หลังจากที่ ซัมซุง ได้เปิดตัว Samsung Galaxy S6 edge+ อย่างยิ่งใหญ่ เมื่อวันที่ 13 สิงหาคมที่ผ่านมา ล่าสุด ทาง ซัมซุง ประเทศไทย ได้ประกาศวางจำหน่าย Samsung Galaxy S6 edge+ อย่างเป็นทางการแล้ว โดยเคาะราคาที่ 26,900 บาท สำหรับความจุ 32 GB ซึ่งถือว่า เปิดตัวด้วยราคาที่ถูกกว่า Samsung Galaxy S6 edge ที่เคาะราคาเปิดตัวที่ 27,900 บาทเสียอีก และในวันนี้ ถือว่า เป็นฤกษ์งามยามดี เมื่อ Samsung Galaxy S6 edge+ ได้มาอยู่ในมือทีมงาน techmoblog เรียบร้อยแล้ว และพร้อมจะ รีวิว ให้ทุกๆ ท่านได้รับชมกัน
ก่อนจะเข้าสู่ รีวิว Samsung Galaxy S6 edge+ ฉบับเต็ม มาเกริ่นถึงคุณสมบัติของ Samsung Galaxy S6 edge+ กันเสียหน่อย โดยดีไซน์ของ Samsung Galaxy S6 edge+ นั้น ไม่ได้แตกต่างจาก Samsung Galaxy S6 edge นั่นก็คือ ตัวเครื่องโลหะ ขอบจอโค้งทั้ง 2 ด้าน แต่สิ่งที่ถูกอัปเกรดเพิ่มเข้ามา นั่นก็คือ ขนาดหน้าจอใหญ่ขึ้นถึง 5.7 นิ้ว และหน่วยความจำ RAM เพิ่มมาเป็น 4 GB ในขณะที่คุณสมบัติด้านอื่นๆ ก็ยังคงจัดเต็มตามแบบฉบับของ มือถือรุ่นเรือธง นั่นเอง ไม่ว่าจะเป็น หน่วยประมวลผลแบบ Octa-Core Processor (ชิปเซ็ต Exynos 7420 แบบ 64-bit) ความเร็ว 2.1 GHz, กล้องด้านหน้า ความละเอียด 5 ล้านพิกเซล, กล้องด้านหลัง ความละเอียด 16 ล้านพิกเซล พร้อมรูรับแสงกว้าง F/1.9 และไฟแฟลชแบบ LED, รองรับเครือข่าย 3G และ 4G LTE, แบตเตอรี่ Li-Ion ขนาด 3000 mAh และรันระบบปฏิบัติการ Android 5.1.1 (Lollipop) ตั้งแต่แกะกล่อง นอกจากนี้ ยังรองรับการสแกนลายนิ้วมือที่ปุ่ม Home อีกด้วย
มาดูกันดีกว่าว่า Samsung Galaxy S6 edge+ รุ่นนี้ จะมีความน่าสนใจอย่างไรอีกบ้าง พิสูจน์ไปพร้อมกันกับ รีวิว Samsung Galaxy S6 edge+ โดยทีมงาน techmoblog ครับ
>> สเปค Samsung Galaxy S6 edge+ อย่างละเอียด คลิกที่นี่
Samsung Galaxy S6 edge+ มาพร้อมกับหน้าจอขนาดกว้าง 5.7 นิ้ว แบบ Dual Curved Edge Super AMOLED Capacitive Touchscreen 16.7 ล้านสี ความละเอียด 2560 x 1440 พิกเซล (518 ppi) โดยมีขนาดหน้าจอใหญ่กว่ารุ่นก่อนหน้าอย่าง Samsung Galaxy S6 edge ซึ่งมีขนาดหน้าจออยู่ที่ 5.1 นิ้ว
ด้านบนของหน้าจอแสดงผล ประกอบด้วย Proximity Sensor สำหรับการปิดหน้าจอแบบอัตโนมัติขณะสนทนา เพื่อประหยัดพลังงาน, Accelerometer Sensor หมุนหรือปรับเปลี่ยนทิศทางการแสดงผลของหน้าจอให้แบบอัตโนมัติ ตามลักษณะการจับถือของผู้ใช้, ลำโพงสำหรับสนทนา และกล้องด้านหน้า ความละเอียด 5 ล้านพิกเซล พร้อมรูรับแสงกว้างสูงสุดที่ F/1.9
ด้านล่างของหน้าจอแสดงผล ประกอบด้วย ปุ่ม Recent Apps, ปุ่ม Home และปุ่มย้อนกลับ (Back) ซึ่งปุ่ม Home รองรับการสแกนลายนิ้วมือด้วยเช่นกัน
ด้านขวาของตัวเครื่อง ประกอบด้วย ปุ่ม Power สำหรับเปิด-ปิด หรือล็อคหน้าจอแสดงผล ส่วนด้านซ้ายของตัวเครื่อง เป็นปุ่มปรับระดับเสียง โดยขอบตัวเครื่อง จะเป็นผิวขอบกระจกโค้งทั้ง 2 ด้าน ซึ่งขอบจอโค้งนี้ จะมีฟีเจอร์ที่เรียกว่า People Edge สำหรับกำหนดสีให้กับ 5 คนสำคัญ ซึ่งถ้าหากมีสายเรียกเข้า, ข้อความ หรืออีเมล ก็จะทราบได้ทันทีว่า ใครเป็นคนโทรมา โดยสังเกตจากสีที่ปรากฏนั่นเอง ซึ่งจะมีประโยชน์อย่างมากเมื่อตัวเครื่องคว่ำหน้าลง
ด้านบนของตัวเครื่อง ประกอบด้วย ไมโครโฟนตัวที่สอง สำหรับตัดเสียงรบกวนรอบข้าง และถาดใส่ซิมการ์ดแบบ nanoSIM ส่วนด้านล่างตัวเครื่อง ประกอบด้วยช่องหูฟังขนาดมาตรฐาน 3.5 มิลลิเมตร, ไมโครโฟนหลักสำหรับสนทนา, พอร์ต microUSB และลำโพงเสียง โดยในส่วนนี้ แตกต่างจากรุ่นก่อนหน้าเล็กน้อย
ด้านหลังตัวเครื่อง ประกอบด้วย กล้องด้านหลัง ความละเอียด 16 ล้านพิกเซล, ไฟแฟลชแบบ LED และรูรับแสงกว้างสูงสุด F/1.9 ส่วนด้านล่างไฟแฟลช จะเป็น Heart Rate Sensor หรือเซ็นเซอร์ตรวจวัดอัตราการเต้นของหัวใจ โดยรุ่นนี้ ไม่สามารถถอดแกะฝาหลังได้ เช่นเดียวกับ Samsung Galaxy S6 edge ภายในประกอบด้วย แบตเตอรี่ขนาด 3000 mAh ซึ่งมีความจุมากกว่า Samsung Galaxy S6 edge เล็กน้อย
Samsung Galaxy S6 edge+ มาพร้อมกับระบบปฏิบัติการ Android 5.1.1 (Lollipop) พร้อมอินเทอร์เฟสแบบ TouchWiz เวอร์ชันใหม่ล่าสุด โดยผู้ใช้สามารถเลือก Widget หรือ Wallpaper รวมไปถึงแอปพลิเคชันที่จำเป็นต่อการใช้งานในไว้หน้า Homescreen ได้ตามใจชอบ
Notification Center แถบการแจ้งเตือน ซึ่งประกอบด้วย เมนูลัดในการตั้งค่าการใช้งาน ไม่ว่าจะเป็น เปิด-ปิด Wi-Fi, เปิด-ปิด Bluetooth, เปิด-ปิดเสียง และปรับความสว่างของหน้าจอ
People Edge ฟีเจอร์เด่นบน Samsung Galaxy S6 edge+ กับการตั้งค่าขอบหน้าจอให้สว่างเป็นสีต่างๆ โดยสามารถตั้งค่าได้สูงสุด 5 รายชื่อด้วยกัน ซึ่ง People Edge มีประโยชน์ตรงที่ ต่อให้วางตัวเครื่องแบบคว่ำหน้าลง ก็สามารถทราบได้ทันทีว่า สายเรียกเข้าของใครกำลังโทรมา ด้วยการสังเกตจากสีที่ตั้งค่าไว้นั่นเอง
สำหรับระบบสแกนลายนิ้วมือบน Samsung Galaxy S6 edge+ นั้น เป็นแบบเดียวกับที่ใช้บน Samsung Galaxy Note5 สามารถใช้งานได้ง่ายขึ้น และแม่นยำมากกว่าเดิม ด้วยการแตะนิ้วลงบนปุ่ม Home แทนการรูดนิ้วเหมือนรุ่นก่อนๆ
การแตะปุ่ม Recent Apps 1 ครั้ง จะเข้าสู่เมนู Multitasking นั่นเอง สามารถสลับการใช้งานไปยัง แอปพลิเคชันอื่น ที่เปิดก่อนหน้านั้นได้ หรือลบแอปพลิเคชันที่ไม่ใช้งาน
สำหรับไอคอนของแอปพลิเคชันต่างๆ มาพร้อมกับดีไซน์ใหม่ทั้งหมด ซึ่งจะเห็นว่า ตัวไอคอนมีความโค้งมนมากกว่าเวอร์ชันก่อนหน้า และน่าใช้อีกด้วย
หน้าการใช้งานโทรศัพท์ ก็มีอินเทอร์เฟสที่สวยงาม และใช้งานง่าย
สำหรับเบราว์เซอร์ จะมีให้เลือกใช้งาน 2 แบบด้วยกัน ได้แก่ Android Browser และ Google Chrome แต่ผู้ใช้สามารถดาวน์โหลดเบราว์เซอร์อื่นเพิ่มเติมได้ที่ Play Store
Samsung Galaxy S6 edge+ มาพร้อมกับระบบ GPS ในตัว พร้อมฟังก์ชัน A-GPS และ GLONASS ระบบดาวเทียมของรัสเซีย เรียกได้ว่า รองรับการใช้งานคู่กับแอปพลิเคชันแผนที่อย่าง Google Maps ได้อย่างสบายๆ
ในส่วนของบริการต่างๆ จากกูเกิล ไม่ว่าจะเป็น Gmail, Hangouts, Photos, Voice Search ก็มีให้ใช้งานกันอย่างครบครัน รวมไปถึงแอปพลิเคชันชั้นนำด้าน Social อีกด้วย
สำหรับแอปพลิเคชันพื้นฐานอย่าง เครื่องคิดเลข และ เครื่องบันทึกเสียง ก็มีให้ใช้งานบน Samsung Galaxy S6 edge+ เช่นกัน
Smart Manager แอปพลิเคชันสำหรับจัดการระบบต่างๆ ในตัวเครื่อง ไม่ว่าจะเป็น แบตเตอรี่, พื้นที่จัดเก็บข้อมูล, RAM และระบบป้องกันอุปกรณ์
SideSync แอปพลิเคชันสำหรับแชร์ข้อมูล และหน้าจอระหว่าง Samsung Galaxy S6 edge+ กับพีซี นอกจากนี้ ยังสามารถตรวจสอบการแจ้งเตือนต่างๆ ได้จากพีซีโดยตรงอีกด้วย
ทดสอบการเล่นเกมกันบ้าง โดย Samsung Galaxy S6 edge+ รุ่นนี้ มาพร้อมกับ หน่วยประมวลผลแบบ Octa-Core 64-bit Exynos 7420 Processor ความเร็ว 2.1 GHz และ หน่วยความจำ RAM ขนาด 4 GB เรียกได้ว่า ตอบสนองต่อการเล่นเกมภาพกราฟิกสูงได้เป็นอย่างดี
ทดสอบ Benchmark บน Samsung Galaxy S6 edge+ กันบ้าง โดยผลการทดสอบด้วยโปรแกรม Quadrant วัดความเร็วในการทำงานของ CPU และกราฟิก อยู่ที่ 29,938 คะแนน และ AnTuTu ทดสอบ CPU, 2D & 3D graphics, SD card และ Database อยู่ที่ 66,436 คะแนน เรียกได้ว่า สูสีกับ Samsung Galaxy Note5 มากเลยทีเดียว
ส่วนมัลติทัช รองรับ 10 จุดครับ
สำหรับ Samsung Galaxy S6 edge+ นั้น เรียกได้ว่า มีดีทั้งกล้องด้านหน้า และกล้องด้านหลัง เลยก็ว่าได้ โดยกล้องด้านหน้า มาพร้อมกับความละเอียดถึง 5 ล้านพิกเซล และโหมด Selfie ที่เรียกได้ว่า น่าจะถูกใจขาเซลฟี่เลยก็ว่าได้ โดยสามารถปรับความเนียนของใบหน้า, ปรับตาโต หรือหน้าเรียว และใส่ฟิลเตอร์ให้กับภาพถ่ายได้อีกด้วย
ส่วนกล้องด้านหลัง มาพร้อมกับความละเอียด 16 ล้านพิกเซล พร้อมรูรับแสงขนาด F/1.9 และไฟแฟลชแบบ LED นอกจากนี้ ยังมีโหมดการถ่ายภาพให้เลือกมากมาย ไม่ว่าจะเป็น อัตโนมัติ, โปร, โฟกัสที่เลือก, พาโนรามา, ช็อตเสมือนจริง และอื่นๆ รวมไปถึงใส่ฟิลเตอร์สวยๆ ให้กับภาพถ่ายได้ด้วยเช่นกัน
สำหรับโหมดการถ่ายภาพที่จะมาแนะนำในวันนี้ ก็คือ โปร (Pro) กับการสร้างภาพถ่ายแบบมืออาชีพ ซึ่งสามารถตั้งค่าความเร็วชัตเตอร์ และปรับ ISO ได้เอง ทำให้ได้ภาพสวยๆ หลากหลายรูปแบบ ซึ่งทางทีมงาน ได้ลองทดสอบถ่ายภาพแบบ Slow Shutter ด้วยการปรับค่าความเร็วชัตเตอร์ให้ช้าลง จะได้ภาพลายเส้นสวยๆ แบบที่ช่างกล้องมือโปร นิยมไปถ่ายรถยนต์แถวอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมินั่นเอง มาดูกันว่า Samsung Galaxy S6 edge+ รุ่นนี้ จะทำได้ดีแค่ไหน
โดย 2 ภาพข้างต้นนี้ ปรับความเร็วชัตเตอร์อยู่ที่ 10 วินาที และค่า ISO อยู่ที่ 50 จะได้ภาพรถวิ่งแบบลายเส้นลักษณะนี้ ซึ่งการใช้โหมดการถ่ายภาพแบบนี้ จำเป็นต้องใช้ขาตั้งกล้องช่วยนะครับ และแนะนำว่า ถ้าหากไปถ่ายตามวงเวียน อย่างเช่นที่ อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ จะได้ภาพลายเส้นสวยกว่ารถที่วิ่งเป็นแนวตรงอย่างเดียว
นอกจากนี้ การถ่ายภาพแบบ Slow Shutter ยังสามารถสร้างลูกเล่นให้กับภาพถ่ายอีกมากมาย อย่างเช่น ใช้ไฟแฟลชมาวาดเป็นรูปต่างๆ ก็จะได้เป็นลายเส้นแบบรูปข้างต้น
ส่วนภาพถ่ายจากโหมดปกติ เป็นอย่างไร ไปดูกันครับ
ถ้าหากมองในเรื่องของ ดีไซน์และการออกแบบ ต้องบอกว่า Samsung Galaxy S6 edge+ นั้น เป็นอีกรุ่นที่มีดีไซน์สวย และดูพรีเมียมไม่แพ้รุ่นอื่นๆ อีกทั้งยังโดดเด่นด้วย จอขอบโค้งสองด้านแบบ Dual Curved Edge ที่มาพร้อมกับฟีเจอร์เด่นอย่าง People Edge นั่นเอง ถึงแม้ว่า ดีไซน์ของ Samsung Galaxy S6 edge+ นั้น จะถอดแบบมาจาก มือถือรุ่นพี่ อย่าง Galaxy S6 edge แบบไม่ผิดเพี้ยน แต่ก็มีการอัปเกรดบางอย่างเพิ่มเข้ามา เพื่อให้ตัวเครื่องน่าใช้งานมากยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็น หน้าจอแสดงผล ขนาด 5.7 นิ้ว แบบ Dual Curved Edge Super AMOLED Capacitive Touchscreen 16.7 ล้านสี ความละเอียด 2560 x 1440 พิกเซล (518 ppi), หน่วยประมวลผลแบบ Octa-Core Processor ความเร็ว 2.1 GHz, หน่วยความจำ RAM ขนาด 4 GB, กล้องด้านหน้า ความละเอียด 5 ล้านพิกเซล, กล้องด้านหลัง ความละเอียด 16 ล้านพิกเซล พร้อมไฟแฟลชแบบ LED, แบตเตอรี่ขนาด 3000 mAh และรันระบบปฏิบัติการ Android 5.1.1 (Lollipop) ตั้งแต่แกะกล่องอีกด้วย
นอกจากนี้ ตัวเครื่องยังรองรับการสแกนลายนิ้วมือที่ปุ่ม Home, เซ็นเซอร์วัดอัตราการเต้นของหัวใจที่ด้านหลังตัวเครื่อง และเทคโนโลยี Fast Charging ชาร์จแบตเตอรี่ได้เต็มเร็วขึ้นอีกด้วย ส่วนราคาของ Samsung Galaxy S6 edge+ นั้น เคาะมาแล้วที่ 26,900 บาทเท่านั้น สามารถไปทดสอบใช้งานกันได้ที่ Samsung Shop และตัวแทนจำหน่ายใกล้บ้านครับ
จุดเด่นของ Samsung Galaxy S6 edge+
จุดที่ต้องพิจารณาเพิ่มเติม
ข้อควรทราบ: “เครื่อง Samsung Galaxy S6 edge+ ที่ท่านเห็นในบทความรีวิวนี้ เป็นเพียงเครื่องทดสอบจากทาง ซัมซุง เท่านั้น ยังไม่ใช่เครื่องที่วางจำหน่ายจริงแต่อย่างใด เพราะฉะนั้นตัวเครื่อง หรือฟังก์ชันการทำงานบางอย่างอาจจะยังไม่สมบูรณ์ 100% เหมือนกับเครื่องที่วางจำหน่ายจริง”
---------------------------------------
บทความรีวิวโดย : techmoblog.com
ซัมซุง เปิดตัว Samsung Galaxy S6 edge+ รุ่นภาคต่อของมือถือจอโค้ง มาพร้อมหน้าจอใหญ่ขึ้น 5.7 นิ้ว และ RAM 4 GB
หากใครยังจำกันได้ เมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมา นอกจากจะมีการเปิดตัว Samsung Galaxy S6 แล้ว ยังได้เปิดตัว Samsung Galaxy S6 edge สมาร์ทโฟนขอบจอโค้งที่ดีไซน์สวยที่สุด และล่าสุด ในงาน Samsung Galaxy UNPACKED 2015 นอกจากจะเปิดตัว Samsung Galaxy Note5 แล้ว ยังได้เปิดตัว Samsung Galaxy S6 edge+ ซึ่งถือว่า เป็นรุ่นภาคต่อของ Galaxy S6 edge นั่นเอง
สำหรับจุดเด่นของ Samsung Galaxy S6 edge+ ก็คือ มาพร้อมกับหน้าจอขนาด 5.7 นิ้ว จากเดิม 5.1 นิ้วบน Galaxy S6 ความละเอียดเท่าเดิมอยู่ที่ระดับ QHD (2560 x 1440 พิกเซล) ส่วนสเปคอื่นๆ นั้น แทบไม่ต่างจาก Samsung Galaxy Note 5 ไม่ว่าจะเป็น ชิปเซ็ต Exynos 7420 แบบ Octa-Core Processor ซึ่งประกอบด้วย หน่วยประมวลผลแบบ Quad-Core Processor ความเร็ว 2.1 GHz และ Quad-Core Processor ความเร็ว 1.5 GHz พร้อมหน่วยความจำ RAM ขนาด 4 GB (Samsung Galaxy S6 edge มาพร้อมหน่วยความจำ RAM ขนาด 3 GB)
มากันที่กล้องถ่ายรูปกันบ้าง Samsung Galaxy S6 edge+ มาพร้อมกล้องด้านหน้า ความละเอียด 5 ล้านพิกเซล, กล้องด้านหลัง ความละเอียด 16 ล้านพิกเซล พร้อมรูรับแสงกว้าง F/1.9 ทั้งกล้องหน้าและหลัง นอกจากนี้ ยังรองรับเครือข่าย 4G LTE Cat.9/Cat.6, Wi-Fi ac, Bluetooth 4.2, NFC, GPS (A-GPS, GLONASS, Beidou) และรองรับ Samsung Pay อีกด้วย
ส่วนแบตเตอรี่บน Samsung Galaxy S6 edge+ ความจุอยู่ที่ 3000 mAh พร้อมเทคโนโลยี Fast Charging ที่สามารถชาร์จแบตเตอรี่จาก 0% เป็น 100% ได้ในเวลา 2 ชั่วโมง, รันระบบปฏิบัติการ Android 5.1.1 (Lollipop) พร้อม TouchWiz เวอร์ชันใหม่ และรองรับ KNOX เวอร์ชันใหม่ล่าสุด
ราคา และวันวางจำหน่าย Samsung Galaxy S6 edge+
โดย Samsung Galaxy S6 edge+ มีให้เลือก 2 ขนาดความจุ ได้แก่ 32 GB และ 64 GB มีให้เลือกทั้งหมด 4 สีด้วยกัน ได้แก่ Black Sapphire, Gold Platinum, Silver Titanium และ White Pearl เปิดพรีออเดอร์ในวันที่ 14 สิงหาคมนี้ ที่สหรัฐฯ ก่อนจะวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการ ในวันที่ 21 สิงหาคม
สำหรับ ราคา และวันวางจำหน่าย Samsung Galaxy S6 edge+ ในไทย เคาะราคาแล้วที่ 26,900 บาท วางจำหน่ายแล้ววันนี้
---------------------------------------
ข้อมูลโดย : techmoblog.com
Update : 06/10/2015
หน้าหลัก (Main) |
(สินค้า IT) ออกใหม่ |
|
FOLLOW US |