นอกเหนือจาก Samsung Galaxy S20 Ultra ที่ทีมงานได้เผยบทความรีวิวไปเมื่อไม่นานมานี้ ในตระกูล Galaxy S20 Series ยังมีอีก 2 รุ่น นั่นก็คือ Samsung Galaxy S20+ และ Samsung Galaxy S20 ซึ่งในวันนี้ เป็นคิวของ Samsung Galaxy S20+ รุ่นรองท็อปของซีรี่ส์นี้นั่นเอง
สำหรับดีไซน์โดยรวมของ Samsung Galaxy S20+ นั้น ถือว่าไม่ต่างจาก Samsung Galaxy S20 Ultra เท่าใดนัก ยกเว้นขนาดหน้าจอกับดีไซน์ของกล้องด้านหลัง โดยมาพร้อมกับบอดี้โลหะกันน้ำได้ที่ระดับ IP68 บนดีไซน์แบบ Infinity-O Display และหน้าจอขนาด 6.7 นิ้ว แบบ Dynamic AMOLED 2X ความละเอียด 3200 x 1440 พิกเซล ที่ชูจุดเด่นด้วยอัตรา Refresh Rate สูงถึง 120 Hz ทำให้ภาพดูไหลลื่นอย่างต่อเนื่องและสบายตามากขึ้น อีกทั้งยังมาพร้อมกับฟีเจอร์ฟิลเตอร์แสงสีฟ้า กับการจำกัดปริมาณแสงสีฟ้าบนหน้าจอด้วยการเปลี่ยนสีบนหน้าจอให้เป็นสีเหลืองนวล เพื่อลดอาการล้าที่ดวงตาเมื่อใช้เป็นเวลานาน ๆ หรือใช้ในที่แสงน้อย
ด้านการประมวลผล มาพร้อมกับชิปเซ็ต Exynos 990 แบบ Octa-Core Processor ความเร็ว 2.7 GHz, หน่วยประมวลผลภาพกราฟิก Mali-G77 MP11 GPU, หน่วยความจำ RAM ขนาด 8 GB, หน่วยความจำ ROM ขนาด 128 GB รองรับ microSD Card สูงสุด 1 TB และแบตเตอรี่ขนาด 4,500 mAh พร้อมรองรับระบบชาร์จเร็วขนาด 25W อีกทั้งยังมาพร้อมกับระบบด้านความปลอดภัยตามมาตรฐาน Samsung KNOX ทั้งการสแกนลายนิ้วมือบนหน้าจอ (Ultrasonic Fingerprint Sensor) รวมถึงระบบการจดจำใบหน้า (Face Recognition)
มาดูกันที่กล้องถ่ายรูปกันบ้าง แม้จะไม่ได้มาพร้อมกับฟีเจอร์ Space Zoom แบบรุ่นท็อป แต่ก็ถือว่ากล้องของ Samsung Galaxy S20+ พกของดีติดตัวไม่น้อย ซึ่งมาพร้อมกับกล้องด้านหลังมากถึง 4 ตัว ครบทุกระยะการถ่ายภาพในรุ่นเดียว ทั้งภาพแบบ Ultra Wide, ถ่ายภาพบุคคลแบบ Portrait รวมถึงโหมดซูมสุดพลังที่ระยะ 30x หรือแบบ Optical Zoom ที่ระยะ 3x แบบไม่สูญเสียรายละเอียดของภาพ อีกทั้ง ยังรองรับการถ่ายวิดีโอที่ความละเอียดสูงสุดระดับ 8K อีกด้วย
ส่วน Samsung Galaxy S20+ จะตอบโจทย์ด้านการใช้งานได้แค่ไหนนั้น มาพิสูจน์ไปพร้อม ๆ กันกับ รีวิว Samsung Galaxy S20+ โดยทีมงาน techmoblog.com
>> สเปก Samsung Galaxy S20+ อย่างละเอียด คลิกที่นี่
สำหรับดีไซน์ของ Samsung Galaxy S20+ นั้น เหมือนกับ Samsung Galaxy S20 Ultra แต่มีขนาดตัวเครื่องและขนาดหน้าจอที่เล็กกว่า ซึ่งรุ่นนี้มาพร้อมกับหน้าจอขนาด 6.7 นิ้ว แบบ Quad HD+ Dynamic AMOLED 2X ความละเอียด 3200 x 1440 พิกเซล บนอัตราส่วน 20:9 และดีไซน์แบบ Infinity-O Display หรือดีไซน์หน้าจอแบบเจาะรูตรงกลางด้านบน
นอกจากนี้ ยังมาพร้อมกับหน้าจอแสดงผลที่มีค่า Refresh Rate 120 Hz ซึ่งตอบสนองได้อย่างแม่นยำและลื่นไหลมากยิ่งขึ้น โดยถ้าหากผู้ใช้ตั้งค่า Refresh Rate ที่ 120 Hz จะปรับความละเอียดได้สูงสุดที่ FHD+ เท่านั้น แต่ถ้าหาก Refresh Rate อยู่ที่ 60 Hz จะสามารถปรับความละเอียดได้ที่ระดับ WQHD+ (3200 x 1440 พิกเซล)
ด้านบนของหน้าจอแสดงผล เป็นกล้องด้านหน้า ความละเอียด 10 ล้านพิกเซล (F/2.2), เซ็นเซอร์ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น Accelerometer Sensor, Proximity Sensor และ RGB Light Sensor ซึ่งเหนือกล้องจะเป็นลำโพงสำหรับสนทนา
ส่วนด้านล่างของหน้าจอแสดงผล เป็นปุ่มควบคุมการทำงานแบบ On-Screen ประกอบด้วย ปุ่ม Recent Apps, ปุ่ม Home และปุ่มย้อนกลับ นอกจากนี้ ยังรองรับการสแกนลายนิ้วมือบนหน้าจอแบบ Ultrasonic Fingerprint Sensor อีกด้วย
ด้านขวาของตัวเครื่อง ประกอบด้วย ปุ่ม Home และปุ่มปรับระดับเสียง
ด้านซ้ายตัวเครื่อง ไม่มีปุ่มควบคุมการทำงาน
ด้านบนตัวเครื่อง เป็นช่องสำหรับซิมการ์ดแบบ Hybrid Slot รองรับการใช้งาน 2 ซิมการ์ดแบบ nanoSIM รวมถึง microSD Card รองรับสูงสุด 1 TB ส่วนด้านขวา เป็นไมโครโฟนตัวที่สองสำหรับตัดเสียงรอบข้าง
ด้านล่างของตัวเครื่อง ประกอบด้วย ลำโพงเสียง, พอร์ต USB-C และไมโครโฟน
สำหรับ Samsung Galaxy S20+ รุ่นที่นำมารีวิวนี้ เป็นตัวเครื่องสีดำ Cosmic Black ผิวสัมผัสเรียบ มันเงา โดยกล้องด้านหลังมาพร้อมโมดูลแบบ Iconic Square ประกอบด้วยกล้องทั้งหมด 4 ตัว, ไมโครโฟนที่มาพร้อมกับฟังก์ชัน Zoom-in Mic และไฟแฟลชแบบ LED ซึ่งรายละเอียดของกล้องด้านหลัง ประกอบด้วย
สำหรับอุปกรณ์ที่ให้มาในชุดจำหน่ายมาตรฐาน ประกอบด้วย หูฟังจาก AKG, สาย USB-C to USB-C, อะแดปเตอร์ขนาด 25W แบบ Super Fast Charging, เข็มสำหรับจิ้มถาดซิมการ์ด, ใบรับประกัน และคู่มือการใช้งาน
สำหรับใครที่มองหาอุปกรณ์เสริมอย่าง เคส Samsung Galaxy S20+ ทางซัมซุงเองก็มีวางจำหน่ายด้วยเช่นกัน โดยมีให้เลือกหลายแบบ ซึ่งด้านบนเป็น Leather Case หรือเคสหนัง เหมาะสำหรับคนที่ชอบความนุ่ม แต่เรียบหรู ภายในบุด้วยกำมะหยี่ ไม่ทำให้ตัวเครื่องเป็นรอย โดยมีให้เลือกทั้งหมด 6 สี ได้แก่ Black, Sky Blue, Red, Brown, Gray (รุ่นด้านบน) และ Light Gray ราคาอยู่ที่ 1,590 บาท
ส่วนอีกรุ่นก็คือ Smart LED Cover ที่มีลูกเล่นตรงที่เมื่อมีการแจ้งเตือนเข้ามา จะมีแสงไฟ LED ปรากฏเป็นรูปไอคอนต่าง ๆ ตามที่ได้ตั้งค่าไว้ โดยจะทำงานร่วมกับแอปพลิเคชัน LED Cover ซึ่งจะป๊อปอัพขึ้นมาเมื่อใส่เคส สามารถเลือกรูปแบบไฟ LED ด้านหลังได้ 2 แบบ คือ แสงสว่างตามอารมณ์ กับ ไอคอน LED และสามารถแสดงอิโมติคอนบน LED Cover เมื่อถ่ายภาพด้วยกล้องด้านหลังได้ด้วยเช่นกัน
สำหรับราคาของเคส Smart LED Cover อยู่ที่ 1,290 บาท มีให้เลือก 4 สี ได้แก่ Black, Gray, Sky Blue และ Pink (รุ่นด้านบน)
ส่วนอุปกรณ์เสริมทั้งหมดสำหรับ Samsung Galaxy S20 Series สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.samsung.com/
Samsung Galaxy S20+ ทำงานบนระบบปฏิบัติการ Android 10 และอินเทอร์เฟส One UI เวอร์ชัน 2.1 ซึ่งรุ่นนี้รองรับการใช้งาน 2 ซิมการ์ดแบบ nanoSIM และรองรับเครือข่าย 4G LTE ทั้ง 2 ซิมการ์ด
สำหรับฟังก์ชันการแจ้งเตือน สามารถเข้าสู่เมนูลัดสำหรับตั้งค่าการใช้งานในเบื้องต้นได้ ทั้ง Wi-Fi, Bluetooth, ล็อกการหมุนของหน้าจอ, ปรับความสว่างของหน้าจอ, ไฟฉาย, Airplane Mode และการตั้งค่าอื่น ๆ รวมถึงปิดเครื่อง หรือรีสตาร์ทเครื่อง นอกจากนี้ ยังสามารถจัดเรียงปุ่มต่าง ๆ ได้ตามการใช้งาน
Samsung Daily (ชื่อเดิม Bixby Home) จะเป็นแหล่งรวมคอนเทนต์ต่าง ๆ ที่ผู้ใช้ให้ความสนใจ ซึ่งข้อมูลทั้งหมดจะถูกรวบรวมไว้ที่ส่วนนี้ สะดวกต่อการอ่านและค้นหา
การปัดขึ้นจากหน้า Home จะเข้าสู่ App Drawer รวมแอปพลิเคชันที่มีทั้งหมดในตัวเครื่อง เบื้องต้นนั้นมีแอปพลิเคชันพื้นฐานของทาง Samsung, Google และ Microsoft ติดตั้งมาให้เรียบร้อยแล้ว
รองรับการใช้งาน 2 ซิมการ์ดแบบ nanoSIM และรองรับเทคโนโลยี NFC สามารถชำระเงินได้ผ่านทางฟีเจอร์ Samsung Pay
สำหรับจอภาพนั้น สามารถตั้งค่าได้ทั้งแบบโหมดสว่าง และโหมดมืด ซึ่งจะเป็นการเปลี่ยนธีมให้เป็นสีทึบ สำหรับการใช้งานในที่แสงน้อยให้สบายตามากขึ้น นอกจากนี้ ยังรองรับฟีเจอร์ฟิลเตอร์แสงสีฟ้า กับการจำกัดปริมาณแสงสีฟ้าบนหน้าจอด้วยการเปลี่ยนสีบนหน้าจอให้เป็นสีเหลืองนวล เพื่อลดอาการล้าที่ดวงตาเมื่อใช้เป็นเวลานาน ๆ หรือใช้ในที่แสงน้อย ส่วนโหมดหน้าจอ สามารถเลือกได้ 2 แบบคือ สดใส กับ ธรรมชาติ และสามารถปรับค่าสมดุลสีขาวได้
สามารถตั้งค่าการแสดงผลของไอคอนแอปฯ ทั้งในหน้าจอหลัก และหน้าจอแอปฯ ได้ 4 รูปแบบ ซึ่งได้แก่ 4x5, 4x6, 5x5 และ 5x6
หน้าจอขอบ เป็นฟีเจอร์ที่ช่วยให้ผู้ใช้เข้าถึงเครื่องมือต่าง ๆ ได้ง่ายและรวดเร็วที่สุดด้วยการปัดจากขอบด้านขวา ซึ่งสามารถเลือกแผง Edge ได้หลายแบบ เช่น แอปฯ, การเลือกอัจฉริยะ, เครื่องมือ และอื่น ๆ
ส่วน Edge Lighting เป็นแสดงการแจ้งเตือนในรูปแบบ Pop Up ขนาดเล็กพร้อมเอฟเฟกต์แสง ซึ่งผู้ใช้สามารถเลือกรูปแบบ, สีสัน, ความโปร่งใส และช่วงเวลาในการแสดงเอฟเฟกต์ได้
รองรับฟีเจอร์ Always On Display กับการแสดงวันที่, เวลา รวมถึงข้อความแจ้งเตือนต่าง ๆ บนหน้า Lock Screen ในขณะที่หน้าจอยังดับอยู่ ซึ่งสามารถปรับรูปแบบของการแสดงเวลา และสีสันได้
ในด้านความปลอดภัยและการปลดล็อกตัวเครื่องนั้น รองรับทั้งการสแกนใบหน้า (Face Recognition) และการสแกนลายนิ้วมือบนหน้าจอ (Ultrasonic Fingerprint Sensor) บนมาตรฐานความปลอดภัยจาก Samsung KNOX
ปุ่มด้านข้างตัวเครื่อง สามารถเลือกเพื่อตั้งค่าการใช้งานได้ เช่น กด 2 ครั้งเพื่อเปิดกล้อง - เปิด Bixby - เปิดแอปฯ หรือกดค้างไว้เพื่อปลุก Bixby - ปิดเครื่อง เป็นต้น
รองรับฟีเจอร์ มุมมองป๊อปอัพอัจฉริยะ (Smart Pop-up View) ซึ่งเป็นฟีเจอร์ที่มีไว้เพื่อย่อแอปพลิเคชันให้มีขนาดที่เล็กลง และสามารถย้ายตำแหน่งได้อย่างอิสระ เพื่อให้สามารถใช้งานแอปฯ อื่นได้พร้อมกัน
สามารถควบคุมการใช้งานด้วยการเคลื่อนไหวและท่าทาง เช่น หน้าจอติดเมื่อหยิบโทรศัพท์, แตะหน้าจอ 2 ครั้งเพื่อปลุก, ใช้ฝ่ามือปัดเพื่อจับภาพ, ปัดเพื่อโทรหรือส่งข้อความ และโหมดมือเดียว กับการปรับขนาดของการแสดงผลลงชั่วคราวเพื่อให้สามารถควบคุมการใช้งานด้วยมือเดียวได้ง่ายขึ้น
รองรับฟีเจอร์ Dual Messenger สามารถเชื่อมต่อ 2 บัญชีในแอปฯ เดียวกันได้พร้อมกัน เช่น Facebook, LINE เป็นต้น
Digital Wellbeing เป็นโหมดสำหรับติดตามเวลาในการใช้งานแต่ละแอปพลิเคชัน ที่ผู้ใช้สามารถตั้งค่าขีดจำกัดรายวันในการใช้งานแอปฯ แต่ละแอปฯ ได้ นอกจากนี้ ผู้ปกครองยังสามารถเพิ่มการจำกัดคอนเทนต์และตั้งค่าการจำกัดการใช้งานของบุตรหลานให้ใช้งานในแต่ละวันได้ด้วยเช่นกัน
Smart Manager แอปพลิเคชันสำหรับดูแลและบำรุงรักษาอุปกรณ์ ซึ่งสามารถปรับการตั้งค่าได้หลายส่วนด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็น แบตเตอรี่, พื้นที่จัดเก็บในภายตัวเครื่อง, เคลียร์ RAM, สถานะความปลอดภัย และควบคุมปริมาณการรับส่งข้อมูลผ่านเครือข่าย
ในกรณีที่คลิปวิดีโอไม่ได้อยู่ในอัตราส่วนที่ 20:9 การแสดงผลจะเป็นแบบไม่เต็มจอ ซึ่งจะเหลือขอบด้านข้างซ้ายและขวาเอาไว้ แต่ผู้ใช้สามารถขยายให้เต็มจอได้ แต่ภาพจะตัดขอบด้านบนและด้านล่างออกไปเล็กน้อย
รองรับฟีเจอร์ Game Booster สำหรับเกมเมอร์ ซึ่งระบบจะทำการเรียนรู้รูปแบบการใช้งานของผู้ใช้เพื่อปรับการใช้งานให้เหมาะสม นอกจากนี้ ผู้ใช้ยังสามารถบล็อกการแจ้งเตือนต่าง ๆ รวมถึงสายเรียกเข้าไม่ให้รบกวนในระหว่างเล่นเกมได้ อีกทั้งยังมีโหมดล็อกหน้าจอและสามารถกลับเข้ามาเล่นเกมเดิมได้ทันที โดยที่ไม่ต้องเข้าแอปฯ เกมนั้นใหม่
มาทดสอบประสิทธิภาพด้านการเล่นเกมกันบ้าง ซึ่ง Samsung Galaxy S20+ รุ่นที่นำมาทดสอบนี้ มาพร้อมกับชิปเซ็ต Exynos 990 และหน่วยความจำ RAM ขนาด 8 GB ตอบสนองต่อการเล่นเกมได้อย่างดี โหลดไว ลื่นไหล ไม่สะดุด ประกอบกับฟีเจอร์ Game Booster ทำให้ตัวเครื่องไม่ร้อนจนเกินไปในขณะที่เล่นเกมอีกด้วย
ทดสอบ Benchmark ด้วยโปรแกรม Geekbench 5 ทำได้ 589 คะแนน และ 2,673 คะแนน สำหรับการทดสอบแบบ Single-Core และ Multi-Core ส่วนโปรแกรม 3D Mark กับการทดสอบแบบ Sling Shot Extreme - OpenGL ES 3.1 ได้คะแนนการทดสอบที่ 5,527 คะแนน และการทดสอบแบบ Sling Shot Extreme - Vulkan ได้คะแนนการทดสอบที่ 5,203 คะแนน
สำหรับรีวิวนี้ไม่ได้ทำการทดสอบ Benchmark ด้วยโปรแกรม AnTuTu เพราะในช่วงที่กำลังทำรีวิวนั้น ทาง Google ได้ถอดแอปพลิเคชันดังกล่าวออก เนื่องจากพบว่ามีความเกี่ยวโยงกับ Cheetah Mobile เจ้าของแอปฯ Clean Master ที่มีข่าวในการโกงคลิกโฆษณา
ส่วนเซ็นเซอร์ที่รองรับบน Samsung Galaxy S20+ ก็ได้แก่ Accelerometer Sensor, Light Sensor, Orientation Sensor, Proximity Sensor, Gyroscope Sensor, Sound Sensor, Magnetic Sensor และ Pressure Sensor
Samsung Galaxy S20+ มาพร้อมกับกล้องด้านหน้า ความละเอียด 10 ล้านพิกเซล พร้อมรูรับแสงกว้าง F/2.2 สามารถเลือกมุมมองถ่ายภาพทั้งแบบมุมมองปกติ และมุมมองกว้างสำหรับถ่ายภาพกลุ่ม, สามารถใส่ฟิลเตอร์ให้กับภาพถ่าย รวมถึง Custom Filters หรือฟิลเตอร์ส่วนตัว สมมติว่าไปเจอ preset ถูกใจบน Instagram ก็ให้เซฟภาพนั้นมาใช้เป็นฟิลเตอร์ส่วนตัวได้โดยที่ไม่ต้องไปปรับโทนสีอะไรอีก จากการทดสอบใช้งานก็คือ ยังไม่ตรงกับภาพต้นฉบับมากเท่าที่ควร แต่ก็ถือว่าใช้งานได้ง่ายและสะดวก
โหมด Beauty ที่สามารถปรับแต่งใบหน้าได้ 4 แบบ ได้แก่ ความเรียบเนียน, สีผิว, แนวกราม และดวงตา สูงสุด 8 ระดับ
โหมด Live Focus ถ่ายภาพแบบหน้าชัดหลังเบลอ สามารถเลือกรูปแบบการเบลอได้ 5 รูปแบบ ได้แก่ เบลอ, วงกลมขนาดใหญ่, สปิน, ซูม และ Color Point อีกทั้งยังสามารถปรับความเนียนของผิวได้สูงสุด 8 ระดับ
Single Take ลูกเล่นการถ่ายภาพแนวใหม่บน Samsung Galaxy S20+ ซึ่งเป็นโหมดถ่ายภาพนิ่งและวิดีโอความยาว 10 วินาทีพร้อมกัน โดยเคล็ดลับในการถ่ายภาพแบบ Single Take ก็คือ จะต้องถ่ายภาพแบบเคลื่อนที่ไปมา สลับไปที่ตัวบุคคลบ้าง วัตถุบ้าง ผลลัพธ์ที่ได้ก็คือ จะมีทั้งภาพนิ่ง, ภาพวิดีโอ, ภาพที่ดีที่สุด, ภาพแบบใส่ฟิลเตอร์ในรูปแบบต่าง ๆ สูงสุดถึง 14 แบบ ที่สามารถนำไปแชร์ต่อได้เลยโดยไม่ต้องแต่งเพิ่มอีก
มาที่ฟังก์ชันการใช้งานด้าน AR กันบ้าง มีให้เลือกใช้งานหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็น AR Emoji, AR Doodle, Deco Pic, ตัวสแกน 3D, การวัดด่วน และ Picture Link โดย AR Emoji เป็นการสร้างภาพ Emoji ของตัวเอง ที่ผู้ใช้สามารถเลือกปรับแต่งเสื้อผ้า, หน้า, ทรงผม ได้ตามใจชอบ
รวมถึงสร้าง AR Sticker ที่ช่วยเพิ่มลูกเล่นให้ภาพถ่ายน่าสนใจมากยิ่งขึ้นอีกด้วย
สำหรับกล้องด้านหลังของ Samsung Galaxy S20+ มีทั้งหมด 4 ตัว ประกอบด้วย เลนส์หลัก (Wide Angle) ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล, เลนส์ Ultra Wide ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล, เลนส์ Telephoto ความละเอียด 64 ล้านพิกเซล และเลนส์ DepthVision สำหรับวัดระยะชัดลึก โดยมีอินเทอร์เฟสและโหมดการใช้งานเช่นเดียวกับกล้องด้านหน้า
ด้านระบบซูม รองรับ Optical Zoom สูงสุด 3 เท่า สามารถซูมได้โดยไม่สูญเสียรายละเอียดของภาพ และรองรับ Digital Zoom สูงสุด 30 เท่า โดยสามารถซูมได้อย่างรวดเร็วด้วยการกดที่ไอคอนรูปต้นไม้ ซึ่งรูปต้นไม้ 3 ต้น หมายถึง ระยะ 0.5x (มุมกว้าง), ต้นไม้ 2 ต้น หมายถึง ระยะ 1.0x และต้นไม้ 1 ต้น หมายถึง ระยะ 3x หรือเลือกระยะอื่นได้ที่ตัวเลือกด้านล่าง
โหมดโปร สามารถเลือกตั้งค่ากล้องได้ด้วยตนเอง ไม่ว่าจะเป็น ISO, Shutter Speed, การโฟกัสภาพ, White Balance รวมถึงการชดเชยแสง
นอกจากนี้ ยังสามารถตั้งค่าการใช้งานกล้องได้หลายส่วนด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็น เปิดใช้งานตัวปรับสีภาพ, มุมเซลฟี่อัจฉริยะ, สแกน QR Code, จุดตัดเก้าช่อง, แท็กสถานที่ และอื่น ๆ ซึ่งโหมดถ่ายวิดีโอกล้องหลัง สามารถปรับความละเอียดได้สูงสุดที่ระดับ 8K (18:9) ส่วนกล้องด้านหน้า ปรับความละเอียดได้สูงสุดที่ระดับ 4K
ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องด้านหน้า โหมด Beauty ปรับความเนียนของผิวระดับ 4
ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องด้านหน้า โหมด Beauty ปรับความเนียนของผิวระดับ 4
ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องด้านหน้า โหมด Beauty ปรับความเนียนของผิวระดับ 8
ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องด้านหน้า โหมด Beauty ปรับความเนียนของผิวระดับ 8
ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องด้านหน้า โหมด Live Focus เอฟเฟกต์ฉากหลังแบบเบลอ
ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องด้านหน้า โหมด Live Focus เอฟเฟกต์ฉากหลังแบบสปิน
ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องด้านหลัง โหมดถ่ายภาพปกติแบบ Ultra Wide (0.5x)
ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องด้านหลัง โหมดถ่ายภาพปกติ ระยะ 1.0x
ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องด้านหลัง โหมดถ่ายภาพปกติ ระยะ 2.0x
ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องด้านหลัง โหมดถ่ายภาพปกติ ระยะ 3.0x
ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องด้านหลัง โหมดถ่ายภาพปกติ ระยะ 4.0x
ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องด้านหลัง โหมดถ่ายภาพปกติ ระยะ 10x
ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องด้านหลัง โหมดถ่ายภาพปกติ ระยะ 20x
ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องด้านหลัง โหมดถ่ายภาพปกติ ระยะ 30x
ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องด้านหลัง โหมดถ่ายภาพปกติ แบบ Ultra Wide
ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องด้านหลัง โหมดถ่ายภาพปกติ แบบ Ultra Wide
ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องด้านหลัง โหมดถ่ายภาพปกติ
ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องด้านหลัง โหมดถ่ายภาพปกติ
ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องด้านหลัง โหมดถ่ายภาพปกติ
ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องด้านหลัง โหมดถ่ายภาพปกติ (ตอนกลางคืน)
ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องด้านหลัง เปิด Night Mode
ถึงแม้ว่า Samsung Galaxy S20+ จะไม่ใช่รุ่นท็อปของซีรี่ส์นี้ แต่คุณสมบัติในภาพรวมนั้นถือว่ามีของดีไม่แพ้ Samsung Galaxy S20 Ultra เลยก็ว่าได้ เนื่องจากใช้ชิปเซ็ตตัวเดียวกัน นั่นก็คือ Exynos 990 ที่ประมวลผลแรงถึงใจในระดับ Octa-Core Processor พร้อมหน่วยความจำ RAM ขนาด 8 GB อีกทั้งยังมาพร้อมกับฟีเจอร์สำหรับเกมเมอร์ นั่นก็คือ Game Booster ที่ผู้ใช้ยังสามารถบล็อกการแจ้งเตือนต่าง ๆ รวมถึงสายเรียกเข้าไม่ให้รบกวนในระหว่างเล่นเกมได้ อีกทั้งระบบจะมีการปรับรูปแบบการใช้งานเพื่อให้ตัวเครื่องใช้พลังงานแบตเตอรี่อย่างเหมาะสม ทำให้ตัวเครื่องไม่ร้อนจนเกินไปในขณะที่เล่นเกม
ในด้านการออกแบบนั้น มาพร้อมดีไซน์แบบ Infinity-O Display ที่ผู้ใช้มือถือซัมซุงคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี กับการเจาะรูที่ด้านจอส่วนบนสำหรับกล้องด้านหน้า โดยมาพร้อมกับหน้าจอขนาด 6.7 นิ้ว แบบ Dynamic AMOLED 2X ความละเอียด 3200 x 1440 พิกเซล บนอัตราส่วน 20:9 อีกทั้งยังมาพร้อมกับขอบจอบางเฉียบ ส่งผลทำให้มีพื้นที่ในการแสดงผลมากขึ้น และยังรองรับอัตรา Refresh Rate สูงถึง 120 Hz ทำให้ภาพลื่นไหลมากขึ้นอีกด้วย ทั้งนี้การเปิดโหมดดังกล่าว อาจทำให้สิ้นเปลืองพลังงานแบตเตอรี่กว่าโหมดปกติ แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่น่ากังวลเพราะ Samsung Galaxy S20+ มาพร้อมกับแบตเตอรี่ขนาดใหญ่ถึง 4,500 mAh และรองรับระบบชาร์จเร็วขนาด 25W ทำให้ชาร์จแบตเตอรี่เต็มได้ไวขึ้นกว่าเดิม
ไฮไลท์สำคัญอีกอย่างบน Samsung Galaxy S20+ นั่นก็คือ กล้องถ่ายรูป ที่มาพร้อมกับดีไซน์กล้องคล้ายกับ Samsung Galaxy S20 Ultra แต่ขนาดเล็กกว่า โดยกล้องด้านหลังเป็นกล้อง 4 ตัว (Quad Camera) ความละเอียด 12+12+64 ล้านพิกเซล พร้อมเซ็นเซอร์ DepthVision สำหรับวัดระยะชัดลึก รองรับโหมดถ่ายภาพแบบครบทุกระยะ ทั้งแบบ Ultra Wide, ซูมได้สูงสุด 30x, โหมดถ่ายภาพกลางคืน, โหมด Live Focus ถ่ายภาพแบบหน้าชัดหลังเบลอ, โหมดโปร และโหมดถ่ายวิดีโอที่รองรับความละเอียดสูงสุดที่ระดับ 8K ส่วนกล้องด้านหน้า ความละเอียดอยู่ที่ 10 ล้านพิกเซล พร้อมโหมด Live Focus และ Single Take ลูกเล่นใหม่ที่ได้ทั้งภาพนิ่งและวิดีโอในเวลาเดียวกัน
สำหรับคุณสมบัติในด้านอื่น ๆ บน Samsung Galaxy S20+ ก็ได้แก่ รองรับการใช้งาน 2 ซิมการ์ด, กันน้ำกันฝุ่นตามมาตรฐาน IP68, รองรับการสแกนลายนิ้วมือบนหน้าจอแบบ Ultrasonic, ฟีเจอร์ Wireless PowerShare สามารถชาร์จไร้สายให้กับอุปกรณ์อื่นได้ และรองรับ Samsung Pay กับ NFC บนระบบปฏิบัติการ Android 10 ครอบทับด้วยอินเทอร์เฟส One UI เวอร์ชัน 2.1
และจากบทความรีวิวข้างต้น คงจะพอสรุปได้ว่า Samsung Galaxy S20+ นั้น เป็นรุ่นที่เหมาะสำหรับผู้ใช้งานทั่วไปที่เน้นตัวเครื่องเร็ว แรง และกล้องถ่ายรูปที่คมชัด แต่ไม่เน้นการถ่ายรูปด้วยการซูมเป็นหลัก ส่วนราคาค่าตัวของ Samsung Galaxy S20+ นั้น อยู่ที่ 31,900 บาท มีให้เลือก 3 สี ได้แก่ Cosmic Grey, Cloud Blue และ Cosmic Black โดยวางจำหน่ายในไทยแล้ววันนี้ ผ่านทาง Samsung Experience Store และร้านตัวแทนจำหน่ายทั่วประเทศ
จุดเด่นของ Samsung Galaxy S20+
จุดที่ต้องพิจารณาเพิ่มเติม
ข้อควรทราบ : เครื่อง Samsung Galaxy S20+ ในบทความรีวิวนี้ เป็นเพียงเครื่องทดสอบเท่านั้น คุณสมบัติบางอย่างอาจยังไม่สมบูรณ์ 100% และอาจไม่ตรงกับตัวเครื่องที่วางจำหน่ายจริง
------------------------------------
บทความรีวิวโดย : techmoblog.com
Update : 28/04/2020
หน้าหลัก (Main) |
(สินค้า IT) ออกใหม่ |
|
FOLLOW US |