หลังจากที่แบรนด์ผู้ผลิตสมาร์ทโฟนรายใหญ่อย่าง Samsung ได้ทำการเปิดตัว Galaxy Note FE หรือ Galaxy Note Fan Edition ที่ประเทศเกาหลีใต้ พร้อมกับได้วางจำหน่ายไปก่อนหน้านี้ ล่าสุดนี้ถือว่าเป็นข่าวดีสำหรับคนที่รอสมาร์ทโฟนรุ่นนี้เลยทีเดียว เพราะล่าสุดนี้ทาง Samsung ได้นำ Samsung Galaxy Note FE เข้ามาวางจำหน่ายในประเทศไทยเพื่อให้ผู้ใช้อย่างเราๆ ได้มีโอกาสจับจองเป็นเจ้าของด้วย
โดยแม้ว่า Samsung Galaxy Note FE จะยังคงมีหน้าตาโดยรวมเหมือนกับ Samsung Galaxy Note 7 ที่ถูกยกเลิกวางจำหน่ายไปก่อนหน้านี้เกือบทุกประการ แต่จริงๆ แล้วมือถือรุ่นดังกล่าวได้รับการผลิตตัวเครื่องใหม่ทั้งหมด โดยนำฮาร์ดแวร์บางส่วนของ Samsung Galaxy Note 7 ที่ยังไม่ผ่านการแกะกล่อง หรือเปิดใช้งานมาก่อน มาทำการรีไซเคิลเพื่อประโยชน์ทางสิ่งแวดล้อม พร้อมปรับเปลี่ยนแบตเตอรี่เป็นก้อนใหม่ ที่ผ่านการตรวจสอบแบบ 8-Point Battery Safety Check ซึ่งนับว่าเป็นมาตรฐานการตรวจสอบที่สูงกว่าอุตสาหกรรมมือถือทั่วๆ ไป ทำให้แบตเตอรี่ที่ติดตั้งอยู่ใน Samsung Galaxy Note FE มีความปลอดภัยอย่างแน่นอน (อ่านข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับความเป็นมาของ Samsung Galaxy Note FE ได้ที่นี่)
สำหรับสเปกของ Samsung Galaxy Note FE ก็ถูกจัดวางมาให้แบบครบเครื่อง ไม่ว่าจะเป็น หน้าจอแสดงผลขอบโค้งทั้งสองด้าน ขนาดใหญ่เต็มตาที่ 5.7 นิ้ว ความละเอียดระดับ 2K, ขุมพลังตัวแรง Exynos 8890, หน่วยความจำ RAM ขนาด 4GB, กล้องดิจิทัลด้านหลังความละเอียด 12 ล้านพิกเซล พร้อมเทคโนโลยี Dual Pixel, เซ็นเซอร์สแกนม่านตา Iris Scanner หรือการทำงานอยู่บนระบบปฏิบัติการ Android 7.0 Nougat ครอบทับด้วย Samsung Experience ที่พกฟีเจอร์เด็ดตดิดตัวมาเพียบ และที่ขาดไม่ได้นั่นคือปากกา S Pen อันเป็นเอกลักษณ์สำหรับขีดเขียนลงบนหน้าจอได้อย่างอิสระนั่นเอง แต่ Samsung Galaxy Note FE จะมีความสวยงามน่าใช้เพียงใดนั้น เราลองไปติดตามผ่านรีวิวแบบเจาะลึกจากทีมงาน Techmoblog กันเลยดรกว่าครับ
สเปก Samsung Galaxy Note FE (Fan Edition)
รีวิว Samsung Galaxy Note FE (Fan Edition) : ดีไซน์ และการออกแบบ
Samsung Galxay Note FE มาพร้อมกับหน้าจอแสดงผลแบบ Dual-Curved Super AMOLED ขนาด 5.7 นิ้ว ความละเอียดคมชัดระดับ 2K ครอบทับด้วยกระจก Gorilla Glass 5 เพื่อช่วยเสริมความแข็งแกร่งจากการตกหรือกระแทก พร้อมฟีเจอร์ Always-On Display สำหรับแสดงการแจ้งเตือนแม้ว่าจะดับหน้าจอไปแล้ว ซึ่งบริเวณขอบจอทั้งสองด้านจะมีความโค้งลงไปยังเฟรมของตัวเครื่อง ช่วยเพิ่มพื้นที่ในการแสดงผลให้กว้างมากยิ่งขึ้น โดยตัวเครื่องมีสัดส่วนอยู่ที่ 153.5 x 73.9 x 7.9 มม. น้ำหนักรวมประมาณ 167 กรัม ซึ่งถือว่าเป็นขนาดที่สามารถหยิบจับได้พอดีมือ ไม่หนักจนเกินไป
ตัวอย่างการทำงานของฟีเจอร์ Always-On Display
ที่ด้านบนของหน้าจอ ประกอบด้วย ไฟแสดงสถานะแบบ LED, เซ็นเซอร์สแกนม่านตา Iris Scanner, ลำโพงสนทนา, กล้องดิจิทัลความละเอียด 5 ล้านพิกเซล, เซ็นเซอร์ Proximity สำหรับตรวจจับระยะห่างของผู้ใช้งาน เพื่อเปิด-ปิดหน้าจอให้แบบอัตโนมัติ และเซ็นเซอร์ Ambient Light สำหรับตรวจวัดแสงโดยรอบ เพื่อปรับความสว่างของหน้าจอให้เหมาะสมกับสภาพแวดล้อม
ที่ด้านล่างของหน้าจอ ประกอบด้วย ปุ่ม Recent Apps, ปุ่มโฮมที่ฝังเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือเอาไว้ด้านใต้ และปุ่มย้อนกลับ (Back)
ด้านซ้ายของตัวเครื่อง มีปุ่มปรับระดับเสียงติดตั้งเอาไว้ ส่วนด้านขวาของตัวเครื่อง มีปุ่ม Power สำหรับล็อคหน้าจอ และเปิด-ปิดเครื่อง
ด้านบนของตัวเครื่อง ประกอบไปด้วย ไมโครโฟนตัวที่สองสำหรับตัดเสียงรบกวน และช่องใส่ซิมการ์ดแบบ Hybrid Slot ซึ่งในช่องที่สอง ผู้ใช้ต้องเลือกว่า จะใส่ซิมการ์ดที่ 2 หรือใส่หน่วยความจำเสริมแบบ microSD Card อย่างใดอย่างหนึ่งเท่านั้น ไม่สามารถใช้งาน 2 ซิมการ์ดไปพร้อมๆ กับใส่หน่วยความจำเสริมแบบ microSD Card ได้
ด้านล่างของตัวเครื่อง ประกอบด้วย ช่องเสียบหูฟังขนาด 3.5 มม., พอร์ตเชื่อมต่อแบบ USB-Type C, ไมโครโฟนตัวหลักสำหรับสนทนา, ลำโพงตัวหลักของตัวเครื่อง และช่องเสียบปากกา S Pen
สำหรับการถอดปากกา S Pen ออกจากตัวเครื่องเพื่อใช้งาน ก็สามารถทำได้ง่ายๆ เพียงแค่ออกแรงกดเล็กน้อยที่ตัวปากกาเล็กน้อย ก็จะเด้งออกมาแบบอัตโนมัติ
สำหรับบอดี้ของ Samsung Galaxy Note FE ถูกออกแบบมาด้วยดีไซน์แบบ Metal-Glass ซึ่งเป็นการผสมผสานระหว่างการขึ้นเฟรมด้วยอะลูมิเนียม และกระจก Gorilla Glass 5 ที่ด้านหลัง ทำให้ตัวเครื่องมีความเงางามเมื่อสะท้อนกับแสง นอกจากนี้ ยังมาพร้อมกับคุณสมบัติกันน้ำกันฝุ่นตามมาตรฐาน IP68 ที่มีความสามารถกันน้ำได้ลึกสุดถึง 1.5 เมตร เป็นเวลานานสุด 30 นาที
ที่ด้านบนของตัวเครื่อง ประกอบไปด้วย กล้องดิจิทัลตัวหลักความละเอียด 12 ล้านพิกเซล ถัดมาเป็นไฟแฟลชแบบ LED และเซ็นเซอร์สำหรับวัดอัตราการเต้นของหัวใจ
ส่วนด้านล่างมีการประทับชื่อรุ่น Galaxy Note Fan Edition เอาไว้แบบชัดเจน
สำหรับปากกา S Pen ของ Galaxy Note FE สามารถรองรับแรงกดทั้งหมด 4096 ระดับ พร้อมหัวปากกาที่มีขนาดเล็ก ซึ่งให้ความรู้สึกราวกับการขีดเขียนด้วยปากกาจริงๆ พร้อมคุณสมบัติกันน้ำกันฝุ่นระดับ IP68 เช่นเดียวกับตัวเครื่อง ทำให้เราสามารถนำไปขีดเขียนใต้น้ำได้อีกด้วย
รีวิว Samsung Galaxy Note FE (Fan Edition) : อินเทอร์เฟส และการใช้งานเบื้องต้น
Samsung Galaxy Note FE มาพร้อมกับระบบปฏิบัติการ Android 7.0 Nougat ครอบทับด้วย UI ที่ทาง Samsung พัฒนาขึ้นมาเองอย่าง Samsung Experience เวอร์ชัน 8.1 ซึ่งหน้า UI โดยรวมจะมีความคล้ายคลึงกับเรือธงรุ่นน้องอย่าง Galaxy S8 และ Galaxy Note 8 โดยเปลี่ยนชุดไอคอนเป็นแบบใหม่ พร้อมอินเทอร์เฟสที่ออกแบบมาให้ดูสะอาดตา และใช้งานได้ง่าย
โดย UI ของ Samsung Galaxy Note FE นั้น จะไม่มีปุ่มรวมแอปพลิเคชัน หรือ App Drawer แต่เราสามารถเรียกดูแอปพลิเคชันทั้งหมดที่ติดตั้งเอาไว้ภายในตัวเครื่องได้แบบง่ายๆ เพียงแค่ปัดนิ้วจากล่างขึ้นบน
เมื่อลากนิ้วจากแถบด้านบนลงมา จะพบกับแถบ Toggle Switch ซึ่งเป็นหน้าที่รวมคีย์ลัดต่างๆ เอาไว้ อย่างเช่น เปิด-ปิด Wi-Fi, ไฟฉาย, Bluetooth หรือไฟฉาย ซึ่งหากเราลากแถบ Toggle Switch ลงมาอีกซักหน่อย จะพบกับคีย์ลัดเพิ่มเติม ซึ่งเราสามารถจัดเรียงตำแหน่งได้ตามใจชอบ ส่วนแถบด้านล่างเป็น Notification Center สำหรับแสดงการแจ้งเตือนทั้งหมด ซึ่งเราสามารถเลือกบล็อคการแจ้งเตือนของแต่ละแอปพลิเคชันได้ หรือเคลียร์การแจ้งเตือนทั้งหมดผ่านการแตะที่เมนู Clear Alll
จากหน้าโฮมสกรีน หากปัดไปทางด้านขวาจะพบกับฟีเจอร์ Bixby Home ซึ่งเป็นฟีเจอร์เดียวกับที่มีอยู่บน Samsung Galaxy S8 และ Galaxy Note 8 โดย Bixby Home จะทำหน้าที่รวบรวมการแสดงแจ้งเตือนต่างๆ จากแอปพลิเคชันที่รองรับ เช่น ข่าว, สภาพอากาศ รวมไปถึงการแสดงข้อมูลจากแอปพลิเคชันเพื่อสุขภาพอย่าง Samsung Heath ทำให้เราไม่ต้องไล่เปิดดูทีละแอปพลิเคชันนั่นเอง
สำหรับแถบสีขาวที่อยู่ทางด้านขวาของหน้าจอนั้น คือฟีเจอร์ Edge Panels ซึ่งเป็นคีย์ลัดที่ช่วยให้เราเข้าถึงแอปพลิเคชันที่ใช้งานบ่อย หรือรายชื่อผู้ติดต่อได้อย่างรวดเร็ว โดยผู้ใช้สามารถเพิ่มหน้าต่างได้อีก ไม่ว่าจะเป็น Remider สำหรับแสดงการแจ้งเตือนรายการที่จะต้องทำ หรือ Device Maintenace สำหรับแสดงสถานะของตัวเครื่อง เช่น ปริมาณแบตเตอรี่ และปริมาณ RAM ที่ถูกใช้ไป ซึ่งเราสามารถเข้าไปดาวน์โหลดหน้าต่างของ Edge Panels เพิ่มเติมได้ที่แอปพลิเคชัน Galaxy Apps
ส่วนแอปพลิเคชันภายในตัวเครื่องก็ถูกติดตั้งมาให้แบบครบครัน ไม่ว่าจะเป็นแอปพลิเคชันจากฝั่ง Google อย่าง Chrome, Gmail, Maps, Drive และ Youtube หรือแอปพลิเคชันประเภทออฟฟิศจาก Microsoft รวมถึงแอปพลิเคชันพื้นฐานจากทาง Samsung อย่างเช่น Samsung Health สำหรับบันทึก และติดตามข้อมูลด้านสุขภาพ, Samsung Gear สำหรับเชื่อมต่อกับนาฬิกาอัจฉริยะ หรือ S Voice สำหรับสั่งการตัวเครื่องผ่านคำสั่งเสียง
Samsung Galaxy Note FE รองรับแอปพลิเคชัน Samsung Pay ซึ่งเป็นนวัตกรรมชำระเงินด้วยบัตรเครดิตผ่านทางสมาร์ทโฟน เพียงแค่เพิ่มบัตรลงไปในแอปพลิเคชัน Samsung Pay เท่านั้น ทำให้เราไม่ต้องพกบัตรติดตัวหลายๆ ใบอีกต่อไป โดย Samsung Pay รองรับการใช้งานร่วมกับเครื่องจ่ายเงินแบบ NFC และเครื่องรูดบัตรเครดิตแบบแถบแม่เหล็ก (MST) ซึ่งเป็นเครื่องที่ร้านค้าส่วนใหญ่ในประเทศไทยใช้งานนั่นเอง (อ่านข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Samsung Pay ได้ที่นี่)
นอกจากนี้ ยังมาพร้อมกับ Secure Folder ที่ปรียบเสมือนตู้นิรภัยสำหรับปกป้องข้อมูลส่วนตัวบนแอปพลิเคชันต่างๆ โดยแอปพลิเคชันที่เราเพิ่มเข้าไปใน Secure Folder นั้น จะทำงานแยกตัวออกมาจากแอปพลิเคชันหลัก ซึ่งช่วยให้เราสามารถเล่นแอปพลิเคชันแบบ 2 ID ได้นั่นเอง นอกจากนี้ การเข้าใช้แอปพลิเคชันที่อยู่ใน Secure Folder จะต้องเป็นเจ้าของเครื่องที่รู้รหัสผ่านตัวเครื่อง หรือทำการลงทะเบียนลายนิ้วมือ, ม่านตา เอาไว้เท่านั้น ทำให้บุคคลภายนอกไม่สามารถเข้าถึงข้อมมูลใน Secure Folder ได้อย่างง่ายๆ นั่นเอง
Samsung Galaxy Note FE รองรับการเปิดใช้งานแอปพลิเคชันพร้อมกันสองหน้าต่าง หรือ Multi Window ด้วย โดยเพียงแค่กดปุ่ม Recents App ที่อยู่ด้านซ้ายล่างตัวเครื่องค้างไว้ และเลือกแอปพลิเคชันที่เปิดค้างไว้เบื้องหลัง เพียงเท่านี้ก็เสร็จสิ้นแล้ว โดยเราสามารถยืด-ย่อสัดส่วนของหน้าต่างได้อย่างอิสระ
อย่างที่กล่าวไปด้านต้นว่า Samsung Galaxy Note FE มาพร้อมกับระบบรักษาความปลอดภัยในรูปแบบการสแกนม่านตา Iris Scanner ด้วย แต่ผู้ใช้จะต้องเข้าไปลงทะเบียนม่านตาก่อน ซึ่งตัวระบบจะแนะนำให้เราถอดแว่นตาก่อน และถือสมาร์ทโฟนให้ห่างจากตัวประมาณ 25-35 ซม. เมื่อลงทะเบียนเสร็จสิ้น เราสามารถตั้งค่าให้ตัวเครื่องปลดล็อคด้วยวิธีสแกนม่านตาได้ทันที โดยจากที่ทีมงานทดสอบนั้น ระบบสแกนม่านตาของ Samsung Galaxy Note FE สามารถทำงานได้อย่างแม่นยำ และรวดเร็ว ไม่ว่าจะเป็น การสแกนในที่มืด รวมไปถึงการสแกนขณะสวมใส่แว่นตา และแว่นกันแดด ส่วนทางด้านระบบสแกนลายนิ้วมือนั้น สามารถลงทะเบียนได้สูงสุดทั้งหมด 4 นิ้วด้วยกัน
สำหรับลูกเล่นด้านอื่นก็ถือว่าน่าสนใจเลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็น Smart Stay ที่ตัวระบบจะคอยเปิดหน้าจอค้างไว้ หากผู้ใช้กำลังจ้องที่หน้าจออยู่, Easy Mute สำหรับปิดเสียงเรียกเข้า และนาฬิกาปลุก ผ่านการโบกมือเหนือบริเวณหน้าจอ หรือคว่ำหน้าจอลง และ Palm Swipe to Capter สำหรับการแคปเจอร์ภาพหน้าจอในขณะนั้น ด้วยการใช้สันมือปาด อีกทั้ง ยังมาพร้อมกับ Dual Messenger ที่ช่วยให้เราเล่นแอปพลิเคชันแบบ 2 ID นอกเหนือจากการใช้งานใน Secure Folder ได้อีกด้วย
และยังมีลูกเล่นเด็ดอย่าง Game Tools ซึ่งจะช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถเล่นเกมได้อย่างเต็มอารมณ์ ด้วยเมนูสำหรับปิดการแจ้งเตือน, ล็อกปุ่ม Recents App และปุ่มย้อนกลับ เพื่อป้องกันการสัมผัสโดยไม่ได้ตั้งใจ หรือการบันทึกวิดีโอหน้าจอขณะเล่นเกม เพื่อนำไปแชร์บนแพลตฟอร์มต่างๆ
รวมทั้ง ผู้ใช้ยังสามารถปรับลด ความละเอียดของหน้าจอแสดงผลได้อย่างอิสระ ไล่ตั้งแต่ HD เพื่อประหยัดพลังงาน ไปจนถึง WQHD เพื่อการแสดงผลที่คมชัด
ข้ามมาทดสอบประสิทธิภาพการทำงานกันบ้าง สำหรับ Samsung Galaxy Note FE ขับเคลื่อนด้วยขุมพลัง Exynos 8890 ซึ่งเป็นชิปเซ็ตตัวเดียวกับที่ใช้บน Galaxy S7 และ Galaxy S7 edge โดยจับคู่การทำงานกับหน่วยประมวลผลกราฟิก Mali-T880 MP12 พร้อมหน่วยความจำ RAM แบบ LPDDR4 ขนาด 4GB ซึ่งถือว่าเป็นสเปกที่จัดอยู่ในระดับท็อป
ลองทดสอบประสิทธิภาพการทำงานของเครื่องโดยรวม ด้วยแอปพลิเคชัน AnTuTu พบว่า สามารถทำคะแนนได้ราว 141057 คะแนน
ทดสอบประสิทธิภาพการประมวลผลของชิปเซ็ต ด้วยแอปพลิเคชัน GeekBench พบว่า Samsung Galaxy Note FE สามารถทำคะแนนประมวลผลแบบ Single-Core ได้ราว 1951 คะแนน ส่วนการประมวลผลแบบ Multi-Core ทำคะแนนได้ราว 5948 คะแนน
ลองทดสอบการเล่นเกมด้วยเกมยอดฮิตอย่าง ROV กันซักหน่อย โดย Samsung Galaxy Note FE สามารถเปิดโหมดเฟรมเรทสูงแบบ 60fps ได้ ซึ่งจากที่ทดลองเล่นพบว่า สามารถเล่นได้อย่างลื่นไหล ไม่ปรากฏอาการหน่วงให้เห็น ส่วนเฟรมเรทในโหมด 60fps จะอยู่ที่ประมาณ 53-59 ครับ
รีวิว Samsung Galaxy Note FE (Fan Edition) : ปากกา S Pen ทำอะไรได้บ้าง?
จุดเด่นของสมาร์ทโฟนซีรีย์ Galaxy Note นั่นก็คือ ปากกา S Pen สำหรับขีดเขียน และวาดภาพบนหน้าจอได้อย่างอิสระ โดยเมื่อถอดปากกา S Pen ออกมาจากตัวเครื่องนั้น จะพบกับฟังก์ชัน Air Command ซึ่งเป็นเมนูที่รวบรวมฟีเจอร์สำหรับปากกา S Pen เอาไว้โดยเฉพาะ ประกอบด้วย Create Note , View All Notes, Smart Select, Screen Write, Translate และ Gallery โดยผู้ใช้สามารถเพิ่มแอปพลิเคชันที่ใช้บ่อยภายในหน้า Air Command ได้ด้วย โดยการกดเครื่องหมาย + ที่ด้านล่างสุด
สำหรับเมนู Create Note จะเป็นการสร้างไฟล์เอกสารสำหรับจดบันทึกขึ้นมาใหม่ โดยผู้ใช้สามารถเลือกได้ว่า จะทำการจดบันทึกด้วยวิธีการพิมพ์ด้วยแป้นคีย์บอร์ด หรือใช้ปากกา S Pen ขีดเขียนลงบนหน้าจอ ผ่านการแตะที่เมนู Text และ Pen บริเวณด้านบน
ผู้ใช้สามารถเลือกรูปแบบของปากกา รวมไปถึงขนาด และสีสันได้ตามใจชอบ
รวมไปถึงการแทรกรูปภาพลงไปในบันทึก และการเพิ่มข้อความเสียง
ส่วน Smart Select จะเป็นฟังก์ชันสำหรับเลือกจับภาพบางส่วนบนหน้าจอที่เราต้องการ ซึ่งความพิเศษอยู่ตรงที่เราสามารถไดคัทภาพผ่านฟังก์ชันนี้ เพื่อนำไปบันทึกลงใน Note หรือส่งต่อให้เพื่อนได้อย่างง่ายๆ
ตัวอย่างภาพที่ไดคัทด้วยฟีเจอร์ Smart Select
ด้านฟังก์ชัน Screen Write จะเป็นฟังก์ชันสำหรับขีดเขียนบนหน้าจอที่เปิดอยู่ ณ ตอนนั้น ซึ่งเราสามารถเซฟเพื่อส่งต่อให้เพื่อนได้ด้วย
ส่วนฟังก์ชัน Translate จะเป็นระบบสำหรับแปลภาษาหนึ่งไปยังอีกภาษาหนึ่งได้ง่ายๆ เพียงแค่นำปากกา S Pen ไปจ่อเหนือคำศัพท์เท่านั้น แต่ฟีเจอร์ Translate บน Galaxy Note FE จะแปลภาษาได้ทีละคำเท่านั้น ไม่สามารถแปลเป็นประโยคเหมือนกับฟีเจอร์ Translate ของ Galaxy Note 8 ได้
อีกหนึ่งจุดเด่นของปากกา S Pen คือ ฟังก์ชัน Screen Off Memo ที่ช่วยให้เราสามารถขีดเขียนในขณะที่หน้าจอดับได้ด้วย เพียงแค่ดึงปากกาออกมาขณะที่หน้าจอล็อคอยู่ ซึ่งเมื่อทำการเขียนเสร็จสิ้น ตัวระบบจะบันทึกเข้าไปในแอปพลิเคชัน Note ให้แบบอัตโนมัติ ซึ่งเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการจดบันทึกในสถานการณ์เร่งด่วนนั่นเอง
รีวิว Samsung Galaxy Note FE (Fan Edition) : กล้องถ่ายรูป
สำหรับกล้องถ่ายภาพถือว่าเป็นอีกหนึ่งฟีเจอร์เด่นบน Galaxy Note FE เช่นเดียวกัน โดยมาพร้อมกับกล้องหน้าความละเอียด 5 ล้านพิกเซล รูรับแสงกว้าง f/1.7 พร้อมโหมด Beauty สำหรับปรับแต่งโครงหน้า, สีผิว และดวงตาของผู้ถูกถ่ายให้มีความสวยงามมากยิ่งขึ้น
ส่วนทางด้านกล้องหลัง มาพร้อมกับกล้องดิจิทัลความละเอียด 12 ล้านพิกเซล รูรับแสงกว้าง f/1.7 พร้อมเทคโนโลยีโฟกัสภาพแบบ Dual Pixel และระบบป้องกันภาพสั่นไหวแบบ OIS โดยโหมดการถ่ายภาพที่ติดตั้งมาให้นั้นก็ถือว่าครบเครื่องเลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็น โหมด Pro สำหรับปรับการตั้งค่าต่างๆ ของกล้องได้ด้วยตนเอง, โหมด Panorama สำหรับถ่ายภาพมุมมองกว้าง รวมไปถึงโหมด Selective Focus ที่จะเป็นการจำลองการเบลอภาพฉากหน้า หรือฉากหลังด้วยซอฟท์แวร์ ทำให้สามารถถ่ายภาพแบบหน้าชัดหลังเบลอได้นั่นเอง นอกจากนี้ ผู้ใช้ยังสามารถเข้าไปดาวน์โหลดโหมดการถ่ายภาพเพิ่มเติมได้อีกด้วย
ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องหน้าแบบไม่ปรับแต่ง
ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องหน้า พร้อมเปิดโหมด Beauty ในระดับ 2
ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องหน้า พร้อมเปิดโหมด Beauty ในระดับ 4
ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องหน้า พร้อมเปิดโหมด Beauty ในระดับ 6
ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องหลัง
ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องหลัง
ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องหลัง
ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องหลัง
ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องหลัง
ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องหลัง
ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องหลัง
ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องหลัง
ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องหลัง
ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องหลัง ด้วยโหมด Selective Focus จะเห็นได้ว่าตัวซอฟท์แวร์จะทำการแยกฉากหลังออกจากตัวแบบ ซึ่งช่วยให้ตัวแบบดูมีความโดดเด่นมากยิ่งขึ้น พร้อมทำการละลายฉากหลังให้แบบอัตโนมัติ และมีเอฟเฟ็กต์โบเก้ (Bokeh) ให้เห็นด้วย ซึ่งถึงแม้จะยังมีบางส่วนของภาพที่ไม่ถูกเบลอไปด้วย แต่ก็ถือว่าทำผลงานได้ค่อนข้างดีเลยทีเดียว
บทสรุปการใช้งาน
เรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งสมาร์ทโฟนตัวท็อปที่น่าสนใจอีกหนึ่งรุ่นเลยทีเดียว ซึ่งจากที่ทีมงานได้ทดสอบใช้งานเบื้องต้น ก็พอจะสรุปได้ว่า Samsung Galaxy Note FE (Fan Edition) เป็นมือถือที่เหมาะสำหรับผู้ที่กำลังมองหาสมาร์ทโฟนที่มาพร้อมกับสเปกในระดับท็อป, กล้องถ่ายรูปที่มีความคมชัด และมีปากกา Stylus สำหรับจดบันทึก หรือขีดเขียนได้อย่างอิสระ ซึ่ง Samsung Galaxy Note FE สามารุตอบโจทย์ด้านนี้ได้เป็นอย่างดี ด้วยการมาพร้อมกับชิปเซ็ตตัวท็อปอย่าง Exynos 8890 จับคู่การทำงานร่วมกับ RAM ขนาด 4GB และหน่วยความจำภายในความจุ 64GB ซึ่งนับว่าเพียงพอต่อการใช้งานทั่วไป ส่วนทางด้านกล้องถ่ายภาพมาพร้อมกับกล้องหลังความละเอียด 12 ล้านพิกเซล, เทคโนโลยี Dual Pixel และรูรับแสงกว้างถึง f/1.7 ซึ่งช่วยให้สามารถเก็บแสงได้ดีขึ้น ทำให้เราสามารถถ่ายภาพในสภาวะแสงน้อยได้ดีขึ้นด้วยนั่นเอง
ด้านจุดขายสำคัญอย่างปากกา S Pen ก็มาพร้อมกับขนาดที่พอดีมือ และรองรับแรงกดได้มากถึง 4096 ระดับ ซึ่งให้ความรู้สึกเหมือนกับการใช้ปากกาจริงๆ ไม่ปรากฏอาการหน่วงให้เห็น นอกจากนี้ ยังมีฟีเจอร์ที่ถูกออกแบบมาเพื่อปากกา S Pen โดยเฉพาะ ไม่ว่าจะเป็น ฟีเจอร์แปลภาษา Translate, ฟีเจอร์ Smart Select หรือฟีเจอร์ Screen off Memo ที่รองรับการขีดเขียนบนหน้าจอได้ แม้ว่าหน้าจอจะดับไปแล้วก็ตาม
โดยในขณะนี้ Samsung Galaxy Note FE ได้เริ่มวางจำหน่ายในประเทศไทยอย่างเป็นทางการแล้ว ในราคา 20,900 บาท ซึ่งมีให้เลือกทั้งหมด 2 เฉดสีด้วยกัน ได้แก่ สีดำ Black Onyx และสีฟ้า Blue Coral สำหรับท่านใดที่สนใจ ก็สามารถเข้าไปทดลองใช้งานเบื้องต้นได้ที่ Samsung Brand Shop สาขาใกล้บ้านได้ครับ
จุดเด่นของ Samsung Galaxy Note FE (Fan Edition)
จุดที่ต้องพิจารณาเพิ่มเติม
---------------------------------------
บทความรีวิวโดย : techmoblog.com
Update : 24/11/2017
หน้าหลัก (Main) |
(สินค้า IT) ออกใหม่ |
|
FOLLOW US |