หากลองย้อนนึกถึงยุคก่อนๆ แล้ว หลายท่านคงคุ้นเคยกับกล้องดิจิทัลที่มาในรูปแบบกล่องสี่เหลี่ยมพกพาได้กันเป็นอย่างดี จนกระทั่งในปี 1998 แนวคิดที่จะดึงกล้องดิจิทัลออกมาจากกล้องสี่เหลี่ยมแบบเดิมๆ เพื่อนำมาติดตั้งในแก็ดเจ็ตต่างๆ ได้เริ่มเกิดขึ้น โดยเราจะเห็นได้จากการถือกำเนิดของ Game Boy Camera อุปกรณ์เสริมสำหรับถ่ายรูปบนเครื่องเกมบอย ที่เคยได้รับการจดบันทึกจาก Guiness World Records ว่าเป็นกล้องดิจิทัลขนาดเล็กที่สุดเลยทีเดียว
เจ้า Game Boy Camera นี้ ผู้ใช้งานจะต้องนำไปเสียบกับตัวเครื่อง โดยความสามารถของมันในยุคนั้น ถือว่าน่าสนใจพอสมควร เพราะสามารถถ่ายภาพได้ที่ความละเอียด 256 x 224 พิกเซล จับภาพขาว-ดำ ได้ทั้งหมด 4 ระดับ (ถ่ายภาพสีไม่ได้) นอกจากนี้ ในตัวกล้องยังมาพร้อมกับฟีเจอร์การตกแต่งรูปภาพภายในตัว (เหมือนกับฟิลเตอร์ของ Snapchat และ Instagram ในปัจจุบัน) รวมไปถึงฟีเจอร์ถ่ายภาพแบบอนิเมชัน (เหมือนกับแอป HTC Zoe)
ส่วนกล้องบนมือถือนั้นก็ตามมาติดๆ ในปี 2002 ภายใต้การมาถึงของ Sony Ericsson T68i ซึ่งในตอนนั้น กล้องดิจิทัลยังไม่ถูกฝังเอาไว้ด้านหน้า และด้านหลังมือถือเหมือนกับปัจจุบัน แต่จะมาในรูปแบบของอุปกรณ์เสริมเหมือนกับฝั่ง Game Boy แต่มีความล้ำหน้ายิ่งกว่า ด้วยความสามารถถ่ายภาพได้ที่ความละเอียด 640 x 480 พิกเซล หรือที่หลายฝ่ายคงคุ้นเคยกันดีในชื่อ VGA และที่สำคัญ มันยังสามาถเก็บภาพสีได้ด้วย โดยเนื้อที่ของกล้องนั้น สามารถเก็บภาพถ่ายแบบความละเอียดสูงสุดได้ที่ 14 รูปด้วยกัน แต่ผู้ใช้งานสามารถเก็บได้ถึง 200 ภาพ หากลดความละเอียดลงเหลือ 80 x 60 พิกเซล ซึ่งคงไม่ต้องบอกว่า ภาพที่ได้มีความคมชัด (น้อย) ขนาดไหน
อย่างไรก็ตาม มือถือที่มีกล้องแต่ต้องต่ออุปกรณ์พ่วง ไม่ใช่ทางออกที่ดีเท่าไหร่นัก แต่ในระยะเวลาไล่ๆ กัน ก็มีแบรนด์สมาร์ทโฟนรายอื่นได้ปรับปรุงจุดอ่อนตรงนี้ ไม่ว่าจะเป็น Sharp J-SH04 หรือ Nokia 7650 ฟีเจอร์โฟนรุ่นแรกๆ ที่ติดกล้องเอาไว้ที่ด้านหลังของตัวเครื่องมาแบบเพรียบพร้อม ทำให้การใช้งานเป็นไปอย่างง่ายดายขึ้น แต่ความละเอียดของกล้องนั้น ยังคงเป็นเพียงระดับ VGA ไม่ใช่ความละเอียดสูงๆ หลักล้านพิกเซล เหมือนที่เราใช้งานกันอยู่ทุกวันนี้
ในปีต่อมา มือถือติดกล้องเริ่มได้รับความนิยมจากแบรนด์ผู้ผลิตมากขึ้นเรื่อยๆ หลัง Nokia ได้ส่งฟีเจอร์โฟนติดกล้องเพิ่มเติมอีก 2 รุ่น ได้แก่ Nokia 6600 และ Nokia 7600 รวมทั้ง ยังมีแบรนด์อื่นโดดร่วมวงครั้งนี้ด้วยอย่าง Neonode N1 และในปีเดียวกันนี้เอง มือถือเซลฟี่ก็ได้รับโอกาสเผยโฉมบนท้องตลาดอย่างเป็นทางการ ภายใต้มือถือรุ่น Sony Ericsson Z1010 และ Siemens U15 ทำให้ผู้ใช้งานสามารถถ่ายภาพตัวเองได้แบบง่ายๆ โดยไม่ต้องถ่ายคู่กับกระจกอีกต่อไป
หลังจากมือถือเซลฟี่ได้กำเนิดขึ้นแล้ว วงการมือถือกลับไม่ได้แข่งขันเรื่องการติดกล้องอีกต่อไป แต่กลับหันไปโฟกัสในเรื่องของจำนวนเม็ดพิกเซลที่มากขึ้น เพื่อรองรับการถ่ายภาพและวิดีโอ ซึ่งหลังจากที่มือถือเซลฟี่เกิดขึ้นได้เพียง 1 ปี วงการมือถือได้มีโอกาสเห็นมือถือรุ่นแรกของโลกที่มาพร้อมกับกล้องความละเอียดระดับ "เมกาพิกเซล" ซึ่งแบรนด์ที่มีกล้องความละเอียดระดับนี้ ก็ยังคงเป็นแบรนด์รายใหญ่บนท้องตลาดเช่นเดิม ไม่ว่าจะเป็น Nokia 3230, Samsung D500 หรือ Sony Ericsson S700
และหลังจากที่ผู้ใช้งานได้เห็นกล้องความละเอียดระดับเมกาพิกเซลแล้ว การแข่งขันด้านกล้องยังไม่จบสิ้นเพียงแค่ตรงนั้น โดย 2 ผู้เล่นรายใหญ่ที่ยังคงประชันกันอย่างต่อเนื่องนั้นก็คือ Sony Ericsson และ Nokia นั่นเอง โดยทางฝั่ง Sony Ericsson ได้ส่งไม้เด็ดอย่างเทคโนโลยี CyberShot ติดตั้งไว้บนมือถือของตัวเอง ซึ่งหลายคนมองว่า เป็นยุคของ Walkman ถ่ายรูปได้เลยทีเดียว ส่วนด้าน Nokia ก็ไม่น้อยหน้า ด้วยการขนเลนส์ Carl Zeiss อันเลื่องชื่อติดตั้งมาพร้อมกับกล้องมือถือตัวเองเช่นเดียวกัน
ในปัจจุบัน วงการกล้องบนสมาร์ทโฟนพัฒนาไปไกลกว่าแต่ก่อนพอสมควร ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาเฟรมเรทให้มากขึ้น สำหรับการถ่ายวิดีโอ, ปรับปรุงเซ็นเซอร์รับภาพ และเลนส์กล้อง รวมถึงการปรับเปลี่ยนจำนวนของกล้อง ที่จากเดิมมีกล้องแค่เพียงตัวเดียว ก็ได้กลายมาเป็นกล้องหลังคู่ Dual-Camera เหมือนกับที่หลายๆ แบรนด์หันมาใช้งาน ไม่ว่าจะเป็น HTC One M8, Huawei P9, P10, Mate 9, iPhone 7 Plus หรือ vivo V5 Plus และ OPPO F3 Plus ที่มาพร้อมกล้องหน้าคู่ และเมื่อเร็วๆ นี้ Alcatel ก็ได้สร้างเสียงฮือฮาด้วยการส่งมือถือที่มาพร้อมกับกล้องถึง 4 ตัวเลยทีเดียว
ซึ่งก็น่าสนใจว่า ต่อจากกล้องคู่แล้ว เราจะได้เห็นอะไรจากวงการมือถืออีกบ้าง ซึ่งไม่แน่ว่าอาจก้าวไปถึงความแพร่หลายของกล้อง AR จนกลายเป็นมาตรฐานใหม่ในอนาคต หลังจากที่แบรนด์ใหญ่ๆ เริ่มให้ความสนใจกันมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น Lenovo ที่ได้เผยโฉม Lenovo Phab 2 Pro มือถือที่รองรับเทคโนโลยี AR เครื่องแรกของโลก, ASUS Zenfone AR มือถือที่มาพร้อมกับ RAM ถึง 8GB พร้อมรองรับทั้ง AR และ VR เต็มรูปแบบ รวมไปถึงค่าย Apple ที่มีกระแสข่าวลืออย่างหนาหูว่า มีความสนใจกับเทคโนโลยีดังกล่าวพอสมควร และมีสิทธิ์นำมาใช้งานกับ iPhone ด้วย
---------------------------------------
ที่มา : GSMArena
แปลและเรียบเรียง : techmoblog.com
Update : 17/04/2017
หน้าหลัก (Main) |
(สินค้า IT) ออกใหม่ |
|
FOLLOW US |