้านหลังของ Samsung Galaxy Note 10+ โหมดรูปถ่าย
ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องด้านหลังของ Samsung Galaxy Note 10+ โหมดอาหาร
ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องด้านหลังของ Samsung Galaxy Note 10+ โหมดอาหาร
ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องด้านหลังของ Samsung Galaxy Note 10+ โหมดกลางคืน
ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องด้านหลังของ Samsung Galaxy Note 10+ โหมดกลางคืน
ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องด้านหลังของ Samsung Galaxy Note 10+ โหมดกลางคืน
ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องด้านหลังของ Samsung Galaxy Note 10+ โหมดกลางคืน
นับตั้งแต่การเปิดตัว Galaxy Note ตั้งแต่รุ่นแรกจนมาถึง Samsung Galaxy Note 10 และ Samsung Galaxy Note 10+ รุ่นใหม่ล่าสุดนี้ ปฏิเสธไม่ได้ว่า Samsung Galaxy Note ยังคงเป็นสมาร์ทโฟนที่ตอบโจทย์การใช้งานแบบจริงจังได้มากกว่าสมาร์ทโฟนเรือธงรุ่นทั่ว ๆ ไป นั่นเป็นเพราะมีไม้เด็ดอย่างปากกา S Pen ทรงประสิทธิภาพ ที่นอกจากจะให้ความรู้สึกเหมือนกับกำลังใช้ปากกาจริง รองรับทั้งการขีดเขียนทั่วไป จนไปถึงการสร้างสรรค์ภาพวาดสวย ๆ แล้ว ยังต่อยอดคุณสมบัติต่าง ๆ จากปากกา S Pen ใน Samsung Galaxy Note 9 ด้วยการเชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟนผ่านเทคโนโลยี Bluetooth อีกทั้งยังได้เพิ่มฟีเจอร์ใหม่อย่าง Air Action ที่ผู้ใช้สามารถควบคุมการสั่งการต่าง ๆ ได้ด้วยท่าทาง ราวกับกำลังใช้ไม้กายสิทธิ์, AR Doodle ด้วยการใช้ปากกา S Pen วาดลายเส้นเพื่อเพิ่มลูกเล่นให้กับคลิปวิดีโอ รวมถึงฟีเจอร์ใหม่ที่สามารถแปลงลายมือให้เป็นตัวอักษร ซึ่งฟีเจอร์นี้รองรับภาษาไทยอีกด้วย
นอกเหนือจากจุดขายหลัก ๆ อย่างปากกา S Pen แล้ว Samsung Galaxy Note 10 และ Samsung Galaxy Note 10+ ยังได้นำคุณสมบัติดี ๆ จากรุ่นก่อนหน้า มาอัปเกรดและเติมเต็มให้การใช้งานสมบูรณ์แบบมากขึ้นไปอีก เริ่มตั้งแต่ดีไซน์ตัวเครื่องระดับพรีเมียม กับหน้าจอที่เรียกว่า Cinematic Infinity-O Display แบบไร้ขอบ พร้อมขนาดตัวเครื่องที่บางลง จับได้ถนัดมือมากขึ้น แต่ยังคงความแข็งแกร่งด้วยวัสดุ Metal-Glass Unibody และกระจกหน้าจอ Gorilla Glass 6 โดยขนาดหน้าจอของ Samsung Galaxy Note 10 อยู่ที่ 6.3 นิ้ว ความละเอียด 2280 x 1080 พิกเซล ส่วน Samsung Galaxy Note 10+ จะมีขนาดหน้าจอใหญ่กว่าที่ 6.8 นิ้ว ความละเอียด 3040 x 1440 พิกเซล ซึ่งทั้ง 2 รุ่นมาพร้อมกับเทคโนโลยีหน้าจอแบบ Dynamic AMOLED และรองรับระบบ HDR10+
ด้านกล้องถ่ายรูปถูกยกเครื่องให้ขึ้นด้วยเช่นกัน จากกล้องคู่ กลายมาเป็นกล้อง 3 ตัวบน Samsung Galaxy Note 10 และกล้อง 4 ตัวบน Samsung Galaxy Note 10+ โดยกล้อง 3 ตัวแรกของทั้ง Samsung Galaxy Note 10 และ Galaxy Note 10+ จะเหมือนกัน ประกอบด้วย เลนส์หลัก ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล (F/1.5-F/2.4) พร้อมระบบ OIS, เลนส์ Ultra-Wide มุมมองกว้าง 123 องศา ความละเอียด 16 ล้านพิกเซล และเลนส์ Telephoto ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล (F/2.1) พร้อมระบบ OIS ในขณะที่รุ่นใหญ่อย่าง Samsung Galaxy Note 10+ จะเพิ่มกล้องตัวที่ 4 อย่าง DepthVision Camera สำหรับจับระยะชัดลึกเข้ามา ที่นอกจากจะทำให้การถ่ายภาพแบบหน้าชัดหลังเบลอดูมีมิติมากขึ้นแล้ว ยังตอบโจทย์การใช้งาน AR อีกด้วย
ส่วนการถ่ายวิดีโอนั้น รองรับโหมดวิดีโอไลฟ์โฟกัสที่มาตอบโจทย์สายโซเชียลได้เป็นอย่างดี โดยประกอบด้วยลูกเล่นทั้งหมด 4 อย่าง ได้แก่ การเบลอฉากหลัง สามารถปรับได้สูงสุด 7 ระดับ ทำให้ตัวบุคคลมีความโดดเด่นขึ้น, เพิ่มเอฟเฟกต์โบเก้วงกลมขนาดใหญ่, เปลี่ยนฉากหลังเป็นสีขาวดำ และเอฟเฟกต์วิดีโอแบบย้อนยุค นอกจากนี้ ยังมีระบบกันสั่นอัจฉริยะอย่าง Super Steady ทำให้ได้คลิปวิดีโอที่นิ่งขึ้นกว่าเดิม และสามารถตัดต่อวิดีโอได้ง่าย ๆ ด้วยปากกา S Pen โดยไม่จำเป็นต้องดาวน์โหลดโปรแกรมใด ๆ เพิ่มเติม
ด้านการประมวลผล มาพร้อมกับชิปเซ็ตตัวท็อปรุ่นใหม่ล่าสุดอย่าง Exynos 9825, หน่วยความจำ RAM ที่มากขึ้น ซึ่ง Samsung Galaxy Note 10 มาพร้อมกับหน่วยความจำ RAM ขนาด 8 GB ส่วน Samsung Galaxy Note 10+ มาพร้อมกับหน่วยความจำ RAM ขนาด 12 GB, หน่วยความจำ ROM ที่มากขึ้นเท่าตัว เป็น 256 GB หรือ 512 GB บน Samsung Galaxy Note 10+, รองรับการสแกนลายนิ้วมือบนหน้าจอแบบ Ultrasonic, รองรับการสแกนใบหน้า, ระบบระบายความร้อน Vapor Chamber สำหรับการเล่นเกม, ฟีเจอร์ Wireless PowerShare สำหรับชาร์จแบตเตอรี่ให้กับอุปกรณ์อื่นแบบไร้สาย, บริการ Samsung Pay การจ่ายเงินผ่านมือถือโดยไม่ต้องพกกระเป๋าเงิน และ Samsung DeX ต่อออกจอใหญ่ได้ง่ายขึ้นด้วยการใช้งาน USB-C เพียงเส้นเดียว
และด้วยคุณสมบัติที่กล่าวมาทั้งหมดทั้งมวลนี้ ก็ถือว่าสมน้ำสมเนื้อกับราคาค่าตัวเช่นกัน ซึ่งในตอนนี้ Samsung Galaxy Note 10 และ Samsung Galaxy Note 10+ วางจำหน่ายอย่างเป็นทางการในไทยแล้ว ด้วยราคาเริ่มต้นที่ 32,900 บาท สำหรับ Samsung Galaxy Note 10 รุ่น RAM 8 GB + ROM 256 GB มีให้เลือก 3 สี ได้แก่ Aura Glow, Aura Pink และ Aura Black
ส่วน Samsung Galaxy Note 10+ จะมีให้เลือก 2 รุ่นย่อย ได้แก่ รุ่น RAM 12 GB + ROM 256 GB วางจำหน่ายในราคา 37,900 บาท และรุ่น RAM 12 GB + ROM 512 GB วางจำหน่ายในราคา 40,900 บาท มีให้เลือก 3 สีเช่นเดียวกัน ได้แก่ Aura Glow, Aura White และ Aura Black
จุดเด่นของ Samsung Galaxy Note 10 และ Samsung Galaxy Note 10+
จุดที่ต้องพิจารณาเพิ่มเติม
ข้อควรทราบ : เครื่อง Samsung Galaxy Note 10 และ Samsung Galaxy Note 10+ ในบทความรีวิวนี้ เป็นเพียงเครื่องทดสอบเท่านั้น คุณสมบัติบางอย่างอาจยังไม่สมบูรณ์ 100% และอาจไม่ตรงกับตัวเครื่องที่วางจำหน่ายจริง
------------------------------------
บทความรีวิวโดย : techmoblog.com
Update : 28/10/2019
หน้าหลัก (Main) |
(สินค้า IT) ออกใหม่ |
|
FOLLOW US |