หน้าแรก >> ข่าวทั้งหมด >> อ่านบทความ/ข่าว

[รีวิว] Samsung Galaxy S10 Lite และ Note10 Lite ทายาทเรือธงในราคาที่ถูกกว่า มาพร้อมชิปเซ็ตตัวท็อป, RAM 8 GB พร้อมกล้องหลัง 3 ตัว บนจอ Infinity-O ขนาด 6.7 นิ้ว เคาะราคาไม่ถึง 20,000

เปิดตัวและวางจำหน่ายในไทยไปแล้วเมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมา สำหรับ Samsung Galaxy S10 Lite และ Samsung Galaxy Note 10 Lite ที่ถือว่า เป็นมือถือสเปกเรือธงที่มีราคาไม่เกิน 20,000 บาท หลายท่านอาจจะคิดว่า มือถือที่ต่อท้ายด้วยคำว่า Lite นั้น จะมาพร้อมกับสเปกระดับกลาง ๆ แต่จริง ๆ แล้วต้องให้นิยามของทั้ง 2 รุ่นนี้ว่า เป็นมือถือราคา Lite และสเปกไม่ Lite น่าจะเหมาะสมที่สุด

สำหรับ Samsung Galaxy S10 Lite กับ Samsung Galaxy Note 10 Lite ถือว่าเป็นสมาร์ทโฟนที่มีสเปกใกล้เคียงกันมาก แม้กระทั่งขนาดหน้าจอก็ยังเท่ากัน และราคาที่ต่างกันแค่หลักร้อย จนหลาย ๆ ท่านตั้งคำถามว่า ทั้ง 2 รุ่นนี้ต่างกันแค่มีปากกา กับไม่มีปากกาหรือเปล่า ซึ่งจริง ๆ แล้ว รุ่น Lite ทั้ง 2 รุ่นนี้ คือการนำนวัตกรรมที่มีในรุ่นเรือธงมาต่อยอดให้อยู่ในระดับราคาที่จับต้องได้ ทำให้ทั้ง Samsung Galaxy S10 Lite กับ Samsung Galaxy Note 10 Lite โดดเด่นทั้งในเรื่องของชิปเซ็ต, กล้องถ่ายรูป และการประมวลผลต่าง ๆ ที่เทียบเท่ารุ่นเรือธงเลยทีเดียว แต่เคาะราคาค่าตัวที่ถูกกว่ามาก จึงทำให้ทั้ง 2 รุ่นนี้ มีความน่าสนใจไม่น้อย

ส่วนใครที่ยังตัดสินใจไม่ได้ว่า จะเลือก Samsung Galaxy S10 Lite หรือ Samsung Galaxy Note 10 Lite ดี ในวันนี้ถือว่าเป็นฤกษ์ยามอันดีที่ทีมงาน techmoblog.com จะมารีวิว Samsung Galaxy S10 Lite และ Samsung Galaxy Note 10 Lite ให้ได้รับชมกัน พร้อมกับคำแนะนำท้ายบทความว่า ทั้ง 2 รุ่นนี้เหมาะกับใคร มาชมกันเลยดีกว่า

 

สรุปคะแนนทดสอบจากทีมงาน

 

เปรียบเทียบสเปก Samsung Galaxy S10 Lite vs Galaxy Note 10 Lite

 

ดีไซน์และการออกแบบ

ทั้ง Samsung Galaxy S10 Lite และ Samsung Galaxy Note 10 Lite ถ้าหากมองที่ดีไซน์ด้านหน้า แทบจะแยกไม่ออกเลยว่าเป็นรุ่นไหน เนื่องจากทั้งคู่มาพร้อมกับดีไซน์แบบ Infinity-O Display เจาะรูตรงกลางสำหรับกล้องด้านหน้าเหมือนกัน และมีขนาดหน้าจอเท่ากันที่ 6.7 นิ้ว ความละเอียด 2400 x 1080 พิกเซล

แต่ในทางเทคนิคแล้ว หน้าจอของ Samsung Galaxy S10 Lite ดีกว่า เพราะเป็นเทคโนโลยีหน้าจอแบบ Super AMOLED Plus และรองรับ HDR10+ ในขณะที่ Samsung Galaxy Note 10 Lite เป็นหน้าจอแบบ Super AMOLED และรองรับ HDR10 ซึ่งจากรูปข้างต้นจะเห็นว่า สีสันของสตรอเบอรี่บนหน้าจอของ Samsung Galaxy S10 Lite จะมีความสดใสมากกว่า

 

ด้านบนของหน้าจอแสดงผลของทั้ง 2 รุ่น เป็นกล้องด้านหน้า ความละเอียด 32 ล้านพิกเซล พร้อมรูรับแสงขนาด F/2.2 ซึ่งลำโพงสำหรับสนทนา จะอยู่ที่ขอบจอด้านบน

 

ส่วนด้านล่างของหน้าจอแสดงผล เป็นปุ่มควบคุมการทำงานแบบ On-Screen ประกอบด้วย ปุ่ม Recent Apps, ปุ่ม Home และปุ่มย้อนกลับ นอกจากนี้ ยังรองรับการสแกนลายนิ้วมือบนหน้าจอแบบ Optical Fingerprint Sensor เหมือนกันทั้ง 2 รุ่น

 

ความแตกต่างของทั้ง 2 รุ่นอยู่ตรงที่ด้านหลังตัวเครื่อง ซึ่งมีดีไซน์ของโมดูลกล้องด้านหลังแตกต่างกัน โดยบน Samsung Galaxy S10 Lite จะประกอบด้วยกล้อง 3 ตัว ประกอบด้วย เลนส์หลัก ความละเอียด 48 ล้านพิกเซล (F/2.0) + เลนส์​ Ultra Wide ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล (F/2.2) + เลนส์ Macro ความละเอียด 5 ล้านพิกเซล (F/2.4) ซึ่งมีการจัดเรียงแบบแนวตั้ง, ไฟแฟลชอยู่มุมบนขวา พร้อมตัวอักษรคำว่า Super Steady OIS

ส่วน Samsung Galaxy Note 10 Lite ประกอบด้วยกล้อง 3 ตัวเหมือนกับ Samsung Galaxy S10 Lite แต่ความละเอียดน้อยกว่า ประกอบด้วย เลนส์หลัก ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล (F/1.7) + เลนส์ Ultra Wide ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล (F/2.4) + เลนส์ Telephoto ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล (F/2.2) ซึ่งโมดูลกล้องด้านหลังเป็นสี่เหลี่ยมเหมือนกัน แต่มีขนาดเล็กกว่า

 

สำหรับปุ่มควบคุมการทำงานรอบ ๆ ตัวเครื่องซ้ายและขวาของทั้ง 2 รุ่น ไม่แตกต่างกัน ประกอบด้วย ปุ่มปรับระดับเสียง, ปุ่ม Power เปิด-ปิดเครื่อง ส่วนด้านซ้ายจะเป็นถาดใส่ซิมการ์ดแบบ Hybrid Slot ซึ่งรองรับการใช้งาน 2 ซิมการ์ดเหมือนกันทั้ง 2 รุ่น

 

ด้านบนตัวเครื่องเป็นไมโครโฟนตัดเสียงรบกวนรอบข้าง ส่วนด้านล่างของตัวเครื่อง ประกอบด้วย ลำโพงเสียง, ไมโครโฟน และพอร์ต USB-C ซึ่งบน Samsung Galaxy Note 10 Lite จะมีช่องหูฟังขนาด 3.5 มิลลิเมตร และช่องเสียบปากกา S Pen

 

รีวิวปากกา S Pen บน Samsung Galaxy Note 10 Lite

สำหรับจุดเด่นของ Samsung Galaxy Note-Series ที่รุ่นอื่นไม่มี นั่นก็คือ มีปากกา S Pen ในตัว ซึ่งบน Samsung Galaxy Note 10 Lite เองก็มีปากกา S Pen มาให้เช่นกัน โดยมีฟีเจอร์การใช้งานเหมือนกับปากกา S Pen บน Samsung Galaxy Note 10 ทุกอย่าง รองรับ Air Action เหมือนกัน ต่างแค่ฟีเจอร์ตวัดปากกาในอากาศเพื่อสั่งการด้วยท่าทางเท่านั้นที่ไม่มี นอกนั้นคือเหมือนกันหมด

 

โดยฟีเจอร์ของปากกา S Pen บน Samsung Galaxy Note 10 Lite ก็ได้แก่

  • รองรับการเชื่อมต่อผ่าน Bluetooth ทำให้สามารถใช้ปากกา S Pen เป็นรีโมทควบคุมการทำงานต่าง ๆ ได้ เช่น คลิกที่ตัวปากกาเพื่อกดชัตเตอร์ถ่ายรูป
  • Screen Off Memo ฟีเจอร์ขีดเขียนขณะจอดับ สามารถเลือกเปลี่ยนสีของปากกาได้
  • การกดค้างที่ปุ่มปากกาเพื่อเปิดใช้งานแอปพลิเคชันโปรด (ตามการตั้งค่า)
  • ฟีเจอร์ Air Command ซึ่งเป็นเมนูลัดสำหรับปากกา S Pen ยังคงรองรับเมนูที่ผู้ใช้ Galaxy Note ส่วนใหญ่คุ้นเคยกันเป็นอย่างดีอยู่แล้ว อย่างเช่น สร้างบันทึก (Create Note), ดูบันทึกทั้งหมด (View All Notes), การเลือกอัจฉริยะ (Smart Select), เขียนบนหน้าจอ (Screen Write), Live Message หรือ AR Doodle เป็นต้น ซึ่งผู้ใช้สามารถเพิ่มเมนูลัดที่ใช้งานบ่อยได้ตามการใช้งาน
  • ปลดล็อกตัวเครื่องด้วยปากกา S Pen ได้ด้วยการกดปุ่มที่ตัวปากกา (ต้องตั้งค่าก่อน)
  • สามารถใช้ปากกา S Pen ควบคุมการนำเสนองานต่าง ๆ ได้ (Presentation)
  • มีฟังก์ชันแจ้งเตือนในกรณีที่ปากกาถูกดึงออกจากเครื่อง หรือไม่ได้วางอยู่ใกล้ตัวเครื่อง
  • สามารถใช้ปากกา S Pen เขียนลงใน AR Emoji ได้แล้ว
  • ฟีเจอร์แปลงลายมือเป็นข้อความ (รองรับภาษาไทย)

เรียกได้ว่า ภาพรวมของปากกา S Pen บน Samsung Galaxy Note 10 Lite นั้น ทำได้ทุกอย่างเหมือนกับรุ่นพี่อย่าง Galaxy Note 10 ในราคาที่ถูกกว่าร่วมหมื่นบาท ถือว่า คุ้มค่าทีเดียว

 

อินเทอร์เฟส ทดสอบประสิทธิภาพ และการใช้งานเบื้องต้น

ทั้ง Samsung Galaxy S10 Lite และ Samsung Galaxy Note 10 Lite ทำงานบนระบบปฏิบัติการ Android 10 และอินเทอร์เฟส One UI เวอร์ชัน 2.0 อีกทั้งยังรองรับการใช้งาน 2 ซิมการ์ดแบบ nanoSIM

 

การปัดจากซ้ายไปขวา จะเป็นการเปิดใช้งานฟีเจอร์ Bixby Home เวอร์ชัน 3.0 ด้านในจะประกอบด้วยคอนเทนต์ต่าง ๆ ที่ผู้ใช้ให้ความสนใจ รวมถึงข้อมูลและกิจกรรมต่าง ๆ ของผู้ใช้จะถูกรวมมาไว้ในหน้าเดียว

 

สำหรับฟังก์ชันการแจ้งเตือน สามารถเข้าสู่เมนูลัดสำหรับตั้งค่าการใช้งานในเบื้องต้นได้ ทั้ง Wi-Fi, Bluetooth, ล็อกการหมุนของหน้าจอ, ปรับความสว่างของหน้าจอ, ไฟฉาย, Airplane Mode และการตั้งค่าอื่น ๆ รวมถึงปิดเครื่อง หรือรีสตาร์ทเครื่องจากส่วนนี้ก็ได้เช่นกัน

 

การปัดขึ้นจากหน้า Home จะเข้าสู่ App Drawer รวมแอปพลิเคชันที่มีทั้งหมดในตัวเครื่อง เบื้องต้นนั้นมีแอปพลิเคชันพื้นฐานของทาง Samsung, Google และ Microsoft ติดตั้งมาให้เรียบร้อยแล้ว ซึ่งการกดค้างที่ไอคอนแอปฯ จะพบกับเมนูลัดต่าง ๆ ทำให้เข้าถึงแอปฯ นั้น ๆ ได้รวดเร็วขึ้น

 

รองรับฟีเจอร์ฟิลเตอร์แสงสีฟ้า กับการจำกัดปริมาณแสงสีฟ้าบนหน้าจอด้วยการเปลี่ยนสีบนหน้าจอให้เป็นสีเหลืองนวล เพื่อลดอาการล้าที่ดวงตาเมื่อใช้เป็นเวลานาน ๆ หรือใช้ในที่แสงน้อย นอกจากนี้ยังมีโหมดกลางคืน กับการเปลี่ยนธีมให้เป็นสีทึบ สำหรับการใช้งานในที่แสงน้อยให้สบายตามากขึ้น

 

โหมดหน้าจอ สามารถเลือกได้ 2 แบบคือ สดใส กับ ธรรมชาติ และสามารถปรับค่าสมดุลสีขาวได้

 

หน้าจอขอบ เป็นฟีเจอร์ที่ช่วยให้ผู้ใช้เข้าถึงเครื่องมือต่าง ๆ ได้ง่ายและรวดเร็วที่สุดด้วยการปัดจากขอบด้านขวา ซึ่งสามารถเลือกแผง Edge ได้หลายแบบ เช่น แอปฯ, การเลือกอัจฉริยะ, เครื่องมือ และอื่น ๆ

 

ในส่วนของแถบการทำงานด้านล่างของหน้าจอแสดงผล สามารถเลือกได้ทั้งแบบ ปุ่มการทำงานแบบสัมผัส หรือใช้ท่าทางในการปัด แล้วแต่ความถนัดในการใช้งานของแต่ละคน

 

สามารถเลือกเปลี่ยนวอลเปเปอร์, ธีมส่วนตัว, ไอคอนส่วนตัว รวมถึง Widget ต่าง ๆ ได้ตามสไตล์การใช้งาน

 

รองรับฟีเจอร์ Always On Display กับการแสดงวันที่, เวลา รวมถึงข้อความแจ้งเตือนต่าง ๆ บนหน้า Lock Screen ในขณะที่หน้าจอยังดับอยู่ ซึ่งสามารถปรับรูปแบบของการแสดงเวลา และสีสันได้

 

ในด้านความปลอดภัยและการปลดล็อกตัวเครื่องนั้น รองรับทั้งการสแกนใบหน้า (Face Recognition) และการสแกนลายนิ้วมือบนหน้าจอแบบ Optical บนมาตรฐานความปลอดภัยจาก Samsung KNOX

 

ปุ่มด้านข้างตัวเครื่อง สามารถเลือกเพื่อตั้งค่าการใช้งานได้ เช่น กด 2 ครั้งเพื่อเปิดกล้อง - เปิด Bixby - เปิดแอปฯ หรือกดค้างไว้เพื่อปลุก Bixby - ปิดเครื่อง เป็นต้น

 

รองรับฟีเจอร์ มุมมองป๊อปอัพอัจฉริยะ (Smart Pop-up View) ซึ่งเป็นฟีเจอร์ที่มีไว้เพื่อย่อแอปพลิเคชันให้มีขนาดที่เล็กลง และสามารถย้ายตำแหน่งได้อย่างอิสระ เพื่อให้สามารถใช้งานแอปฯ อื่นได้พร้อมกัน

 

สามารถควบคุมการใช้งานด้วยการเคลื่อนไหวและท่าทาง เช่น หน้าจอติดเมื่อหยิบโทรศัพท์, แตะหน้าจอ 2 ครั้งเพื่อปลุก, ใช้ฝ่ามือปัดเพื่อจับภาพ, ปัดเพื่อโทรหรือส่งข้อความ และโหมดมือเดียว กับการปรับขนาดของการแสดงผลลงชั่วคราวเพื่อให้สามารถควบคุมการใช้งานด้วยมือเดียวได้ง่ายขึ้น

 

รองรับฟีเจอร์ Dual Messenger สามารถเชื่อมต่อ 2 บัญชีในแอปฯ เดียวกันได้พร้อมกัน เช่น Facebook, LINE เป็นต้น

 

Digital Wellbeing เป็นโหมดสำหรับติดตามเวลาในการใช้งานแต่ละแอปพลิเคชัน ที่ผู้ใช้สามารถตั้งค่าขีดจำกัดรายวันในการใช้งานแอปฯ แต่ละแอปฯ ได้ นอกจากนี้ ผู้ปกครองยังสามารถเพิ่มการจำกัดคอนเทนต์และตั้งค่าการจำกัดการใช้งานของบุตรหลานให้ใช้งานในแต่ละวันได้ด้วยเช่นกัน

 

Smart Manager แอปพลิเคชันสำหรับดูแลและบำรุงรักษาอุปกรณ์ ซึ่งสามารถปรับการตั้งค่าได้หลายส่วนด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็น แบตเตอรี่, พื้นที่จัดเก็บในภายตัวเครื่อง, เคลียร์ RAM, สถานะความปลอดภัย และควบคุมปริมาณการรับส่งข้อมูลผ่านเครือข่าย

 

รองรับฟีเจอร์ Game Booster สำหรับเกมเมอร์ ซึ่งระบบจะทำการเรียนรู้รูปแบบการใช้งานของผู้ใช้เพื่อปรับการใช้งานให้เหมาะสม นอกจากนี้ ผู้ใช้ยังสามารถบล็อกการแจ้งเตือนต่าง ๆ รวมถึงสายเรียกเข้าไม่ให้รบกวนในระหว่างเล่นเกมได้ อีกทั้งยังมีโหมดล็อกหน้าจอและสามารถกลับเข้ามาเล่นเกมเดิมได้ทันที โดยที่ไม่ต้องเข้าแอปฯ เกมนั้นใหม่

 

ถึงแม้ว่าทั้ง Samsung Galaxy S10 Lite กับ Samsung Galaxy Note 10 Lite จะใช้ชิปเซ็ตรุ่นเก่า แต่เมื่อนำไปทดสอบการเล่นเกม ก็พบว่า ยังสามารถเล่นได้อย่างลื่นไหล ไม่กระตุก ซึ่งตัวเครื่องจะมีการสะสมความร้อนอยู่บ้าง แต่ไม่ร้อนมากจนเกินไป เนื่องจากมีฟีเจอร์ Game Booster มาช่วยอีกทางหนึ่งนั่นเอง

 

ทดสอบประสิทธิภาพด้วยโปรแกรม Geekbench 5 พบว่า Samsung Galaxy S10 Lite ทำได้ 749 คะแนน (Single-Core) และ 2,679 คะแนน (Multi-Core) ส่วน Samsung Galaxy Note 10 Lite ทำได้ 704 คะแนน (Single-Core) และ 2,085 คะแนน

 

ทดสอบประสิทธิภาพของการประมวลผลด้านกราฟิกด้วยโปรแกรม 3DMark พบว่า Samsung Galaxy S10 Lite ทำคะแนนทดสอบ Sling Shot Extreme - OpenGL ES 3.1 ได้ 5,765 คะแนน และคะแนนทดสอบ Sling Shot Extreme - Vulkan ได้ 5,023 คะแนน ส่วน Samsung Galaxy Note 10 Lite ทำคะแนนทดสอบ Sling Shot Extreme - OpenGL ES 3.1 ได้ 4,023 คะแนน และคะแนนทดสอบ Sling Shot Extreme - Vulkan ได้ 3,672 คะแนน

 

กล้องถ่ายรูป

สำหรับกล้องด้านหลังของทั้ง 2 รุ่น แม้จะเป็นกล้องหลัง 3 ตัวเหมือนกัน แต่สเปกถือว่าแตกต่างกันพอสมควร ซึ่งกล้องด้านหลังของ Samsung Galaxy S10 Lite สเปกดีกว่า ด้วยกล้องหลัก ความละเอียด 48 ล้านพิกเซล, เลนส์ Ultra Wide ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล และเลนส์ Macro ความละเอียด 5 ล้านพิกเซล พร้อมจุดเด่นที่ Samsung Galaxy Note 10 Lite ไม่มี นั่นก็คือ ระบบกันสั่นแบบ Super Steady OIS และฟีเจอร์สำหรับคนชอบถ่ายวิดีโออย่าง Video Live Focus ที่สามารถถ่ายวิดีโอแบบหน้าชัดหลังเบลอได้

 

ด้านกล้องด้านหลังของ Samsung Galaxy Note 10 Lite มีสเปกเป็นรองกว่า ซึ่งกล้องทั้ง 3 ตัว ประกอบด้วย เลนส์หลัก ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล, เลนส์ Ultra Wide ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล และเลนส์ Telephoto ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล

 

มาดูอินเทอร์เฟสกล้องหน้าของทั้ง 2 รุ่นกันบ้าง ซึ่งทั้ง Samsung Galaxy S10 Lite (ซ้าย) กับ Samsung Galaxy Note 10 Lite (ขวา) มาพร้อมกับกล้องด้านหน้า ความละเอียด 32 ล้านพิกเซล (F/2.2) เหมือนกัน, สามารถใส่ฟิลเตอร์ได้ และปรับความเรียบเนียนของผิวได้สูงสุด 8 ระดับ

 

โหมด Live Focus ถ่ายภาพแบบหน้าชัดหลังเบลอ ซึ่งบน Samsung Galaxy S10 Lite สามารถเปลี่ยนเอฟเฟกต์ของฉากหลัง 5 แบบ แบบ Real-Time ได้เลย แต่บน Samsung Galaxy Note 10 Lite จะต้องถ่ายก่อน แล้วเข้าไปเปลี่ยนเอฟเฟกต์ได้ภายหลังใน Gallery

นอกจากนี้ กล้องด้านหน้าของ Samsung Galaxy S10 Lite ยังมีโหมด Video Live Focus ด้วย แต่บน Samsung Galaxy Note 10 Lite ไม่มี

 

มาดูอินเทอร์เฟสกล้องด้านหลังกันบ้าง ซึ่งบน Samsung Galaxy S10 Lite (ซ้าย) ไม่มีเลนส์ Telephoto เลยรองรับการถ่ายภาพแค่ 2 ระยะ คือระยะปกติ กับแบบมุมกว้าง (Ultra Wide) แต่บน Samsung Galaxy Note 10 Lite (ขวา) จะรองรับการซูมแบบ Optical ได้ 2 เท่า (ไอคอนต้นไม้ 1 ต้น)

 

อัตราส่วนของภาพถ่าย บน Samsung Galaxy S10 Lite มีให้เลือก 5 แบบ ได้แก่ 3:4H, 3:4, 9:16, 1:1 และ Full ส่วนบน Samsung Galaxy Note 10 Lite จะมีให้เลือก 4 แบบ ได้แก่ 3:4, 9:16, 1:1 และ Full

 

โหมดการถ่ายภาพ ไม่แตกต่างกันมากนัก ต่างกันแค่บน Samsung Galaxy S10 Lite จะมีโหมดมาโคร เนื่องจากรุ่นนี้มีเลนส์ Macro ความละเอียด 5 ล้านพิกเซล แต่บน Samsung Galaxy Note 10 Lite ไม่มี นอกจากนี้ ทั้ง 2 รุ่นยังรองรับ Bixby Vision และ AR Emoji อีกด้วย

 

ส่วนการตั้งค่ากล้อง ไม่แตกต่างกันมากนัก ไม่ว่าจะเป็น ตัวปรับสีภาพ, ตัวสแกน QR Code, ขนาดวิดีโอของกล้องหน้า-หลัง, โหมด HDR, จุดตัดเก้าช่อง, ลายน้ำ และอื่น ๆ

 

ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องด้านหน้าของ Galaxy S10 Lite
โหมด Beauty ปรับความเนียนระดับ 4

 

ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องด้านหน้าของ Galaxy S10 Lite
โหมด Beauty ปรับความเนียนระดับ 8

 

ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องด้านหน้าของ Galaxy S10 Lite
โหมด Live Focus

 

ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องด้านหน้าของ Galaxy Note10 Lite
โหมด Beauty ปรับความเนียนระดับ 4

 

ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องด้านหน้าของ Galaxy Note10 Lite
โหมด Beauty ปรับความเนียนระดับ 8

 

ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องด้านหน้าของ Galaxy Note10 Lite
โหมด Live Focus

 

ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องด้านหลังของ Galaxy S10 Lite
โหมดปกติ

 

ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องด้านหลังของ Galaxy S10 Lite โหมดปกติ

 

ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องด้านหลังของ Galaxy S10 Lite
โหมดปกติ

 

ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องด้านหลังของ Galaxy S10 Lite
โหมด Macro

 

ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องด้านหลังของ Galaxy S10 Lite
โหมด Macro

 

ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องด้านหลังของ Galaxy S10 Lite
โหมด Macro

 

ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องด้านหลังของ Galaxy S10 Lite
โหมดกลางคืน

 

ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องด้านหลังของ Galaxy Note10 Lite
มุมมองปกติ

 

ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องด้านหลังของ Galaxy Note10 Lite
มุมมองกว้าง (Ultra Wide)

 

ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องด้านหลังของ Galaxy Note10 Lite
โหมดกลางคืน

 

สรุปการใช้งาน

จากการทดสอบใช้งานทั้ง Samsung Galaxy S10 Lite และ Samsung Galaxy Note 10 Lite แม้ว่าตัวเครื่องจะมีดีไซน์ใกล้เคียงกัน และขนาดหน้าจอเท่ากันที่ 6.7 นิ้วก็ตาม แต่ในแง่ของการใช้งานนั้นตอบโจทย์กันคนละแบบ ซึ่ง Samsung Galaxy S10 Lite ถือว่า มีสเปกโดยรวมดีกว่า Galaxy Note 10 Lite ทั้งเรื่องของชิปเซ็ต Qualcomm Snapdragon 855 ที่เปิดตัวในปี 2019 แม้จะไม่ใช่ชิปเซ็ตเรือธงตัวล่าสุด แต่ก็ยังรองรับการใช้งานในด้านต่าง ๆ ได้อย่างสบาย ๆ เช่นเดียวกับกล้องด้านหลังที่มีสเปกดีกว่าเช่นกัน แถมยังมาพร้อมกับระบบกันสั่นแบบ Super Steady OIS อีกด้วย

ส่วน Samsung Galaxy Note 10 Lite แม้จะมีสเปกที่เป็นรองกว่า Samsung Galaxy S10 Lite ทั้งในเรื่องของชิปเซ็ต Exynos 9810 ที่เปิดตัวในปี 2018 รวมถึงกล้องด้านหลัง แม้จะเป็นกล้อง 3 ตัวเหมือนกัน แต่กล้องหลัก มีความละเอียดเพียง 12 ล้านพิกเซลเท่านั้น รวมถึงไม่มีระบบกันสั่นแบบ Super Steady OIS แต่สิ่งที่ถือว่าเป็นไฮไลท์ที่หาไม่ได้ในซีรีส์อื่น นั่นก็คือ ปากกา S Pen ที่มาพร้อมกับฟีเจอร์เดียวกับรุ่นใหญ่ ไม่ว่าจะเป็น รองรับการเชื่อมต่อผ่าน Bluetooth, สามารถใช้กดชัตเตอร์ถ่ายภาพได้, เปลี่ยนสไลด์งานได้, กดเล่นเพลง-หยุดเพลงได้ รวมถึงยังเป็นรุ่นที่มีช่องหูฟังขนาด 3.5 มิลลิเมตรมาให้ จึงเหมาะสำหรับคนที่ชอบฟังเพลงด้วยหูฟังแบบมีสายเดิม ๆ ไม่ต้องไปหาตัวแปลง รวมถึงสามารถฟังเพลงไปชาร์จไปพร้อมกันด้วยได้

แต่ทั้งนี้ ทั้ง 2 รุ่นไม่รองรับคุณสมบัติด้านการกันน้ำ-กันฝุ่น, ไม่รองรับ Samsung Pay, ไม่รองรับ Samsung DeX และถาดใส่ซิมการ์ดเป็นแบบ Hybrid Slot ทำให้ไม่สามารถใส่ซิมการ์ดที่ 2 ไปพร้อมกับ microSD Card ได้ ต้องเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง

ด้วยราคาค่าตัวที่ใกล้เคียงกันมาก สรุปแล้ว Samsung Galaxy S10 Lite เหมาะสำหรับคนที่ต้องการมือถือสเปกแรง ๆ, ถ่ายรูปสวย และถ่ายวิดีโอพร้อมระบบกันสั่น แม้ชิปเซ็ตที่ใช้จะไม่ใช่รุ่นใหม่ล่าสุด แต่ก็ยังสามารถใช้งานได้ยาว ๆ อีกหลายปี ในขณะที่ Samsung Galaxy Note 10 Lite เหมาะสำหรับคนที่ชอบมือถือที่สามารถใช้ปากกาได้ เน้นจดโน้ต หรือการขีด ๆ เขียน ๆ เป็นหลัก, ถ่ายภาพได้ทุกระยะในกล้องเดียว รวมถึงยังชอบฟังเพลงด้วยหูฟังแบบเดิม ๆ ไม่ต้องหาตัวแปลงให้ยุ่งยาก

 

สำหรับราคาของ Samsung Galaxy S10 Lite อยู่ที่ 18,900 บาท ส่วน Samsung Galaxy Note 10 Lite อยู่ที่ 17,990 บาท ซึ่งทาง Samsung เองก็มีโปรโมชั่นสำหรับนักเรียน นักศึกษา มอบส่วนลดสูงสุด 5,780 บาท เพียงแค่ไปลงทะเบียนโปรโมชั่นบัดดี้เรื่องเรียน ก็รับโค้ดส่วนลดไปเลยทันที

 

ข้อควรทราบ : เครื่อง Samsung Galaxy S10 Lite และ Samsung Galaxy Note 10 Lite ในบทความรีวิวนี้ เป็นเพียงเครื่องทดสอบเท่านั้น คุณสมบัติบางอย่างอาจยังไม่สมบูรณ์ 100% และอาจไม่ตรงกับตัวเครื่องที่วางจำหน่ายจริง

 

 

------------------------------------

บทความรีวิวโดย : techmoblog.com

Update : 14/05/2020

Samsung Galaxy S10 Lite Samsung Galaxy Note 10 Lite





Cookie Consent

Our website uses cookies to provide your browsing experience and relavent informations.Before continuing to use our website, you agree & accept of our Cookie Policy & Privacy