เป็น Gadget ที่ถูกการเปิดตัวพร้อมกับ Samsung Galaxy Note 9 เมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา สำหรับ Samsung Galaxy Watch สมาร์ทวอชน้องใหม่ซึ่งเป็นรุ่นสานต่อของ Samsung Gear S3 แต่ได้รับการเปลี่ยนชื่อเรียกให้สอดคล้องกับสมาร์ทโฟนในตระกูล Galaxy จนกลายมาเป็น Samsung Galaxy Watch รุ่นนี้นั่นเอง
สำหรับดีไซน์ของ Samsung Galaxy Watch นั้น ยังคงเป็นเอกลักษณ์ของสมาร์ทวอชในซีรี่ส์ Gear S ด้วยหน้าปัดแบบทรงกลม แต่ได้มีการเปลี่ยนดีไซน์ให้ทันสมัยมากขึ้น ทั้งตัวเรือนรวมถึงหน้า Watch Faces ซึ่ง Samsung Galaxy Watch รุ่นนี้ มีให้เลือกทั้งหมด 2 ขนาด ได้แก่ 42 มม. ที่มีขนาดหน้าจออยู่ที่ 1.2 นิ้ว และ 46 มม. ที่มีขนาดหน้าจออยู่ที่ 1.3 นิ้ว โดยทั้ง 2 ขนาดมาพร้อมกับหน้าจอแบบ Super AMOLED ความละเอียด 360 x 360 พิกเซล พร้อมกระจกกันรอยแบบ Gorilla Glass DX+ ที่ป้องกันรอยขีดข่วนได้ดีกว่าเดิมอีกด้วย
นอกเหนือจากคุณสมบัติในการเชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟนแล้ว Samsung Galaxy Watch ยังเป็นสมาร์ทวอชที่เจาะกลุ่มผู้รักสุขภาพโดยตรง เนื่องจากรองรับฟีเจอร์ด้านสุขภาพอย่างมากมายเสมือนกับมีเทรนเนอร์ส่วนตัวอยู่บนข้อมือ โดยสามารถตรวจจับรูปแบบของการออกกำลังกายที่แตกต่างกันได้ถึง 39 แบบ รวมถึงติดตามอัตราการเต้นของหัวใจขณะวิ่ง, บันทึกสถิติต่าง ๆ ด้านสุขภาพ, ติดตามเป้าหมายทางโภชนาการ, ปริมาณแคลอรี่ในแต่ละวัน และสามารถติดตามการนอนหลับได้อีกด้วย
มาชมกันดีกว่าว่า Samsung Galaxy Watch รุ่นใหม่นี้ จะมีดีไซน์เป็นอย่างไร และรองรับการใช้งานด้านใดบ้าง กับบทความ รีวิว Samsung Galaxy Watch โดยทีมงาน techmoblog
สำหรับหน้าปัดของ Samsung Galaxy Watch ยังคงเป็นดีไซน์ทรงกลมเหมือนกับ Samsung Gear S3 ซึ่งเป็นได้ทั้งนาฬิกาสไตล์สปอร์ต และสไตล์แฟชั่นในเครื่องเดียว ซึ่งตัวกระจกหน้าจอนั้น เป็นแบบ Corning Gorilla Glass DX+ ที่มีความแข็งแกร่ง สามารถสัมผัสหรือเลื่อนสไลด์เพื่อใช้งานที่หน้าจอได้โดยตรง
โดย Samsung Galaxy Watch จะมีให้เลือก 2 ขนาด ได้แก่ ขนาด 42 มม. ที่มาพร้อมกับหน้าจอขนาด 1.2 นิ้ว และ ขนาด 46 มม. ที่มาพร้อมกับหน้าจอขนาด 1.3 นิ้ว แบบ Circular Super AMOLED ความละเอียด 360 x 360 พิกเซล เหมือนกันทั้ง 2 ขนาด
นอกจากนี้ ตัวหน้าปัดจะมีวงแหวนสำหรับหมุนควบคุมการใช้งานต่าง ๆ ทำให้ใช้งานได้อย่างสะดวกขึ้น ซึ่งหน้าปัดมาพร้อมกับโหมด Always On ที่สามารถทำงานและแสดงผลได้ตลอดเวลาโดยไม่ต้องกดปุ่ม หรือหมุนวงแหวนอีกด้วย หรือจะตั้งเวลาการแสดงผลของหน้าจอก็ได้เช่นกัน
สำหรับตัวเรือนเป็นวัสดุ Stainless ที่มีความแข็งแกร่งทนทานเทียบเท่ากับมาตรฐานที่ใช้ในกองทัพ (MIL-STD-810G) ซึ่งด้านขวาของตัวเรือน จะเป็นปุ่มควบคุมการทำงาน 2 ปุ่ม โดยปุ่มบนคือปุ่ม Back, ปุ่มล่างคือปุ่ม Home และรูเล็ก ๆ ล่างปุ่ม Home คือไมโครโฟน ส่วนด้านซ้ายของตัวเรือนจะเป็นลำโพงขนาดเล็กสำหรับใช้งานโทรศัพท์ หรือสามารถใช้ฟังเพลงได้หลังจากเชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟนแล้ว
ด้านหลังตัวเรือน จะเป็น Heart Rate Sensor สำหรับวัดอัตราการเต้นของหัวใจ ซึ่งจะมีความแม่นยำในการอ่านค่ามากกว่ารุ่นเดิม
Samsung Galaxy Watch ยังมีความทนทานทุกการใช้งาน ด้วยมาตรฐานการกันน้ำที่ระดับ IP68 และ 5ATM สามารถสวมใส่ลงสระว่ายน้ำได้อย่างสบาย ๆ ซึ่งในหน้าเว็บไซต์ของ Samsung ระบุว่า สามารถกันน้ำได้ที่ความลึก 50 เมตรภายใต้มาตรฐาน ISO 22810:2010 แต่ไม่เหมาะสำหรับการใส่ดำน้ำหรือกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับน้ำแรงดันสูง
สำหรับ Samsung Galaxy Watch ตัวเรือนขนาด 46 มม. นั้น จะมีให้เลือกเพียงแค่สีเดียว นั่นก็คือ สีเงิน (Silver) แต่ตัวเรือนขนาด 42 มม. จะมีให้เลือก 2 สี ได้แก่ Midnight Black และ Rose Gold
ส่วนสายนาฬิกา จะเป็นสายซิลิโคนที่มีน้ำหนักเบา สามารถถอดเปลี่ยนได้ โดยรุ่น 42 มม. จะใช้สายขนาด 20 มม. ส่วนรุ่น 46 มม. จะใช้สายขนาด 22 มม. ซึ่งเป็นมาตรฐานของสายนาฬิกา ข้อดีก็คือ สามารถเลือกเปลี่ยนสายนาฬิกาของยี่ห้อไหน ร้านไหนก็ได้ โดยไม่จำเป็นต้องซื้อสายเฉพาะของ Galaxy Watch
ด้านอุปกรณ์ในชุดวางจำหน่าย ประกอบด้วย Adapter สำหรับชาร์จไฟ, แท่นชาร์จแบบไร้สาย, สาย microUSB สำหรับชาร์จแบตเตอรี่, สายซิลิโคนสั้นขนาด 22 มม. (ถ้าเป็นรุ่น 42 มม. จะเป็นสายซิลิโคนสั้นขนาด 20 มม.) และคู่มือการใช้งาน
สำหรับการชาร์จแบตเตอรี่นั้น ให้วาง Samsung Galaxy Watch บนแท่นชาร์จแบบไร้สาย ตัวแท่นชาร์จจะทำการชาร์จไฟให้อัตโนมัติ ถ้าหากยังชาร์จไม่เต็ม ไฟแสดงสถานะจะเป็นสีแดง แต่เมื่อชาร์จเต็มแล้วไฟแสดงสถานะจะเปลี่ยนเป็นสีเขียว
สำหรับการใช้งานครั้งแรก จะต้องเชื่อมต่อ Samsung Galaxy Watch กับสมาร์ทโฟนเสียก่อนผ่านทางแอปพลิเคชัน Galaxy Wearable ซึ่งบนมือถือ Samsung จะมีการติดตั้งแอปพลิเคชันดังกล่าวมาให้แล้ว ส่วนมือถือ Android รุ่นอื่น สามารถดาวน์โหลดได้ที่ Play Store
โดยมือถือ Android รุ่นที่รองรับ Samsung Galaxy Watch จะต้องทำงานบนระบบปฏิบัติการ Android เวอร์ชัน 5.0 ขึ้นไป ส่วน iPhone สามารถดาวน์โหลดได้ที่ App Store ในชื่อ Samsung Galaxy Watch (Gear S) รองรับตั้งแต่ iPhone 5 หรือสูงกว่า และทำงานบนระบบปฏิบัติการ iOS 9.0 ขึ้นไป
เมื่อดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน Galaxy Wearable เสร็จเรียบร้อยแล้ว ให้ทำการเชื่อมต่อ Samsung Galaxy Watch กับสมาร์ทโฟนด้วยการเปิดแอปฯ Galaxy Wearable และเชื่อมต่อกับ Samsung Galaxy Watch ผ่านทาง Bluetooth เมื่อเชื่อมต่อเสร็จเรียบร้อยแล้ว ตัวแอปฯ จะแสดงรายละเอียดและสถานะต่าง ๆ ของ Samsung Galaxy Watch มาให้อย่างครบถ้วน ทั้งการเปลี่ยนอินเทอร์เฟสของ Watch Faces, ตั้งค่าการแจ้งเตือน, ดูสถานะของแบตเตอรี่, RAM ที่เหลือ, หน่วยความจำภายในที่เหลือ และมีฟีเจอร์ค้นหา Galaxy Watch ได้ เรียกได้ว่า ครบและจบในแอปฯ เดียว
โดย Watch Faces สำหรับ Samsung Galaxy Watch มีให้เลือกมากมายกว่า 100 แบบ ซึ่งมีทั้งแบบให้ดาวน์โหลดไปใช้งานได้ฟรี และแบบเสียเงิน
ก่อนจะเข้าสู่ฟีเจอร์ด้านการออกกำลังกายบน Samsung Galaxy Watch นั้น เรามาดูกันก่อนว่า หลังจากเชื่อมต่อ Galaxy Watch กับสมาร์ทโฟนแล้ว สามารถใช้งานอะไรได้บ้าง
สำหรับ Watch Faces หรือหน้าปัดนาฬิกานั้น มีให้เลือกใช้งานได้หลากหลายรูปแบบ สามารถเลือกเปลี่ยนได้จากตัวนาฬิกา หรือเปลี่ยนผ่านทางแอปพลิเคชัน Galaxy Wearable
การหมุนวงแหวนไปด้านขวา จะเป็นการเข้าสู่ Widget ต่าง ๆ ที่ตั้งค่าไว้ เช่น สภาพอากาศ, Widget ด้านสุขภาพ, รายชื่อผู้ติดต่อ, สร้างการแจ้งเตือน, เมนูฟังเพลง และอื่น ๆ ส่วนการหมุนวงแหวนไปด้านซ้าย จะเป็นการดูการแจ้งเตือนทั้งหมด
การกดปุ่ม Home 1 ครั้ง จะเข้าสู่หน้ารวมแอปพลิเคชันที่มีทั้งหมดใน Samsung Galaxy Watch ซึ่งวงแหวนช่วยทำให้การใช้งานสะดวกมากขึ้นสำหรับการเลือกแอปพลิเคชันที่ต้องการ ส่วนการเข้าใช้งานแอปพลิเคชันนั้น ๆ ให้แตะไปที่หน้าจอนาฬิกาได้โดยตรง
สามารถฟังเพลงผ่าน Samsung Galaxy Watch ได้
สำหรับการปัดลง จะเป็นทางลัดเข้าสู่ตั้งค่าการใช้งานต่าง ๆ ของนาฬิกาในเบื้องต้น ไม่ว่าจะเป็น เปิด-ปิดโหมดประหยัดพลังงาน, เปิด-ปิด Airplane Mode, เสียงริงโทน, เปิด-ปิดโหมดห้ามรบกวน (Do Not Disturb), ปรับความสว่างของหน้าจอ และอื่น ๆ
หลังจากเชื่อมต่อ Samsung Galaxy Watch กับสมาร์ทโฟนแล้ว เมื่อมีการแจ้งเตือน หรือสายเรียกเข้า ก็จะถูกแจ้งเตือนบน Samsung Galaxy Watch ด้วยเช่นกัน ทำให้ผู้ใช้สามารถทราบในเบื้องต้นได้ทันทีว่า ใครส่งข้อความมา หรือใครกำลังโทรเข้ามา โดยไม่จำเป็นต้องหยิบสมาร์ทโฟนขึ้นมาดู นอกจากนี้ ยังสามารถกดรับสายที่ตัวนาฬิกาได้เลย เนื่องจาก Samsung Galaxy Watch มีทั้งไมโครโฟนและลำโพงในตัวนั่นเอง
อีกหนึ่งฟีเจอร์ที่ถือว่า มีประโยชน์อย่างมาก นั่นก็คือ Find My Phone สามารถค้นหาสมาร์ทโฟนที่เชื่อมต่อกับ Galaxy Watch ได้ ด้วยการคลิกไปที่แอปพลิเคชัน Find My Phone บน Galaxy Watch และในทำนองเดียวกัน ถ้าหากหา Galaxy Watch ไม่เจอ จำไม่ได้ว่าวางไว้ที่ไหน ก็สามารถค้นหานาฬิกาได้จากฟังก์ชัน Find My Watch ผ่านแอปพลิเคชัน Galaxy Wearable ได้เช่นกัน
สำหรับแบตเตอรี่บน Samsung Galaxy Watch ขนาด 46 มม. (รุ่นที่ทำการทดสอบ) มีขนาดความจุอยู่ที่ 472 mAh ซึ่งถ้าหากใช้งานปกติ จะรองรับการใช้งานได้อย่างยาวนานราว ๆ 2-3 วันโดยไม่ต้องชาร์จ (ขึ้นอยู่กับรูปแบบการใช้งาน)
โดย Samsung Galaxy Watch มีโหมดประหยัดพลังงาน (Power Saving Mode) ซึ่งจะใช้งานได้ยาวนานกว่าเดิมประมาณ 5 วัน
แต่ถ้าหากใช้แค่ดูเวลาอย่างเดียว จะรองรับการใช้งานได้อย่างยาวนานถึง 33 วันเลยทีเดียว
สำหรับฟีเจอร์ด้านการออกกำลังกายบน Samsung Galaxy Watch นั้น สามารถตรวจจับรูปแบบของการออกกำลังกายได้แตกต่างกันถึง 39 แบบ ไม่ว่าจะเป็น การวิ่ง, การเดิน, ปั่นจักรยาน, ว่ายน้ำ รวมถึงกิจกรรมในยิม นอกจากนี้ ยังสามารถวัดอัตราการเต้นของหัวใจ, จำนวนก้าวเดิน, ระยะทาง และข้อมูลอื่น ๆ ได้ที่ตัว Galaxy Watch แต่ถ้าหากต้องการทราบข้อมูลที่ละเอียดขึ้น จะต้องเข้าไปดูที่แอปพลิเคชัน Samsung Health
นอกจากนี้ Samsung Galaxy Watch ยังมีฟีเจอร์ติดตามการนอนหลับเพื่อตรวจสุขภาพขณะนอนหลับในเบื้องต้น ซึ่งวิธีใช้งานก็เพียงแค่สวม Galaxy Watch ตอนนอน เมื่อตื่นมาก็จะพบกับรายงานการนอนหลับของผู้ใช้ ซึ่งข้อมูลสุขภาพด้านการนอนหลับจะแบ่งออกเป็น 3 ส่วน ได้แก่ Restless หรือช่วงเวลาที่มีการขยับตัว, Light หรือช่วงหลับปกติ และ Motionless หรือช่วงหลับลึก (ไม่มีการขยับตัว)
ในส่วนของการวัดอัตราการเต้นของหัวใจ ทุก ๆ ครั้งที่มีการออกกำลังกาย หรือทำกิจกรรมต่าง ๆ ตัว Galaxy Watch จะมีการตรวจจับอัตราการเต้นของหัวใจอยู่เป็นระยะ ๆ แต่ผู้ใช้สามารถวัดเองได้ด้วยการเข้าไปที่แอปฯ Samsung Health บนนาฬิกา
นอกเหนือจากการออกกำลังกายแล้ว ผู้ใช้ยังสามารถบันทึกข้อมูลปริมาณน้ำดื่ม รวมถึงปริมาณคาเฟอีนที่ดื่มในแต่ละวันได้ ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะถูกบันทึกเก็บเป็นสถิติเพื่อวิเคราะห์ข้อมูลด้านสุขภาพของผู้ใช้ในภายหลังนั่นเอง
สำหรับ Samsung Galaxy Watch นั้น เรียกได้ว่าเป็นสมาร์ทวอชที่มาพร้อมกับคุณสมบัติที่ครบเครื่องมากที่สุดรุ่นหนึ่ง โดยเป็นรุ่นสานต่อของ Samsung Gear S3 ที่คงความเป็นเอกลักษณ์ตั้งแต่การออกแบบตัวเรือนที่เป็นได้ทั้งนาฬิกาสไตล์สปอร์ต และนาฬิกาสไตล์แฟชั่น โดดเด่นตรงหน้าปัด (Watch Faces) ที่มีให้เลือกมากกว่า 100 แบบ สามารถปรับเปลี่ยนได้ตามสไตล์การแต่งตัวในแต่ละวันได้อย่างไม่จำเจ โดยตัวเรือนมีความแข็งแกร่งและทนทาน ด้วยวัสดุ Stainless ที่มีความแข็งแกร่งทนทานเทียบเท่ากับมาตรฐานที่ใช้ในกองทัพ (MIL-STD-810G) อีกทั้งยังรองรับเทคโนโลยี NFC รวมถึงคุณสมบัติด้านการกันน้ำและกันฝุ่นตามมาตรฐาน IP68 และ 5ATM ที่สามารถสวมใส่ขณะว่ายน้ำได้ นอกจากนี้ ยังสะดวกต่อการใช้งานด้วยวงแหวนนาฬิกาหมุนได้ ช่วยทำให้การใช้งานคล่องตัวมากกว่าเดิม
นอกเหนือจากการสวมใส่เป็นนาฬิกาแล้ว Samsung Galaxy Watch ยังรองรับการเชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟน ทั้งมือถือ Android และ iPhone ทำให้ Samsung Galaxy Watch สามารถใช้งานเป็นโทรศัพท์ได้ทั้งการโทรออกและรับสาย หรือฟังเพลง รวมถึงการแจ้งเตือนต่าง ๆ จากสมาร์ทโฟน ก็จะถูกแจ้งเตือนมายัง Samsung Galaxy Watch ด้วยเช่นกัน ทำให้ไม่พลาดข้อความสำคัญและการนัดหมายต่าง ๆ
ไม่เพียงเท่านั้น Samsung Galaxy Watch ยังเป็นสมาร์ทวอชที่ตอบโจทย์ผู้ใช้ที่ต้องการดูแลสุขภาพเป็นพิเศษ ด้วยฟีเจอร์ด้านสุขภาพและการออกกำลังกายให้เลือกใช้งานมากมาย สามารถตรวจจับรูปแบบของการออกกำลังกายที่แตกต่างกันได้ถึง 39 แบบ รวมถึงติดตามอัตราการเต้นของหัวใจขณะวิ่ง, บันทึกสถิติต่าง ๆ ด้านสุขภาพ, ติดตามเป้าหมายทางโภชนาการ, ปริมาณแคลอรี่ในแต่ละวัน และสามารถติดตามการนอนหลับได้อีกด้วย โดยทั้งหมดนี้จะทำงานร่วมกับแอปพลิเคชัน Samsung Health
จุดเด่นอีกอย่างของ Samsung Galaxy Watch นั่นก็คือ แบตเตอรี่ที่รองรับการใช้งานได้อย่างยาวนานหลายวันโดยไม่ต้องชาร์จ และรองรับการชาร์จแบบไร้สาย ส่วนสายนาฬิกานั้นเป็นขนาดมาตรฐาน ซึ่งสามารถหาสายนาฬิกาที่ชอบมาเปลี่ยนเองได้อีกด้วย
โดย Samsung Galaxy Watch วางจำหน่ายอย่างเป็นทางการแล้ววันนี้ มีให้เลือก 2 ขนาด นั่นก็คือ รุ่น 42 มม. ราคา 11,900 บาท ตัวเรือนมีให้เลือก 2 สี ได้แก่ Midnight Black และ Rose Gold กับรุ่น 46 มม. ราคา 12,900 บาท ตัวเรือนมีให้เลือกเพียงสีเดียว นั่นก็คือ สีเงิน (Silver)
จุดเด่นของ Samsung Galaxy Watch
จุดที่ต้องพิจารณาเพิ่มเติม
ข้อควรทราบ : Samsung Galaxy Watch ในบทความรีวิวนี้ เป็นเพียงเครื่องทดสอบเท่านั้น คุณสมบัติบางอย่างอาจยังไม่สมบูรณ์ 100% และอาจไม่ตรงกับตัวเครื่องที่วางจำหน่ายจริง
------------------------------------
บทความรีวิวโดย : techmoblog.com
Update : 19/10/2018
หน้าหลัก (Main) |
(สินค้า IT) ออกใหม่ |
|
FOLLOW US |