เปิดตัวและวางจำหน่ายในไทยอย่างเป็นทางการแล้ว สำหรับ Samsung Galaxy S9 และ Samsung Galaxy S9+ สองมือถือเรือธงรุ่นใหม่ล่าสุดในซีรี่ส์ Galaxy S ที่ยังคงมาพร้อมกับดีไซน์แบบ Infinity Display อัตราส่วน 18:5:9 หรือดีไซน์จอไร้กรอบ ไร้ปุ่ม Home ทำให้มีพื้นที่ในการแสดงผลมากขึ้นโดยไม่จำเป็นต้องเพิ่มขนาดตัวเครื่อง และยังคงคุณสมบัติด้านการกันน้ำ และกันฝุ่น ตามมาตรฐาน IP68 ที่สามารถอยู่ในน้ำลึก 1.5 เมตร ได้นาน 30 นาที
ถึงแม้ว่า ดีไซน์ตัวเครื่องของทั้ง Samsung Galaxy S9 และ Galaxy S9+ จะยังคงเหมือนกับรุ่นก่อนหน้าอย่าง Samsung Galaxy S8 แต่ทั้ง 2 รุ่นมาพร้อมกับฟีเจอร์ใหม่ถึง 9 รายการด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็น Dual Aperture รูรับแสงคู่ที่ระดับ F/1.5 และ F/2.4 ที่ทำงานอัตโนมัติตามสภาวะของแสง โดยเปิดรับแสงได้มากขึ้นเมื่ออยู่ในที่มืด หรือปรับให้รับแสงน้อยลงเมื่ออยู่ในที่สว่าง ทำให้สามารถถ่ายภาพได้คมชัดในทุกสภาพแสง, AR Emoji อีโมจิคาแรคเตอร์ 3 มิติ บ่งบอกอารมณ์ด้วยรูปลักษณ์ เสียง และท่าทางเหมือนกับตัวเจ้าของ, Super Slow-Mo โหมดถ่ายภาพวิดีโอแบบสโลว์สูงสุดถึง 960 fps พร้อมระบบตรวจจับการเคลื่อนไหวอัตโนมัติ (Motion Detection), กล้องคู่ (Dual-Camera) บน Samsung Galaxy S9+ พร้อมระบบป้องกันภาพสั่นไหวคู่ (Dual-OIS) และโหมด Live Focus 1 ช็อตได้ภาพ 2 มุมมอง (ใกล้-ไกล), Bixby Live Translation สามารถแปลได้มากถึง 54 ภาษา และใช้งานง่ายแค่เปิดกล้องแล้วส่อง, Bixby Place หาสถานที่ได้ง่ายขึ้น แค่เปิดกล้อง Bixby Vision แล้วเข้าสู่การใช้งาน AR, Intelligent Scan การยืนยันตัวตนรูปแบบใหม่ด้วยการรวมระบบสแกนม่านตากับการจดจำใบหน้าเข้าด้วยกัน, Dual Stereo Speaker ลำโพงสเตอริโอถึง 2 ตัวโดย AKG ให้เสียงคมชัดรอบตัวแบบ 360 องศา พร้อมรองรับ Dolby Atmos และสุดท้าย มาพร้อมชิปเซ็ตรุ่นใหม่ล่าสุด นั่นก็คือ Exynos 9810 พร้อม RAM ขนาด 4 GB บน Samsung Galaxy S9 และ RAM ขนาด 6 GB บน Samsung Galaxy S9+
มาพิสูจน์กันดีกว่าว่า Samsung Galaxy S9 และ Samsung Galaxy S9+ จะน่าใช้งานแค่ไหน กับรีวิว Samsung Galaxy S9 และ Galaxy S9+ โดยทีมงาน techmoblog
>> สเปก Samsung Galaxy S9 อย่างละเอียด คลิกที่นี่
>> สเปก Samsung Galaxy S9+ อย่างละเอียด คลิกที่นี่
สำหรับดีไซน์โดยรวมของ Samsung Galaxy S9 นั้น ยังคงคล้ายกับ Samsung Galaxy S8 โดยเป็นดีไซน์ที่เรียกว่า Infinity Display หรือจอไร้กรอบ และบอดี้แบบ Metal-Glass ซึ่ง Samsung Galaxy S9 มาพร้อมกับหน้าจอขนาด 5.8 นิ้ว ความละเอียด 2960 x 1440 พิกเซล ครอบทับด้วยกระจก Gorilla Glass 5 ในอัตราส่วนหน้าจอขนาด 18:5:9
ด้านบนของหน้าจอแสดงผล ประกอบด้วย ไฟ LED แสดงสถานะการแจ้งเตือนต่าง ๆ, Iris Sensor, Proximity Sensor, Light Sensor, ลำโพงสำหรับสนทนา และกล้องด้านหน้า ความละเอียด 8 ล้านพิกเซล
ด้านล่างของตัวเครื่องจะเป็นแถบควบคุมการทำงานแบบสัมผัส (On-Screen) ประกอบด้วย ปุ่ม Recent Apps, ปุ่ม Home และปุ่มย้อนกลับ นอกจากนี้ ยังรองรับเทคโนโลยี Pressure-Sensitive แยกแยะแรงกดสัมผัสบนหน้าจออีกด้วย
ด้านขวาของตัวเครื่อง ประกอบด้วย ปุ่ม Power สำหรับเปิด-ปิดตัวเครื่อง หรือล็อกหน้าจอแสดงผล ส่วนด้านซ้ายของตัวเครื่อง เป็นปุ่มปรับระดับเสียง และปุ่ม Bixby
Samsung Galaxy S9 รองรับการใช้งาน 2 ซิมการ์ด และรองรับหน่วยความจำเสริมภายนอกแบบ microSD Card สูงสุด 400 GB
สำหรับ Samsung Galaxy S9 เครื่องที่นำมารีวิวนี้ เป็นสีใหม่ นั่นก็คือ สีม่วง Lilac Purple ซึ่งด้านหลังตัวเครื่องประกอบด้วย กล้องด้านหลัง ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล, ไฟแฟลชแบบ LED, Heart Rate Sensor วัดอัตราการเต้นของหัวใจ และเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือ ซึ่งย้ายตำแหน่งมาอยู่ด้านล่างของกล้อง เพื่อความสะดวกในการใช้งาน
สำหรับอุปกรณ์ภายในชุดมาตรฐาน ประกอบด้วย ตัวเครื่อง Samsung Galaxy S9, คู่มือการใช้งาน, หูฟังขนาดมาตรฐาน 3.5 มิลลิเมตรพร้อมจุกยาง, สาย USB-C, USB Connector, Micro USB Connector, Adapter สำหรับชาร์จไฟ และเคสใส
สำหรับอุปกรณ์เสริมของ Samsung Galaxy S9 และ Samsung Galaxy S9+ อย่างเคสกันรอย ในตอนนี้ก็มีหลายแบรนด์ผลิตออกมาวางจำหน่ายแล้วเช่นกัน อย่างเช่น แบรนด์ Spigen ก็มีหลายรูปแบบให้เลือกซื้อ
ส่วนกระจกกันรอย ในตอนนี้แบรนด์ผู้ผลิตกระจกกันรอยชื่อดังอย่าง Focus ก็มีกระจกกันรอยแบบ Focus 3D Full Stick (Case Friendly) แล้วเช่นกัน ซึ่งเป็นกระจกกันรอยกาวเต็มจอที่สามารถปกป้องหน้าจอได้ถึงขอบโค้ง ส่วนด้านบนมีการเว้นช่องว่างสำหรับเซ็นเซอร์ต่าง ๆ นอกจากนี้ ยังสัมผัสได้ลื่นและไม่มีสะดุด แถมรองรับการใช้งานร่วมกันเคสมือถือทุกรุ่นอีกด้วย
นอกจาก Samsung Galaxy S9 แล้ว อีกรุ่นที่เปิดตัวมาพร้อมกัน นั่นก็คือ Samsung Galaxy S9+ ซึ่งดีไซน์โดยรวมนั้นเหมือนกับ Samsung Galaxy S9 แต่ตัวเครื่องมีขนาดใหญ่กว่า โดยความแตกต่างระหว่าง Samsung Galaxy S9 กับ Samsung Galaxy S9+ มีทั้งหมด 7 ส่วนด้วยกัน ได้แก่
Samsung Galaxy S9 และ Samsung Galaxy S9+ ทำงานบนระบบปฏิบัติการ Android 8.0 (Oreo) และอินเทอร์เฟส Samsung Experience เวอร์ชัน 9.0
สามารถเลือกปรับเปลี่ยนรูปแบบการใช้งานได้ตามความต้องการ ไม่ว่าจะเป็น วอลเปเปอร์, ธีม, Widget รวมถึงการตั้งค่าหน้าจอ Home Screen
การปัดจากบนลงล่าง จะเป็นส่วนของ Notification Center รวมการแจ้งเตือนต่าง ๆ และ Toggle Switch หรือคีย์ลัดตั้งค่าการใช้งานในตัวเครื่อง ไม่ว่าจะเป็น Wi-Fi, Bluetooth, Airplance Mode, ไฟฉาย และอื่น ๆ
ตรงขอบด้านขวาของหน้าจอ ใกล้ ๆ กับตำแหน่งของปุ่ม Power จะเป็น Apps Edge หรือทางลัดเข้าถึงแอปพลิเคชันที่มีอยู่ในตัวเครื่อง แอปฯ ไหนที่คิดว่าใช้งานบ่อย สามารถเลือกให้มาอยู่ในส่วนนี้ได้
รองรับ Multi Window หรือการเปิด 2 แอปพลิเคชันพร้อมกันในหน้าจอเดียว
สำหรับ Bixby แพลทฟอร์มอัจฉริยะบน Samsung Galaxy S9 และ Galaxy S9+ ได้รับการปรับปรุงใหม่ ด้วยการเพิ่มฟังก์ชันที่เรียกว่า Bixby Live Translation โดยใช้เทคโนโลยี AR ที่สามารถแปลภาษาได้มากถึง 54 ภาษา เพียงแค่เปิดกล้อง กดที่ Bixby Vision แล้วส่อง รวมถึง Bixby Place ที่สามารถค้นหาสถานที่ได้ง่ายขึ้นกว่าเดิม ซึ่งวิธีการเปิดใช้งาน Bixby นั้นก็ให้ปัดหน้าจอไปด้านขวาจากหน้า Home Screen หรือกดปุ่ม Bixby ที่อยู่ด้านซ้ายของตัวเครื่อง
สำหรับ App Drawer หรือแหล่งรวมแอปพลิเคชันทั้งหมดในตัวเครื่อง ให้แตะที่หน้าจอแล้วลากลง
ด้านแอปพลิเคชันและบริการจากของทาง Samsung เอง รวมถึง Google ก็มีให้เลือกใช้กันอย่างมากมาย ไม่ว่าจะเป็น Samsung Health, Galaxy Apps, Samsung Gear, Google Drive, Google Photos และอื่น ๆ
รวมถึงแอปพลิเคชันจากทาง Microsoft ด้วยเช่นกัน
มาทดสอบด้านการเล่นเกมกันบ้าง โดยทั้ง Samsung Galaxy S9 และ Samsung Galaxy S9+ มาพร้อมกับชิปเซ็ต Exynos 9810 แบบ Octa-Core Processor และหน่วยประมวลผลภาพกราฟิก Mali-G72 MP18 GPU โดย Samsung Galaxy S9 จะมาพร้อมกับ RAM ขนาด 4 GB ส่วน Samsung Galaxy S9+ จะมาพร้อมกับ RAM ขนาด 6 GB ซึ่งจากการทดสอบเล่นเกมยอดนิยมอย่าง ROV พบว่า สามารถเล่นได้อย่างลื่นไหลทั้ง 2 รุ่น แต่ Samsung Galaxy S9+ จะมีความสะดวกในการเล่นเกมมากกว่า เนื่องจากหน้าจอมีขนาดใหญ่กว่านั่นเอง
สำหรับการทดสอบ Benchmark บน Samsung Galaxy S9 ด้วยโปรแกรม AnTuTu ทำได้ 245,320 คะแนน, โปรแกรม Geekbench ทำได้ 3,683 คะแนนสำหรับการทดสอบแบบ Single-Core และ 8,775 คะแนนสำหรับการทดสอบแบบ Multi-Core
สำหรับการทดสอบ Benchmark บน Samsung Galaxy S9+ ด้วยโปรแกรม AnTuTu ทำได้ 247,012 คะแนน, โปรแกรม Geekbench ทำได้ 3,747 คะแนนสำหรับการทดสอบแบบ Single-Core และ 8,881 คะแนนสำหรับการทดสอบแบบ Multi-Core
ส่วนระบบมัลติทัช รองรับที่ 10 จุดทั้ง 2 รุ่น
ต่อไปมาดูที่ฟีเจอร์ใหม่แกะกล่องสำหรับ Samsung Galaxy S9 กับ Samsung Galaxy S9+ กันบ้าง นั่นก็คือ AR Emoji หรืออีโมจิคาแรคเตอร์ 3 มิติ ที่บ่งบอกอารมณ์ด้วยรูปลักษณ์, เสียง และท่าทางเหมือนกับตัวเจ้าของ ซึ่งขั้นตอนการสร้าง AR Emoji นั้น ก็ไม่ยุ่งยากแต่อย่างใด โดยให้เข้าไปที่แอปฯ กล้อง และเลือกถ่ายด้วยกล้องด้านหน้า หรือกล้องด้านหลัง โดยเลือกเมนู AR Emoji ที่ด้านบน และคลิกที่ Create My Emoji ซึ่งใบหน้าที่จะทำให้การสร้าง AR Emoji สมบูรณ์แบบที่สุด จะต้องไม่สวมแว่นตา, อย่าให้ผมปิดหน้า และห้ามยิ้มเห็นฟัน (อมยิ้มได้)
เลือกเพศ
หลังจากนั้น ระบบจะทำการประมวลผลด้วยการสร้างอีโมจิที่มีลักษณะใกล้เคียงกับผู้ใช้มากที่สุด โดยสามารถปรับเปลี่ยนสีผิว, ทรงผม, สีผม, แว่นตา และเสื้อผ้าได้ตามใจชอบ
โดยอีโมจิที่ถูกสร้าง จะถูกจัดเก็บลงในแอปฯ Gallery ซึ่งจะเป็นภาพอีโมจิเคลื่อนไหวในอิริยาบถต่าง ๆ ให้เลือกถึง 18 แบบ อีกทั้งสามารถแชร์อีโมจิได้กับแอปฯ ที่รองรับอีกด้วย
สำหรับกล้องด้านหน้าทั้งบน Samsung Galaxy S9 และ Samsung Galaxy S9+ ความละเอียดอยู่ที่ 8 ล้านพิกเซล โดยมีโหมดการถ่ายภาพให้เลือก 4 แบบด้วยกัน ได้แก่ Selfie Focus (ถ่ายหน้าชัดหลังเบลอ), Selfie, AR Emoji และ Wide Selfie (ถ่ายภาพกลุ่มมุมกว้าง) ซึ่งโหมดการถ่ายภาพแบบ Selfie Focus นอกจากจะได้ภาพแบบหน้าชัดหลังเบลอแล้ว ยังสามารถปรับสีผิวและสีสันของภาพถ่ายได้
ส่วนโหมดการถ่ายภาพแบบ Selfie จะมีฟีเจอร์ Make Up แต่งหน้าให้อัตโนมัติ สามารถเลือกได้หลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็น Basic, Natural, Sweet, Fresh, Dreamy, Glamorous, Graceful, Chic และ Festival ซึ่งสามารถปรับแต่งสีผิว, สีปาก, แก้ม, เพิ่มขนตา และอื่น ๆ ได้อีก
ส่วนกล้องด้านหลังทั้งบน Samsung Galaxy S9 และ Samsung Galaxy S9+ จะมีโหมดการถ่ายภาพให้เลือกมากมาย ไม่ว่าจะเป็น Food, Panorama, Pro, Auto, AR Emoji, Hyperlapse และโหมดใหม่ Super Slow-Mo โดยบน Samsung Galaxy S9+ ซึ่งเป็นกล้องคู่ จะมาพร้อมโหมด Live Focus ส่วนบน Samsung Galaxy S9 จะเป็นโหมด Selective Focus ซึ่งจะได้ภาพแบบหน้าชัดหลังเบลอเหมือนกัน
สำหรับการตั้งค่ากล้องถ่ายรูปนั้น สามารถตั้งค่าได้ทั้งการถ่ายภาพนิ่งและวิดีโอ โดยกล้องด้านหน้า ความละเอียดสูงสุดที่ 8 ล้านพิกเซล ส่วนกล้องด้านหลัง ความละเอียดสูงสุดที่ 12 ล้านพิกเซล ซึ่งโหมดถ่ายภาพ Pro สามารถเลือกบันทึกภาพแบบไฟล์ RAW ได้
นอกจากนี้ ยังสามารถตั้งค่าการใช้งานในส่วนอื่น ๆ อย่างเช่น Quick Launch เปิดกล้องด่วนด้วยการกดปุ่ม Power 2 ครั้ง, Voice Control ชัตเตอร์ด้วยเสียงเมื่อพูดคำว่า Cheese หรือ Smile, ใช้ปุ่มปรับระดับเสียงเป็นปุ่มชัตเตอร์ถ่ายภาพ เป็นต้น
ตัวอย่างภาพถ่ายบน Samsung Galaxy S9 และ Samsung Galaxy S9+
ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องด้านหน้า โหมด Selfie Focus
ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องด้านหน้า โหมด Selfie Focus
ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องด้านหน้า โหมด Selfie Focus
ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องด้านหน้า โหมด Selfie Focus
ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องด้านหลัง โหมด Live Photo
ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องด้านหลัง โหมด Live Photo
ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องด้านหลัง โหมด Live Photo
ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องด้านหลัง โหมด Live Photo
ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องด้านหลัง โหมด Live Photo (มุมมองใกล้)
ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องด้านหลัง โหมด Live Photo (มุมมองไกล)
ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องด้านหลัง โหมด Auto
ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องด้านหลัง โหมด Auto
ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องด้านหลัง โหมด Auto
ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องด้านหลัง โหมด Auto
ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องด้านหลัง โหมด Auto
ตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องด้านหลัง โหมด Auto
ตัวอย่างการถ่ายวิดีโอด้วยโหมด Super Slow-Mo (960 fps)
สำหรับจุดขายหลักของทั้ง Samsung Galaxy S9 และ Samsung Galaxy S9+ ก็คือ กล้องถ่ายรูป ซึ่งมาพร้อมกับเทคโนโลยีที่เรียกว่า Super Speed Dual Pixel Sensor ด้วยการใช้ระบบประมวลผลที่มีประสิทธิภาพและทรงพลัง สามารถรวมภาพได้สูงสุด 12 เฟรมในการกดชัตเตอร์เพียงครั้งเดียว ทำให้ได้ภาพที่มีความคมชัดและคุณภาพสูง โดยมาพร้อมกับฟีเจอร์หลัก ๆ 4 อย่างด้วยกัน ได้แก่ Super Slow-mo ถ่ายวิดีโอสูงสุด 960 fps พร้อมระบบตรวจจับการเคลื่อนไหว (Motion Detection), Low Light Camera มาพร้อมกับรูรับแสงคู่ (Dual Aperture) ขนาด F/1.5 และ F/2.4 ที่สามารถเปิดรับแสงได้มากขึ้นเมื่ออยู่ในที่มืด หรือปรับให้รับแสงน้อยลงเมื่ออยู่ในที่สว่าง, AR Emoji สร้างอีโมจิที่มีรูปลักษณ์, เสียง และท่าทางเหมือนกับเจ้าของสมาร์ทโฟน และ Bixby แพลทฟอร์มอัจฉริยะของ Samsung ที่มาพร้อมกับฟีเจอร์ใหม่ 2 อย่าง ได้แก่ Bixby Live Translation แปลภาษาได้มากถึง 54 ภาษา และ Bixby Place ค้นหาสถานที่ แค่เปิดกล้อง Bixby Vision แล้วส่อง
ด้านการประมวลผลนั้น ทั้ง Samsung Galaxy S9 และ Samsung Galaxy S9+ มาพร้อมกับชิปเซ็ต Exynos 9810 แบบ Octa-Core Processor ความเร็ว 2.7 GHz ซึ่ง Samsung Galaxy S9 มาพร้อมกับหน่วยความจำ RAM ขนาด 4 GB, หน่วยความจำ ROM ขนาด 64 GB ส่วน Samsung Galaxy S9+ มาพร้อมกับหน่วยความจำ RAM ขนาด 6 GB, หน่วยความจำ ROM ขนาด 64 GB, 128 GB หรือ 256 GB และรองรับหน่วยความจำเสริมภายนอกแบบ microSD Card สูงสุด 400 GB
ส่วนคุณสมบัติอื่น ๆ บน Samsung Galaxy S9 และ Samsung Galaxy S9+ ก็ได้แก่ Intelligent Scan ระบบการสแกนอัจฉริยะด้วยการรวมระบบสแกนม่านตากับการจดจำใบหน้าเข้าด้วยกัน ทำให้สามารถปลดล็อกได้อย่างรวดเร็วในทุกสภาพแสง, คุณสมบัติด้านการกันน้ำ และกันฝุ่น ตามมาตรฐาน IP68, รองรับการใช้งาน 2 ซิมการ์ด, ลำโพงเสียงคู่สเตอริโอจาก AKG และระบบเสียง Dolby Atmos ให้เสียงสมจริงรอบทิศทางแบบ 360 องศา, รองรับ Samsung DeX, รองรับ NFC, รองรับ Samsung Pay และทำงานบนระบบปฏิบัติการ Android 8.0 (Oreo)
สำหรับราคาวางจำหน่าย Samsung Galaxy S9 และ Samsung Galaxy S9+ ในไทย เป็นดังนี้
โดย Samsung Galaxy S9 และ Samsung Galaxy S9+ ในไทย มีให้เลือกทั้งหมด 4 สี ได้แก่ Midnight Black, Titanium Gray, Coral Blue และ Lilac Purple วางจำหน่ายแล้วที่ Samsung Brand Shop และตัวแทนจำหน่ายทั่วประเทศ
จุดเด่นของ Samsung Galaxy S9 และ Samsung Galaxy S9+
จุดที่ต้องพิจารณาเพิ่มเติม
ข้อควรทราบ : เครื่อง Samsung Galaxy S9 และ Samsung Galaxy S9+ ในบทความรีวิวนี้ เป็นเพียงเครื่องทดสอบเท่านั้น คุณสมบัติบางอย่างอาจยังไม่สมบูรณ์ 100% และอาจไม่ตรงกับตัวเครื่องที่วางจำหน่ายจริง
------------------------------------
บทความรีวิวโดย : techmoblog.com
Update : 27/03/2018
หน้าหลัก (Main) |
(สินค้า IT) ออกใหม่ |
|
FOLLOW US |